-หน้าปกอัลบั้มที่เป็นตัวการ์ตูนน้องเด็กสีเทาเปล่งประกายเล็กน้อยท่ามกลางสีม่วง บ่งบอกถึงความเป็นนิทานเด็กลึกลับตามที่พวกเธอนิยามมุมมองต่อสีม่วงไว้ข้างต้น Welcome to My Purple Story เป็น interlude เปิดอัลบั้มด้วยการเกริ่นนำแบบนิทาน #เมื่อไหร่ที่คิดถึงเธอ ที่ผมขอให้นิยามกลิ่นอายเพลงนี้ว่า “ปราสาทผีสิง” ที่ไม่หลอน ไม่ตุ้งแช่ แต่เศร้าสร้อยละห้อยด้วยเครื่องสายที่มีบทบาทอย่างยิ่งในเพลงนี้และเพลงอื่นๆด้วย การถ่ายทอดความฟุ้งซ่านที่เอคโค่ ก้องกังวานในห้วงจิตของคนที่ยังคำนึงห่วงหา
-เพลงที่ได้รับอิทธิพลจากสตูดิโอจิบลิจนสามารถเป็น ost เวอร์ชั่นภาษาไทยได้เลยอย่าง #เกาะลอยฟ้า ที่บอกเล่าความเหงาจากแอนิเมชั่น Castle In The Sky ที่หยิบเรื่องราวนครลอยฟ้าที่ถูกทิ้งรกร้างเหลือเพียงหุ่นยนต์ที่ดูแลเกาะอย่างโดดเดี่ยว เป็นซิงเกิ้ลแรกที่ขยับความเป็น full band ไปเลย ด้วยความที่สองสาวชื่นชอบสตูดิโอจิบลิเป็นพิเศษ มันเลยทำให้ผมคิดถึงสไตล์เพลงของพวกเธอที่ชอบทำให้เรื่องขมขื่นนั้นออกมาสวยงามชวนฝันได้เช่นกัน
B-D-BUB-BA เพลงเปี่ยมสุขเต็มไปด้วยความเยาว์มากที่สุด นี่คือเพลงปาร์ตี้ขึ้นบ้านใหม่ที่มีทั้งความบอสซ่าและ bedroom pop อันเป็นสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นเด็ก Gen Z อย่างเห็นได้ชัด
-เพลงภาษาอังกฤษเพลงแรก Taxi ที่ได้คิตตี้ H I N A N O มาร่วมแต่งความพยายามมูฟออนที่พร้อมโบกเรียกแท็กซี่หนีไปให้ไกลที่ไหนซักแห่งหน มีลายเซ็นต์ความกรีดกรายของคิตตี้ที่ชัดเจนมากๆ แต่ที่เจ้มจ้นจนเป็นความ “LANDOKMAI” ได้เต็มที่ก็คงหนีไม่พ้น I miss you when I’m drunk ที่เร่งโทนความ emotional ให้แหลมขึ้นทั้งเสียงร้องและเสียงกีตาร์ไฟฟ้าแผ่ดๆเสริมกลิ่น post-rock ให้ทำหน้าที่ระบายความอัดอั้นที่ยังลืมใครคนนั้นไม่ได้