1 ก.พ. 2024 เวลา 13:38 • ดนตรี เพลง

เขมรไล่ควาย vs จ.รอคอย

วันนี้อยากเชื้อเชิญให้มาพูดคุยเรื่องเพลงกันสักหน่อย ความจริงผมไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องดนตรีอะไรเลย และไม่ได้มีแนวทางเพลงเฉพาะที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ หรือก็คือเป็นคนที่สามารถฟังเพลงได้ทุกๆ แนวนั่นแหละ แต่หากถามถึงแนวเพลงที่ฟังบ่อยก็ต้องตอบว่าเป็น "เพลงลูกท่ง" อยู่แล้ว
พอดีกับเมื่อวันก่อนขณะที่กำลังกวาดบ้านอยู่มีงานมหรสพอย่างใดมิทราบได้ แต่เห็นจะเป็นของวัดใกล้บ้านแว่วเสียงเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งมาเข้าหู เป็นเพลงที่ "คุ้นหู" มาก แต่ผมดันจำชื่อของเพลงนั้นไม่ได้ เรื่อยมาจนวันนี้เองเพิ่งนึกออก และด้วยความที่นึกอะไรไปหลายอย่างเลยพาให้นึกด้วยว่าเพลงนี้ช่างคล้ายกับเพลงของ "น้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาน" อย่างเพลง "จ.รอคอย" ซะเหลือเกิน และคิดว่าหลายท่านที่ชอบแนวเพลงเพื่อชีวิตคงรู้จักเพลงนี้ของพงษ์เทพอยู่แล้ว โดยเพลงลูกทุ่งที่ผมว่านั้นก็คือเพลง
"เขมรไล่ควาย" ของ "สุรพล สมบัติเจริญ" นั่นเอง
ด้วยความสนใจผมจึงลองค้นเรื่องเพลงนี้ในอินเทอร์เน็ต และก็ได้รู้สิ่งที่น่าสนใจเข้าไปอีก จึงอยากนำเสนอในที่นี้ ดังนี้
1) ชื่อ "เขมรไล่ควาย" เป็นชื่อเพลงไทยเดิมเพลงหนึ่ง ผมไม่รู้ที่มาของเพลงไทยเดิมเพลงนี้ ทั้งเท่าที่ค้นหาอย่างคล่าวๆ ในอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ยังไม่พบว่าเพลงไทยเดิมนี้มีที่มาอย่างไรทั้งในแง่ของจังหวะทำนองและชื่อเพลง (ความเห็นเกี่ยวกับที่มาของเพลงนี้ ผมหาได้เพียงแหล่งเดียวจากบทความของท่านนี้ https://web.facebook.com/jazznjourney/posts/676992275735139/?locale=th_TH) แต่ถึงกระนั้นก็ยัง "คุ้นหู" กับจังหวะทำนองของเพลงนี้อยู่เหลือเกิน
แต่หากเราพิจารณาเฉพาะเรื่องของชื่อเพลงแล้ว หากสังเกตุจากท่วงทำนองของมันเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเราคงได้นำจังหวะของการ "ไล่ควาย" จริงๆ มาเป็นแรงบรรดาลใจในการประพันธ์เพลงนี้ขึ้นมาจริงๆ ซึ่งสามารถสังเกตุได้จากท่อนที่เน้น "ฮึ้ย ฮึ้ย ฮึ้ย ฮึ้ย" ซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงของการต้อนควายจริงๆ ต่อไปนี้คือตัวอย่างทำนองของเพลง "เขมรไล่ควาย" ที่เป็นเพลงไทยเดิม
และคิดว่าการละเล่นของคนสมัยก่อนก็คงเป็นการประยุกต์ทำนองเพลงนี้เข้ากับเนื้อร้องต่างๆ ที่ตัวผู้เล่นแต่งขึ้นเพื่อความสนุกสนานแบบไม่มีกำหนดกติกาอะไรมาก เรียกได้ว่าแล้วแต่อารมณ์ศิลปินจะพาไป มีตัวอย่างการเล่นเพลงไทยเดิมเขมรไล่ควายนี้ของตลกชื่อดังอย่าง "น้าโย่ง เชิญยิ้ม หรือ พิเชษฐ์ เอี่ยมชาวนา" ดังนี้
