20 ก.พ. เวลา 06:50 • อสังหาริมทรัพย์

อนาคตไม่รู้จะเป็นเหมือนที่ผมเคยพูดมาเมื่อหลายปีก่อนไหม เกี่ยวกับฟองสบู่ของอสังหาริมทรัพย์และบ้าน

บ้านราคาขึ้นทุกปี ไม่มีลง วัสดุแพงขึ้น ค่าแรงแพงขึ้นต่างๆ หลายคนมักจะมีความเชื่อแบบนี้
ไม่ว่าบ้านจะมีราคาขึ้นยังไง ก็มักจะมีคนซื้อเสมอ !
เพราะทุกคนก็ต่างเอาเงินจากโลกอนาคตมาใช้ นั่นก็คือเงินกู้ เงินก้อนนี้ มันก็จะไปผลักดันราคาของมาเก็ตแคปในตลาดให้มันสามารถสูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ
ยกตัวอย่างเช่น ผมซื้อบ้านมา 1 หลัง ราคา 2 แสน สักพักมีคนมาขอซื้อผม 4 แสน ผมก็ได้กำไร
แล้วคนที่ซื้อต่อจากผม ก็เอาไปประกาศขายต่อ 1 ล้าน แล้วก็มีคนมาซื้อต่อ เขาก็ได้กำไร
เริ่มเห็นช่องทางการทำเงินแล้วใช่ไหมครับ ซื้อถูกขายแพง จะสังเกตุเห็นได้ว่า ราคาพุ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆ มีแต่ขึ้น ไม่มีลง ซื้อยังไงก็กำไร
พอคนเริ่มเห็นว่าบ้านนับวันยิ่งแพง ราคายิ่งไม่มีตก มีแต่ขึ้น คนก็จะเริ่มมั่นใจกัน เริ่มกล้าที่จะซื้อบ้านในราคาแพง เริ่มที่จะกล้าซื้อบ้าน เพราะคิดว่า ยังไงราคามันก็ไม่มีตก
ไม่ว่าราคาจะแพงยังไง คนก็จะซื้อ โดยไม่สนใจว่ามันจะมีราคาเท่าไหร่ เพราะคิดอย่างเดียวว่า ราคามันมีแต่ขึ้น !
เมื่อคนเริ่มแห่ซื้อกัน เริ่มแห่กันกู้เงินมาซื้อบ้าน ถึงแม้จะมีราคาแพงเกินกว่าพื้นฐานหลายเท่าก็ไม่ใช่ปัญหา
เพราะตอนนี้คนก็จะคิดอย่างเดียวแล้ว ว่าราคาขึ้นแน่นอน เริ่มมองไม่เห็นความเสี่ยง เริ่มมองไม่เห็นจุดอันตราย จะมองเห็นแต่ข้อดี มีบ้านให้อยู่ มีบ้านเป็นของตัวเอง ถ้าไม่ยอมเป็นหนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ความคิดพวกนี้มันก็จะสนับสนุนและซัพพอร์ตความกล้าของเรา
มันจะเป็นจุดที่เรามีความมั่นใจสูง ใครเตือนใครพูดอะไร ก็จะไม่ฟัง คิดว่าตัวเองถูกที่สุด ตรงจุดนี้แหละที่อันตราย จุดที่ใครก็ไม่สามารถมาเตือนเราได้อีกแล้ว
และเมื่อมีคนแห่กันซื้อไปสักพัก ทีนี้หนี้ครัวเรือนมันก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ บวกับเงินเริ่มเฟ้อจากก่อนหน้านี้ที่ธนาคารปล่อยกู้ง่าย
พอเงินเฟ้อ ธนาคารต่างๆก็จำเป็นที่จะต้องการลดเงินเฟ้อ และการลดเงินเฟ้อที่ดีที่สุด ก็คือ การดึงเงินในระบบคืน
ธนาคารก็จะใช้วิธีการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อเอาเงินคืนเร็วๆ
พอขึ้นดอกเบี้ย ดอกเบี้ยบ้านก็จะสูงขึ้น สูงขึ้นมากขึ้น แล้วก็จะมีคนจำนวนมาก เริ่มจ่ายไม่ไหว เพราะดอกมันโหด จนเริ่มมีคนยอมขายบ้านออกไปก่อน เพราะจ่ายไม่ไหว ขายปุ๊บได้กำไร ปิดหนี้ได้ ดีกว่าถือมันไว้ แล้วไปลำบากในการผ่อน พอคนเห็นว่า ขายปุ๊ปได้กำไร คนก็จะเริ่มทำตามกัน พอคนเริ่มขายกันมากๆ บ้านก็จะเต็มตลาด
บวกกับธนาคารจะไม่ปล่อยเงินกู้ง่ายอีกแล้ว เพราะต้องการลดเงินเฟ้อ พอบ้านมีมากกว่าความต้องการ มันก็จะเข้าหลักการ ดีมานซ์และซัพพลาย เมื่อมีคนขายมากกว่าคนซื้อ ราคามันก็จะเริ่มตกลงมาเรื่อยๆ จากตอนแรกขายได้กำไร กลายเป็นขายแล้วเท่าทุน หรือ อาจจะขายแล้ว ขาดทุนนิดนึงก็เอา
และเมื่อธนาคารไม่ปล่อยกู้ พอเริ่มมีคนขาย มากกว่าคนซื้อ ถึงเวลานี้ความเป็นจริงก็จะปรากฏ
ว่าบ้านที่คนมองกันว่ามีแต่ราคาขึ้น ไม่มีลง อาจจะเป็นความคิดและความเชื่อที่ผิด
เพราะเมื่อไม่มีเงินจากอนาคตเข้ามาอัดเข้าไปในตลาด ราคามันก็จะไม่สามารถขึ้นต่อได้
สุดท้ายก็จะเกิดกลายเป็นวิกฤต ฟองสบู่แตก และราคามันก็จะปรับฐาน ลงไปอยู่ในจุดของความเป็นจริง
ของแบบนี้เป็นสิ่งจำเป็นไหมที่ต้องซื้อ? มันคือสิ่งจำเป็น
แต่ถ้าเราสามารถอดทนได้ ยอมอยู่กับความลำบากไปก่อนได้ เมื่อถึงเวลาที่ดี หรือ จังหวะที่ดี เราอาจจะได้เข้าไปซื้อบ้านที่มีราคาที่ค่อนข้างคุ้มค่ากับเราได้
โฆษณา