18 มี.ค. เวลา 07:51 • ท่องเที่ยว

เสียเงินไปท่องเที่ยวแล้วได้อะไร !!

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีหลายสิ่งหลายอย่างที่แปรผันเปลี่ยน ทั้งสิ้นคงล้วนเกิดจากการออกเดินทาง ในการเดินทางแต่ละครั้งมีราคาที่เรา ต้องจ่าย ทั้งความกล้าในการออกไปทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย การที่ต้องไปพบเจอวัฒนธรรมที่แตกต่าง สถานที่ หรือสถานการณ์ที่ดูแล้วเสี่ยงอันตราย อีกทั้งยังต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยในการเดินทางแต่ละครั้ง แต่ทำไมเรายังต้องดั้นด้นออกไปด้วยล่ะ
วันนี้ผมคงเพียงแค่มาบอกเล่าความทรงจำ จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นและความรู้สึกที่ว่า ทำไมการที่เรา ลงทุน กับการท่องเที่ยวจึงเป็นควรทำ อะไรคือประสบการณ์ที่เราได้รับระหว่างการเดินทาง
- ทริปพายเรือแคนนูแม่น้ำแม่เงา
ขณะเกิดเหตุการณ์เรือพลิกคว่ำในแม่น้ำ
การเดินทางในทริปนี้เป็นการเดินทางในแม่น้ำแม่เงา จังหวัดแม่ฮ่องสอน ผมล่องเรือแคนู จากต้นน้ำ เดินทางผ่านป่าและหมู่บ้านของชาวบ้าน ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน
อยู่ที่นั่น ก่อนไปผมที่มีประสบกรณ์การในการพายเรือแบบต่างๆมาพอสมควร แต่กับคาเรือแคนูนั้น มันแตกต่างออกไป การพายไปทางซ้ายไม่ทำให้เรือไปทางขวาแบบที่เราเคยรู้มา อีกทั้งการที่เราต้องมาหัดพายเรือที่ต้องคัดท้าย บนแม่น้ำที่เชี่ยวกรากบางทีมันก็อันตรายมากทีเดียว
1
ในสิ่งเราไม่รู้นั้น บางคน เชื่อมั่นในตนเองและยอมรับความเสี่ยงนั้น บางคนเลือกที่จะให้ผู้ที่มีประสบณ์การณ์นำพาไป ในสถานการณ์นี้ก็เช่นกัน บางคนที่เลือก
ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง โดยขาดประสบการณ์ ก็ทำให้เรือคว่ำอยู่บ่อยครั้ง แต่นั้นก็ทำให้ทุกคนได้เรื่องราว ประสบการณ์ และความทรงจำที่คงมิรู้จาง
- ทริปลองขับเครื่องบิน สมุทรสาคร
ขณะครูฝึกปล่อยมือ ให้เราบังคับเครื่องเลี้ยวกลับ
ทริปนี้เกิดขึ้นจากการอยากลองขับเครื่องบินเล็ก ตามความฝันในวัยเด็ก ผมมาถึงสนามบินเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังหมู่บ้านย่านสมุทรสาคร ที่นี้ทุกคนดู กระตือรือร้นกันมาก หลังจากได้นั่งในห้องเรียน ฟังเรื่องราวและวิธีการต่างๆที่ควรจะรู้ในการขับเครื่องบิน
ในช่วงบ่ายเราทุกคนจะได้ขึ้นทำการบินคนละประมาณ 15-20 นาที ระหว่างเครื่องบินขึ้นบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ภายในเครื่องอากาศร้อนเนื่องจากไม่มีระบบแอร์ เสียงคำรามของเครื่องดังขึ้นเมื่อครูฝึกบอกให้ผมดัน คันเร่งไปข้างหน้า
เครื่องสั่นสะเทือน
ไม่กี่อึดใจเครื่องเราลอยขึ้นกลางอากาศ ผมถูกบอกให้ตั้ง Flap และเลี้ยวเครื่องมุ่งหน้าไปยังฝั่งทะเล อากาศตอนนั้นร้อนมาก แต่วิวและความรู้ตอนนั้น ทำให้ผมมีความสุขอย่างมาก เครื่องบิน โบยบินอยู่บนอากาศไม่นาน ครูฝึกบอกให้ผมผลัก Yoke ไปด้านหน้าช้าๆ เครื่องค่อยๆลดระดับลงจนเกือบถึงพื้น ช่วงนี้เองครูฝึกเข้ามาบังขับเอง อย่างเต็มตัวเพื่อนำเครื่องลงพื้นอย่างปลอดภัย