จะเห็นได้ว่าเป็นการประยุกต์ทำนองเพลงไทยเดิม "เขมรไล่ควาย" ให้เข้าการสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 ได้อย่างสนุกสนานเป็นอย่างดี
2) ชื่อ "เขมรไล่ควาย" ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเพลงลูกทุ่งของสุรพล สมบัติเจริญโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับทำนองไทยเดิมของมัน "คีตา พญาไท" ให้ข้อมูลว่า เพลงลูกทุ่ง เขมรไล่ควาย ของสุรพลนี้ "ครูมงคล อมาตยกุลและครูร้อยแก้ว รักไทย" เป็นผู้แต่งให้สุรพล สมบัติเจริญร้องขณะที่เขายังไม่ได้มีวงดนตรีเป็นของตัวเอง แต่ยังตระเวนร้องเพลงตามวงดนตรีของคนอื่นอยู่ (อ้างอิงจาก https://m.mgronline.com/entertainment/detail/9500000008798) และเป็นการดัดแปลงมาจากเพลงรำวงและเพลงพื้นบ้านที่ร้องและเล่นกันอยู่แล้ว
(ดังนั้นจึงไม่แปลกนักว่าทำไมเพลงนี้ถึงได้ "ถูกใจ" แฟนเพลงที่เป็นชาวบ้านชาวช่องกันนัก จนกระทั่งทุกวันนี้เพลงนี้ก็ยังเพราะอยู่) และนั่นหมายความว่าผู้ประพันธ์ไม่ได้ "ลอก" เพลงไทยเดิม "เขมรไล่ควาย" มาใช้ใช้อย่างทื่อๆ แต่อย่างใด แต่ได้ "รังสรรค์" เพลงอย่างใหม่ขึ้นมาเพียงแต่ใช้ชื่อ "เขมรไล่ควาย" เหมือนเพลงไทยเดิมเข้าไปเพียงเท่านั้น ทั้งนี้ก็อาจจะด้วยเหตุผลว่าชื่อนี้เป้นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในหมู่คนทั่วไปของสมัยนั้น และมันคงเป็นเพลงที่เป็นที่นิยมมากในหมู่ชนชั้นชาวนาหรือชาวบ้านทั่วๆ ไป
แม้ในเนื้อร้องของเพลง "เขมรไล่ควายของสุรพล" เองเราก็ยังจะพบว่าเนื้อเพลงเพียงแต่บอกว่าชาวนาในเนื้อเพลงนี้ทำการ "เล่น" เพลงเขมรไล่ควายหลังจากการงานของตนเสร็จลงเพียงเท่านั้น ดังเนื้อเพลงตอนหนึ่งที่ว่า
ลมเย็นๆ ร้องเขมรไล่ควาย
แปลกใจ ควายมันไม่อาทร
ตอนหนึ่งของเพลง "เขมรไล่ควาย" ของสุรพล สมบัติเจริญ
และนอกจากท่อน "ฮึ่ยๆ ฮึ่ยๆ" และ "ชะๆ ซะๆ" แล้วนั้นผู้ฟังอย่างเราๆ (คือไม่มีความรู้เรื่องดนตรีอะไรนัก) ก็ไม่รู้เลยว่าเพลงนี้จะเกี่ยวข้องกับเพลงไทยเดิม "เขมรไล่ควาย" อย่างไร ดังนั้นเราสามารถสรุปได้เลยว่าเพลง "เขมรไล่ควาย" ของสุรพล สมบัติเจริญนั้นเป็นผลงานที่ถูกประพันธ์ขึ้นมาใหม่นอกจากเพลงไทยเดิม "เขมรไล่ควาย" อย่างแน่นอน
