13 ก.พ. เวลา 01:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สถานการณ์เศรษฐกิจจีนยังน่ากังวลแม้จะเริ่มฟื้นตัวในปีนี้

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวจากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้หลังจากที่นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐเริ่มส่งผล อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้การฟื้นตัวนี้ครั้งนี้ไม่ได้มั่นคงอย่างที่หลายคนคิด
ปัจจัยแรกมาจากภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ค่อนข้างเปราะบาง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สัดส่วนของส่งออกการสินค้าของจีนในตลาดโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างในปี 1995 จีนยังมีสัดส่วนในการส่งออกสินค้าทั่วโลกเพียง 3% แต่ในปี 2020 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นถึง 20% แถมมากกว่าครึ่งของการผลิตของจีนก็เป็นของที่ผลิตเพื่อขายให้แก่ต่างชาติ
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมของจีนในเร็วๆนี้ ก็มาจากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อต่างชาติเสียส่วนใหญ่ ซึ่งการพึ่งพาต่างชาติเยอะเช่นนี้ จะทำให้ประเทศมีความเปราะบางต่อภาวะเศรษฐกิจหรือนโยบายกีดกันการค้าในต่างประเทศ นี่ยิ่งเป็นความเสี่ยงเมื่อความสัมพันธ์ของจีนกับประเทศฝั่งตะวันตกยังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร
ปัจจัยที่สอง คือการที่เงินลงทุนในจีนกระจุกอยู่ในแค่ไม่กี่อุตสาหกรรม แถมเงินลงทุนส่วนใหญ่ก็มาจากภาครัฐของจีนเองมากขึ้น ในปัจจุบัน เกือบครึ่งหนึ่งของเงินลงทุนอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตอย่างเดียว และในช่วงปีที่ผ่านมา การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของภาครัฐ ก็โตเร็วกว่าการลงทุนของภาคเอกชนไปแล้ว (แผนภูมิ 1)
จากรายงานของ Capital Economics สัดส่วนของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรโดยภาครัฐในจีน ได้แตะระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ในปี 2023 การที่การลงทุนของจีนกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่อุตสาหกรรมแถมเป็นการลงทุนโดยภาครัฐมากขึ้น ก็อาจทำให้ประเทศมีความเสี่ยงหากมีอะไรกระทบกับอุตสาหกรรมหลักหรือรายได้ของภาครัฐ และแม้ว่าจะมีบางคนที่เถียงว่า นโยบายของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงที่สนับสนุน
อุตสาหกรรมไฮเทคก็มีส่วนช่วยกระจายเงินลงทุนไปยังอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบ้างแล้ว แต่การลงทุนในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสนับสนุนก็ไม่ได้การันตีว่าเงินลงทุนนั้นจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพเสมอไป อย่างเงินที่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ก็อาจจะเป็นเงินที่เอาไปสร้างบ้านที่ขายไม่ออกและไม่ได้กำไรก็เป็นได้
นอกจากนี้ กำลังในการใช้จ่ายของรัฐบาลจีนที่เริ่มถึงขีดจำกัดแล้ว นับตั้งแต่ปี 2017 รายได้ภาษีของจีนก็ลดลงมาอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ GDP (แผนภูมิ 2) และการล้มลงของภาคอสังหาฯ ก็ทำให้รายได้จากการขายที่ดินลดลงอย่างมาก ในขณะเดียวกัน การขาดดุลการคลังของภาครัฐอยู่ที่ประมาณ 6-7% ของ GDP และก็น่าจะอยู่ในระดับประมาณนี้หรือมากกว่านี้ฃในอนาคต ซึ่งการขาดดุลการคลังอย่างต่อเนื่องเช่นนี้มีแนวโน้มจำกัดการใช้จ่ายของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน หรือ การออกนโยบายต่างๆ ในอนาคต
โดยสรุปแล้ว แม้ประเทศจีนจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในปีนี้ หนทางข้างหน้าก็ยังไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจากประเทศยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างอยู่ ทั้งนี้ รัฐบาลจีนไม่ควรมุ้งเน้นแต่การสนับสนุนการเติบโตในระยะสั้น แต่ควรหาทางแก้ปัญหาเหล่านั้นและมองหาตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวอื่น
โฆษณา