ประสบการณ์ในการบินครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าการบินไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะทำแน่นอน การที่ได้มองทุกอย่างจากบนฟ้า ด้วยการควบคุมของเราเอง ทำให้ผมได้เห็นมุมมองต่างๆกว้างขึ้น ปัญหาทุกอย่างดูเล็กลง
- ภูสอยดาว การเดินทางที่แสนจะธรรมดา
ภาพขณะกำลังเดินใกล้จะถึงจุดกางเต้นท์ ขณะทุกอย่างค่อยๆมืดลง
ครั้งนี้เป็นการเดินทางภูสอยดาวเป็นครั้งที่สอง ในใจผมคิดว่าทุกอย่างคงอย่างงานและสวยงามอย่างเช่นเดิม ผมเดินทางไปถึงในตอนเย็นวันศุกร์ เข้าพักที่บ้านพักอุทยานเหมือนเช่นเคย รุ่งเช้าเราลงทะเบียนพร้อมขึ้นหลัง รถไปยังจุดเริ่มเดิน
เช่นเดิมวันนี้ อากาศค่อนข้างร่อน เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก จนกระทั่งขึ้นมาถึงจนได้ในเวลา เกือบ 4 โมง หลังจากพักเหนื่อย กางเต้นท์เรียบร้อยเวลาก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงแล้ว แต่ด้วยความอยากชมพระอาทิตย์ตก
เลยเดินห่างจากจุดกางเต้นท์ไปเรื่อย ด้วยความเพลินเพลินกับบรรยากาศแสนสงบเงียบจนลืมเวลา ฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว จนผมตระหนักได้ว่าเราควรจะรีบกลับถึงแม้ บริเวณนั้นจะเป็นหญ้าเตี้ยๆ แต่กลับใช่เรื่องง่ายที่เราจะแค่เดินตรงไปที่เต้นท์
เนื่องจากทางบริเวณนั้น เต็มไปด้วยแอ่งน้ำมากมาย พื้นดินที่เต็มไปด้วยโคลน ทำให้เราต้องใช้เวลาอย่างมากในการเดิน ประกอบกับ แสงที่มืดลงเรื่อยๆ เราอาศัยเพียงแต่แสงไฟจากโทรศัพท์ คลำทางไปเรื่อยๆ เดินไปผิดทางหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็มาโผล่เอาตรงข้างศูนย์ให้บริการจนได้
- คามิโคจิ หิมะในหน้าร้อน
เรากำลังไต่ลงจาก เขาน้ำแข็งในช่วงต้นหน้าร้อนของญี่ปุ่น
เชื่อว่าหลายคนคงเคยเดือนทางไปสะพานกัปปะ ที่อุทยานคามิโคจิกันมาบ้างแล้ว ทริปนี้เนื่องจาก เราชอบการเดินทางผจญภัยอยู่แล้วจึงลองหาอะไรแปลกๆดู
มาลงตัวที่การเดินขึ้นเขาเส้นทาง Karasawa Cirque เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างไกล ไปกลับประมาณ 30 กิโลเมตร เราเริ่มต้นการเดินกันแต่เช้า เนื่องจากเป็นช่วงต้นหน้าร้อน ยังดีที่มีร่มไม้เขียวๆพอให้เราเดินลอดไปเรื่อยๆ เราเดินกันจนถึงช่วงบ่ายๆหลังจากพักกินข้าวกันเรียบร้อย เรารีบออกเดินด้วยหวังว่าจะถึงด้านบนก่อนค่ำ
ทางเดินชันขึ้นเรื่อยๆ เราเจอคน ญี่ปุ่น ที่เดินลงมาจึงถามไปว่า อีกไกลไหม แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ ข้างบนยังมีหิมะอยู่ระวังด้วย ด้วยความฉงนว่าร้อนขนาดนี้
จะมีหิมะได้อย่างไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบเดินต่อไป แต่สุดท้ายเราก็เจอกับหิมะเข้าจริงๆ เนื่องจากเป็นหิมะที่ตกมาสักพัก ทางตรงนั้นเลยลื่นมาก เราที่ไม่ได้เตรียมตัวมาใส่เพียงรองเท้าเดินป่า ก็ลื่นไถลกันไปหลายตลบกว่าจะไปถึงด้านบนได้
ตอนขึ้นว่าเหนื่อยแล้วแต่ตอนขาลง ฝนดันตกลงมาอย่างหนัก หิมะเจอกันฝน บวกกับลม กลายเป็นหายนะ เราค่อยๆไต่ลงมา
ธารน้ำใต้เท้าเราที่ตอนมาไม่มีอยู่ บัดนี้ กลายเป็นแม่น้ำอย่าใต้หิมะที่เราเหยียบลงไปอีกที ทั้งเปียก ทั้งหนาว หนาว ทั้งกลัว ไอครั้นจะลงมาเร็วๆก็ไม่ได้เพราะลื่นมาก เราต้องตั้งสติ ระวังทุกก้าวที่เหยียบ ใช้เวลาอยู่เกือบ 2 ชม ถึงออกจากสถานะการนั้น เราเปียกและเลอะเทอะไปหมด จนถึงขนาดต้องหิ้วรองเท้าเดิน เมื่อถึงทางราบแล้ว เพื่อเดินไปขึ้นรถบัสทั้งที่เลอะเทอะและเปียกปอนมาทั้งวัน นับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น และคงลืมไม่ลง