3) เพลง "เขมรไล่ควาย" ของสุรพล สมบัติเจริญได้ให้ภาพชนบทใน "อุดมคติ" ของชาวไทยได้เป็นอย่างดี โดยเนื้อเพลงของเพลงนี้ได้ "สะท้อน" ภาพชนบทในอุดมคติของสังคมไทยเราอย่างน้อยก็ในสมัยนู้นได้เป็นอย่างดี "ชาวนา" ในบทเพลงนี้เป็นชาวนาที่ "สนุกสนาน ร่าเริง" ไม่ได้มีความทุกข์ร้อนด้วยการทำนาแต่อย่างใด เนื้อเพลงได้บรรยายถึงวิถีชีวิตของชาวนาในยุคสมัยที่ยังต้องใช้ควายเป็นแรงงานในการไถนา และบรรยายว่าเมื่อชาวนาทำงานเสร็จแล้วก็ร่วมกันเล่นรำวงกันอย่างสนุกสนาน
เราชาวนาอยู่กับควาย พอหมดงานไถ เราจูงฝูงควายคืนบ้าน
พออาบน้ำควายสำราญ แล้วเสร็จการงานเบิกบานร้องเพลงรำวง
เนื้อเพลง "เขมรไล่ควาย" ท่อนแรก
ยิ่งไปกว่านั้นชาวนาในเพลงนี้ยังดูเป็นผู้ที่ "รักศักดิ์ศรี" ของการเป็นชาวนาของตัวเองอีกต่างหาก พูดง่ายๆ ว่าเป็นชาวนาที่ "ทรนง" อยู่ไม่น้อย ต่างจากภาพของชาวนาในหน้าสื่อเวลาที่มีน้ำท่วมหรือราคาข้าวตกต่ำ เพราะชาวนาในเนื้อเพลงของสุรพลถึงกลับกล้าประกาศว่า
แม้นใครอิจฉา มันน่าหัวเราะจะเยาะพวกเรามิได้
เนื้อตอนท่อนฮุค
อย่างไรก็ตามเสน่ห์ของเพลงสมัยก่อนอย่างหนึ่งคงอยู่ที่มักจะมี "ความลุ่มลึก" เชิงปรัชญาอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในนั้นด้วย แม้เพลงนี้ด้วยก็เหมือนกัน ท่อนจบของเพลงนี้ได้ "กัด" สังคมของเรานิดๆ หน่อยๆ "กัด" ที่ว่านั่นก็คือ ในสังคมของเรานั้นมักใช้ "ควาย" เป็นสัญลักษณ์ของความโง่เขลาและเป็นคำค่อนขอด ด่าว่า แต่ผู้ประพันธ์ก็ได้แนะผู้ฟังของตนไว้ว่า "ให้ยังใจไว้ก่อน" อย่าพึ่งไปปรามาสควายอย่างรวจเร็วขนาดนั้น เพราอะไร? โอ!! ผู้ประพันธ์ได้ซ่อนอารมณ์ขันไว้อย่าน่าสนใจ เพราะว่า ถึงจะ "ร้องเขมรไล่ควาย" อยา่งไร ควายมันก็
"ไม่อาทร" อยู่นั่นเอง
นอกจากนี้เพลงนี้ยังได้ซ่อนอารมณ์การหยอกเอินแบบกวีสมัยก่อนไว้ด้วยเป็นอย่างดี เพราะตอนท้ายเพลงก็ได้บอกว่า หาก "โฉมแม่บังอร" สิ้นงอนแล้วจะได้ "ขี่ควาย" (ของพี่เอย 😋)
และนี่คือเพลง "เขมรไล่ควาย" ของสุรพล สมบัติเจริญ
เอาล่ะทีนี้หันมาที่เพลง "จ.รอคอย" ของพงษ์เทพ กระโดนชำนาญกันดีกว่า เพลง "จ.รอคอย" นี้เล่าถึงชายซักคนที่หลงรักสาวอีกซักคนที่เราไม่รู้เรื่องราวของพวกเขานักนอก (ซึ่งก็เป็นธรรมดาของเพลงสมัยนี้ที่เน้นอารมณ์ของผู้ฟังมากกว่าเน้นเรื่องราวที่อยู่ในเพลง) นอกจากว่าผู้หญิงทำงานอยู่ที่ร้านอาหารที่ชื่อ "จ.รอคอย" นี้ แต่ใดๆ ก็ช่างมันเถิด เอาเป็นว่าเพลงนี้เป้นเพลงประจำร้านเหล้าและร้ายข้าวต้มสำหรับคนขี้เมาหลังจากออกมาจากร้านเหล่าแล้วก็แล้วกัน แต่ประเด็นของผมก็คือ หากเราฟังแบบภาพรวม เราจะรู้สึกว่า
เพลงนี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเพลง "เขมรไล่ควาย" ของสุรพล สมบัติเจริญเสียนี่กระไร ไม่เชื่อผมลองฟังด้วยหูของคุณเองเถิด
