9 ก.พ. เวลา 17:20 • การศึกษา

The Citicorp Center - อาคารสูงที่เกือบถล่มจากแรงลม

มันคืออาคาร Citicorp Center ในนิวยอร์ก ขนาด 59 ชั้น สร้างเสร็จเมื่อกลางปี 1978 โดยวิศวกรชื่อดังมาก คือ William J. LeMessurier
W.J. LeMessurier คือวิศวกรโครงสร้างระดับท้อปของอเมริกา ชื่อเสียงนี้เทียบเท่า Theodore V. Gamlambos เลย ทั้งสองคนถือเป็นผู้บุกเบิกที่สำคัญมากเรื่อง Steel Stability ถ้าไม่มี W.J. LeMessurier เราก็จะไม่มีมาตรฐานงานโครงสร้างเหล็กเหมือนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ โดยเฉพาะเรื่อง ผลของ P-Delta งั้นคือเค้าดังมากๆ และมีเครดิตสูงมากด้วย
W.J. LeMessurier ออกแบบอาคาร Citicorp Center ด้วยข้อจำกัดคือมันมีโบสถ์เก่าขวางอยู่มุมหนึ่งของที่ดินซึ่งทุบไม่ได้ ทำให้วางเสาตำแหน่งมุมตึกไม่ได้ จึงหลีกเลี่ยงด้วยการวางเสาเข้ามาที่กลางแต่ละด้านแทน แล้วใช้ Chevron truss ดึงแรงจากพื้นยื่นทั้งหลายเข้ามาที่เสากลาง ซึ่งเค้าผ่านการคิดมาอย่างดี
แถมด้วยมีวิศวกรที่ปรึกษาหลายคนระดับท้อปทั้งนั้น หนึ่งในนั้นคือมี Alan G. Davenport ที่เรียกว่าคือ Father of wind engineering ทำการทดสอบในอุโมงค์ลมให้ด้วย และมีการติดตั้ง Tuned mass damper ที่ส่วนบน เพื่อสลายแรงลม ซึ่งถือว่าใหม่มากในขณะนั้น และ W.J. LeMessurier ได้รับการยกย่องมากในขณะนั้น เนื่องจากอาคารนี้ทั้งประหลาดและมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
ในเดือนปี 1978 หลังจากอาคารสร้างเสร็จได้ไม่นาน มีนักศึกษาคือ Diane Hartley จาก Priceton university สนใจอาคารนี้ จึงทำวิจัยระบบโครงสร้าง โดยขอแบบแปลนอาคารจากบริษัทของ W.J. LeMessurier ไปศึกษา ซึ่งเค้าก็ใจดีให้ด้วย
ไม่กี่เดือนถัดมา นักศึกษาคนเดิม โทรมาที่บริษัทอีกครั้ง และได้คุยกับ Junior Structural Engineer คนหนึ่ง และนักศึกษาคนนั้นแจ้งไปว่า ไปศึกษาดูแล้ว โครงสร้างอาคารนี้อยู่ไม่ได้เมื่อรับแรง Diagonal Wind ซึ่ง Engineer ก็อธิบายไปว่าเป็นไปไม่ได้หรอก คิดมาอย่างดีแล้ว โดยวิศวกรระดับ W.J. LeMessurier มันจะผิดได้ยังไง
แต่วิศวกรคนดังกล่าวก็ติดใจ จึงเอาไปเล่าให้ W.J. LeMessurier ฟัง หลังจากนั้น W.J. LeMessurier จึงได้คุยกับนักศึกษาที่ว่าโดยตรง แต่ก็ยังยืนยันว่าโครงสร้างแข็งแรงพอ และโครงสร้างนี้ควบคุมด้วย Orthogonal wind ไม่ใช่ Diagonal Wind​
แต่เพื่อความมั่นใจ W.J. LeMessurier เอาแบบออกมาตรวจสอบใหม่ทั้งหมด แล้วพบว่า เค้าคิดแต่ผลของ Orthogonal wind ซึ่งควบคุมพฤติกรรมพลศาสตร์ของโครงสร้างภาพรวมทั้งหมด แต่ไม่ได้คิดว่า Diagonal Wind จะควบคุมพฤติกรรมของบางชิ้นส่วน