- ลื่นไถล ในพายุที่ฟุกุโอกะ
ถนนที่โปรยปรายด้วยหิมะ กับยางหน้าร้อน
เราเดินทางมาที่ฟุกุโอกะ เมืองที่ไม่คิดว่าจะมีหิมะในช่วงปลายเดือนมกราคม
และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทันทีที่เครื่องบินลง อากาศแค่เย็นสบายๆ เรารับรถเช่า
หวังว่าจะเป็นการขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ จนผ่านคืนแรกไป คืนที่สองเราขับเราไป ยุฟุอิน หลังจากนั้นก็คิดว่าจะขับไปที่ คุมาโมโต้เลย เราออกจากยุฟุอินช่วงเกือบเที่ยง
แต่ทว่าทางที่เราวิ่งไปดันเป็นทางข้าม ภูเขา ช่วงแรกดูไม่มีอะไร จนกระทั่งหิมะเริ่มตก เราคาดหวังว่าอีกไม่นานก็น่าจะข้ามไปแล้วคงไม่ต้องกังวล แต่เราคิดผิด หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
ยางรถไม่ยึดกับถนนอีกต่อไป พอเจอกับเนินยิ่งแล้ว รถดูเหมือนจะไม่มีแรงยึดกับพื้นเพื่อจะส่งตัวเองขึ้นเนินอีกต่อไป ผมฝืนอยู่นานจนรถคันหน้าจอดและบอกว่า เราควรย้อนกลับไปเพื่อขอความช่วยเหลือดีกว่า เพราะถ้าปราศจากโซ่พันล้อแล้วเราคงเกิดอุบัติเหตุเข้าจริงๆแน่ เราจำใจย้อนกลับไป ทางลงเนินรถด้วยการไถลลง ถึงจุดนี้ผมเริ่มตระหนักแล้วว่ามันอันตรายมากๆ มาจนเจอกับปั้มเล็กๆ จากการสอบถามพบว่าเค้าก็ไม่มีที่พันโซ่ให้เราเหมือนกัน แต่ยื่นแผ่นพับมาให้เราหนึ่งใบ เราโทรไปที่ปลายสาย เค้าถามแค่ถามว่าเราอยู่ตรงไหน
ประมาณ 30 นาทีก็มีรถมาจอดเทียบพร้อมนำโซ่พันล้อมาพันพร้อมสอนวิธีถอดใส่ให้เราอย่างละเอียด ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท ทั้งที่ข้างล่างราคาไม่ถึงพันบาทด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าเป็นค่า เดินทางมาช่วยเหลือกลางหิมะแบบนี้ เราขับต่อมาอีกนาน 2-3 ชั่วโมงระหว่างทางมีรถตกถนนบ้าง ชนกันบ้างหลายคัน ทำให้รถตระหนักเลยว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เราเสี่ยงมากแค่ไหน แต่ใจสุดท้ายเราก็มาถึงปลายทางจนได้
ทางไต่เชือกก่อนถึงยอดดอยหลวงเชียงดาว
ชีวิตคือการเดินทาง คำนี้คงไม่ผิดนักทั้งการเดินทาง ผ่านการเรียนหนังสือ การทำงาน การมีลูก การพบปะผู้คน การเข้าใจความหมายของชีวิต และการพาตัวเองเดินทางไปในจุดต่างๆเพื่อเจอสิ่งที่เราไม่เคยได้พบ
ข้อดีของการเดินทาง ย้ำเตือนเรา
- เราไม่ควรกลัว จนไม่กล้าทำอะไร แต่ก็ไม่ควรประมาทจนลืมอันตรายไป
- ผู้คนบนโลกใบนี้ มีดี มีร้ายปะปนกันมากมาย อย่าด่วนตัดสินใครจากเพียงภายนอก หรือประสบการณ์ของเรา อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้พบกับความสัมพันธ์ที่ดี
- ต้องยอมรับว่าเราคงเตรียมพร้อมกับทุกอย่างที่เราจะเจอไม่ได้ แต่สติสำคัญที่สุดในเวลา คับขัน
- ไม่ประมาทแม้แต่กับสิ่งที่เราเชี่ยวชาญ สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิด
- โลกนี้สวยงามจริงๆ
หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับการเดินทางของตัวเองนะครับ
Mr.Sunshine
โฆษณา