20 ก.พ. เวลา 03:30 • ธุรกิจ

คนทั่วโลก กำลังควักเงิน ซื้อช็อกโกแลต แพงสุดรอบ 50 ปี

ปีที่แล้ว ถ้าเราซื้อโกโก้ 1 กิโลกรัม เราจะจ่ายเงินเพียง 93 บาทเท่านั้น
แต่ในปีนี้ หากเราซื้อโกโก้ 1 กิโลกรัม เราจะต้องจ่ายเงินถึง 210 บาท หรือจ่ายแพงขึ้นกว่า 2 เท่าเลยทีเดียว
และไม่ใช่แค่โกโก้เท่านั้น แต่ราคาน้ำตาลก็ยังแพงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งโกโก้และน้ำตาล คือส่วนผสมหลักของ ช็อกโกแลต เลยทำให้คนทั่วโลก อาจต้องซื้อช็อกโกแลต แพงสุดในรอบ 50 ปีอีกด้วย
เรื่องนี้เป็นเพราะอะไร ทำไมโกโก้และน้ำตาล ถึงแพงขึ้น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ต้องบอกว่า ช็อกโกแลต คืออุตสาหกรรมอาหารที่เชื่อมโยงระหว่าง 3 ทวีป นั่นคือ แอฟริกา อเมริกา และยุโรป
1
โดยอเมริกาและยุโรป จะเป็นโรงงานในการผลิตช็อกโกแลตของโลก
ส่วนแอฟริกาและอเมริกาใต้ จะเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตแทน
ซึ่งวัตถุดิบที่ว่านี้ คือ
- เมล็ดโกโก้ จากทวีปแอฟริกา
- น้ำตาล จากทวีปอเมริกาใต้
เริ่มกันที่เมล็ดโกโก้ ซึ่งจริง ๆ เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ ตั้งแต่ชนเผ่าอินคานำเมล็ดโกโก้มาสกัดเป็นเครื่องดื่มประจำดินแดน
หลังจากนั้น เมื่อชาวยุโรปมาพบดินแดนแห่งนี้ ก็ได้นำวัฒนธรรมการดื่มโกโก้ ไปเผยแพร่ในทวีปยุโรป
แต่ด้วยโกโก้มีความขมมากเกินไป ชาวยุโรปจึงนำน้ำตาลใส่ลงไป จนกลายมาเป็นช็อกโกแลตที่เรากินกันจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของช็อกโกแลตในยุโรป ทำให้เมล็ดโกโก้ กลายเป็นที่ต้องการในตลาดจำนวนมาก
1
จนเมล็ดโกโก้ ที่ปลูกในทวีปอเมริกาใต้ เริ่มไม่เพียงพอ ประเทศเจ้าอาณานิคม เลยต้องหาแหล่งเพาะปลูกโกโก้แห่งใหม่ เพื่อป้อนให้กับธุรกิจช็อกโกแลต
และที่แห่งนั้น คือ ทวีปแอฟริกา ที่มีสภาพอากาศคล้ายกับอเมริกาใต้ แถมยังมีแรงงานราคาถูกจำนวนมาก ทำให้สามารถผลิตได้ต้นทุนต่ำสุด
ปัจจุบัน ทวีปแอฟริกากลายเป็นผู้ผลิตโกโก้มากสุดในโลกกว่า 73% ซึ่งประเทศที่ผลิตโกโก้กว่าครึ่งโลก นั่นคือ ไอวอรีโคสต์ 44% และกานา 14%
ส่วนทวีปอเมริกา ที่เป็นต้นกำเนิดของโกโก้ ตอนนี้ผลิตในสัดส่วนเพียง 21% เท่านั้น
ส่วนน้ำตาล อีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญของ ช็อกโกแลต แม้จะมีต้นกำเนิดจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ชาวยุโรป ได้นำพันธุ์อ้อยไปทดลองปลูกที่อเมริกาใต้
1
ปรากฏว่า ได้ผลผลิตที่ดีมาก ทำให้อเมริกาใต้ โดยเฉพาะบราซิล กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาล ใหญ่สุดของโลกอีกด้วย
สรุปแล้ว ช็อกโกแลตที่เรากินในปัจจุบัน เกี่ยวข้องกัน
มากถึง 3 ทวีป และตอนนี้มีแหล่งผลิตสำคัญคือ ทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น จากเอลนีโญ กระทบกับผู้ผลิตวัตถุดิบต้นทาง ทั้งเมล็ดโกโก้จากทวีปแอฟริกา และน้ำตาลจากทวีปอเมริกาใต้
ส่งผลให้โกโก้มีราคาแพงมากสุดในรอบ 50 ปี
ส่วนน้ำตาลเองก็แพงขึ้นในรอบ 10 ปีด้วยเช่นกัน
พอเป็นแบบนี้ จึงส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ผลิตช็อกโกแลตรายใหญ่ของโลกโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Hershey หรือ Mondelez เจ้าของ Cadbury
ซึ่งล่าสุด ทาง Hershey เองยังไม่ประกาศชัดว่า จะมีการขึ้นราคาช็อกโกแลตเพิ่มเติม เพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหรือไม่
1
ในขณะที่ฝั่ง Mondelez ได้ปรับขึ้นราคาสินค้าให้ครอบคลุมต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว
โดยในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนวัตถุดิบได้เพิ่มขึ้น 24%
Mondelez จึงต้องขึ้นราคาสินค้า 34% เพื่อหักล้างกับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เพื่อรักษาระดับอัตรากำไรเอาไว้
จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ แม้บริษัทจะเผชิญกับต้นทุนที่แพงขึ้น แต่สุดท้าย ภาระจากต้นทุนวัตถุดิบ ทั้งเมล็ดโกโก้และน้ำตาลที่สูงขึ้น ถ้าบริษัทช็อกโกแลต ตัดสินใจไม่แบกรับเอาไว้เอง มันก็จะถูกผลักมาให้ผู้บริโภคอย่างพวกเรา นั่นเอง
เรื่องนี้ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ราคาช็อกโกแลตจะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน ในวันที่ราคาโกโก้และน้ำตาล กำลังแพงสุดในรอบทศวรรษ
แต่ที่แน่ ๆ คือ โลกร้อนได้ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันของเรา จนสามารถดูดเงินจากกระเป๋าสตางค์ ให้ซื้ออาหารในราคาที่แพงขึ้นได้..
โฆษณา