จะเห็นว่าเมื่อลมมาตั้งฉากกับอาคาร (Orthogonal wind) ตัว Chevron bracing ก็จะทำงานแยกหน้าที่กัน ดังที่เห็นในเส้นสีแดง แต่เมื่อลมมาเฉียงกับอาคาร (Diagonal Wind) ตัว Chevron bracing จะรับแรงลมเพิ่มขึ้นและอาจจะขึ้นได้ถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับลมตั้งฉาก และเมื่อคำนวณดูพบว่ารับแรงลมได้เพียงคาบการกลับ 16 ปี
W.J. LeMessurier มีทางเลือก เพียง 3 ทาง คือ ฆ่าตัวตายเพราะเสียชื่อมาก เงียบปกปิดเอาไว้ และเปิดเผยและยอมรับผลที่ตามมา ซึ่งหมายถึงชื่อเสียงและเงินทองทั้งหมด
สุดท้ายเค้าเลือกทางสุดท้าย คือเอาเรื่องไปคุยกับบอร์ดของ CitiGroup แล้วดำเนินการซ่อมแซมอาคาร ตอนกลางคืน และเก็บของให้เรียบร้อยตอนกลางวัน โดยไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่เมืองรับทราบและให้เก็บเงียบไว้ไม่ให้แตกตื่น แต่วางแผนอพยพคนรัศมี 10 ข่วงตึก ไว้แล้ว ซึ่งประมาณสองแสนคน ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งนิวยอร์กนั้นมีพายุเข้าประจำ และในยุค 70 การพยากรณ์ไม่ได้รู้ล่วงหน้านานนัก
โดยสามารถเสริมกำลังอาคารจนสามารถรับแรงลมระดับคาบการกลับ 700 ปี ก่อนที่จะพายุจริงจะเข้านิวยอร์กเพียงไม่นานนัก
ตั้งแต่ปี 1978 เหตุการณ์นี้ไม่เคยเปิดเผยเลย รู้เพียงไม่กี่คน จนกระทั่ง W.J. LeMessurier ยอมเล่าเรื่องราวกับหนังสือพิมพ์ The Newyorker ในบทความขื่อ The Fifty-nine-Story Crisis, May 21, 1995 ซึ่งเหตุการณ์ผ่านมาแล้วถึง 17 ปี ใครสนใจอ่านได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง
หลังจากบทความตีพิมพ์ W.J. LeMessurier ไปบรรยายอีกครั้งเดือน พ.ย. 1995 ที่ MIT ในหัวข้อ William LeMessurier-The Fifty-Nine-Story Crisis: A Lesson in Professional Behavior ใครสนใจฟังได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง
ฟังช่วงครึ่งหลังจะเล่าถึงช่วงวิกฤตในชีวิต​เค้าว่าจะเลือกทางไหน เปิดเผยแล้วจบชีวิต​การเป็นวิศวกร หรือ ปิดเงียบแล้วปล่อยให้คนอื่นเสี่ยงกันเอง เค้าพูดถึง Alan G. Davenport ที่ทุกวันนี้คือเจ้าพ่อแรงลมที่ทุกคนยกย่องว่า เป็นเพื่อนเค้า เค้าจะปิดเงียบก็ได้ไม่มีใคร​รู้​อยู่แล้ว ช่วงหลังเค้าเล่าสนุกดีนะ แนะนำ​ให้ฟัง
จากเหตุการณ์นี้ เค้าต้องถูกปรับไปถึงหลายล้านเหรียญ แต่ CitiGroup ไม่เอาเรื่องราวต่อ เพราะเห็นแก่ความรับผิดชอบและจรรยบรรณต่อวิชาชีพของ W.J. LeMessurier ที่แทนที่จะปกปิดเรื่องราว แต่กล้าที่จะเผชิญปัญหา และยอมแลกชื่อเสียงของตัวเองเพื่อรักษาชีวิตและทรัพย์สินของส่วนรวม
Diane Hartley นักศึกษาที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ ไม่เคยรับรู้เลยว่าตัวเองมีส่วนช่วยในการแก้ไขความผิดพลาดนี้ยังไง จนกระทั่งผ่านไปสิบกว่าปีถึงปลายยุค 90 ที่มีสารคดีเรื่องนี้เผยแพร่ออกมา จึงได้ทราบเรื่องราวผ่านสารคดีว่าคำเตือนของตัวเองในวันนั้นส่งผลใหญ่หลวงมาก
โฆษณา