เอาล่ะ ผมจะถือว่าสมมุติฐานเรื่องนี้ของผมถูกไปก่อน จนกว่าจะมีผู้มาบอกผมว่าผมเข้าใจผิดไปเอง ผมจึงจะเลิกคิดอย่างนี้ และผมคิดว่าไม่แปลกแต่อย่างใดที่เพลงของพงษ์เทพจะมีส่วนคล้ายกับเพลงของสุรพลอยู่บ้าง เพราะถึงพวกเขาจะเป้นศิลปินร่วมสมัยกันแต่ก็เป็นคนละรุ่น และเพลงของพงษ์เทพเองก็เป็นแนวสามช่าแบบสนุกๆ อีกต่างหาก ดังนั้นหากเขาจะต้องเคยฟังเพลงของสุรพลมาแล้วได้แรงบรรดาลใจในการประพันธ์ผลงานของตนก็ไม่แปลก
สรุปก็คือ ผมไม่ได้กำลังวิจารณ์ว่าใครลอกผลงานของใคร หรือใครได้รับอิทธิพลของใครอะไรแบบนั้น ประเด็นเหล่านี้อยู่เกินความสามารถในการฟังดนตรีของผม ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตว่าเพลง "จ.รอคอย" ของพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ มีความคล้ายคลึงกับเพลง "เขมรไล่ควาย" ของสุรพล สมบัติเจริญก็เท่านั้น และจากข้อสังเกตุนี้นี่เองที่จะนำไปสู่ใจความสำคัญของผมในบทความเล็กๆ นี้
สรุป
บทความนี้ของผมเขียนขึ้นมาเพื่อ 1) ความสนุกส่วนตัว 😜 2) เพื่อต้องการชี้ว่าการประสบความสำเร็จของคนเรานั้นล้วนแต่มีที่มาที่ไป หรือหากจะพูดให้ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นก็คือ "มีรากฐาน" อันยิ่งใหญ่รองรับมันเอาไว้อยู่ เหมือนสำนวนที่ว่า "คนที่ยืนอยู่สูงที่สุดก็คือคนที่ยืนอยู่ "บนบ่าไล่" ของยักษ์" ของฝรั่งนั่นแหละ
เรื่องเพลงนี้ก็เหมือนกัน (หากข้อสังเกตุของผมถูก) มันได้แสดงให้เราเห็นถึงการส่งทอดวัฒนธรรมจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง และแสดงให้เห็นว่า "เพลงลูกทุ่ง" อาจสามารถเป็นแหล่งอ้างอิงทางภูมิปัญญาที่ประชาชนชาวไทยสมัยใหม่อย่างพวกเราจะหวนคืนกลับไปหาเพื่อความ "คลาสสิค" ได้อยู่เหมือนกัน
รู้มั๊ย? ผมถึงกลับ "ประหลาดใจ" อยู่เหมือนกันที่มีคนนำเพลง "เขมรไล่ควาย" นี้ไปทำเป็นดนตรีแจ๊สที่บรรเลงด้วยแซ็กโซโฟนได้อย่างไพเราะเสนาะหูเลยทีเดียว (ถึงอาจจะมีคนฟังให้เขาไม่มากนักก็เถอะ) ไม่เชื่อลองฟังเองก็แล้วกัน
"เขมรไล่ควาย" และเพลงลูกทุ่งเก่าๆ อื่นๆ มันเชื่อมโยงเราเข้ากับบรรพบุรุษได้อย่างน่าประทับใจ เหมือน "นิทานกริมม์" ที่เชื่อมโยงความเป็นชาวเยอรมันเข้าด้วยกันและเป็นอัตลักษณ์ของพวกเขาเอง ผมว่า "เพลงลูกทุ่ง" ก็อาจจะเชื่อมโยง "ความเป็นไทย" ให้กับเราได้ในแบบนั้น และไม่ใช่แค่บรรพบุรุษเมื่อศตวรรษก่อนเพียงเท่านั้น แต่มันอาจเชื่อมโยงเรากับบรรพบุรุษของเราย้อนกลับไปได้หลายร้อยปีเลยทีเดียว
และไม่เพียงเท่านั้น มันอาจจะพาเราพุ่งไปในอนาคตได้ไกลมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
ภาพปกนำมาจากเว็ปไซต์นี้ https://images.app.goo.gl/1qfvCPnQzRFeHBvD6
โฆษณา