23 ก.พ. เวลา 11:19

[รีวิวอัลบั้ม] Vultures 1 - Kanye West & Ty Dolla $ign >>> คู่แร้ง แห้งเหือด

-ผมเคยจัดเทียร์ให้ Jesus Is King คืออัลบั้มที่แย่ที่สุดของพี่เย่ พอมาเจอ Vulture 1 ปุ๊บ กลับกลายเป็นว่าผมอาจจะคิดผิดถนัดก็เป็นได้ เพราะนี่คืออัลบั้มที่เป็น new low ที่ดันทำให้ JIK ดูดีขึ้นมาเสียอีก (ยังไม่ได้ฟัง DONDA 2 เลย)
-ผมไม่อินกับ Volume 1 นี้เสียเลย นี่ขนาดภาคแรกนะ ยังเละขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกถึง 2 ชุดที่กำลังตามมา สภาพจะขนาดไหน เพราะเปิดตัวมาก็แอบลวกๆเลย ลึกๆผมเชื่อด้วยซ้ำว่า พี่เย่มีสิทธิ์ยกเลิกโปรเจคต์นี้กลางคัน ตามสไตล์แรปเปอร์ผู้เยอะทุกสิ่ง แก้งานไปมา เมื่อได้รับรู้ฟีดแบ็คที่ไม่ค่อยสู้ดี เป็นธรรมดาที่จะต้องเท ขนาดอัลบั้ม YANDHI ที่เคยประกาศเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อปี 2018 เราก็ไม่ได้เห็นอัลบั้มนี้อีกเลย
-ส่วนพี่ Ty Dolla $ign ก็ไม่ต่างอะไรจากแขกรับเชิญเสริมที่ไม่ต่างจากมือปืนรับจ้างที่เข้าร่วมแจมในโปรเจคต์ที่แล้วมาของพี่เย่ คู่หูเยนดอลล่าร์ (¥$ ต้อง ยีซี่ดอลล่าร์ ซิวะ!!!) กลับกลายเป็นส่วนผสมที่ไม่ใช่ส่วนผสมมิติบัดดี้ที่เกิดมาคู่กัน
-ยังคงห่างไกลจาก Kids See Ghost ที่ร่วมกับ Kid Cudi ไปหลายขุม ต่อให้ความสัมพันธ์จะ on and off ประกาศหย่าเลิกคบเป็นพันรอบ แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่แยกออกจากงานเพลงอย่างชัดเจน ตราบใดที่พวกเขาเครื่องติดหันหน้ามาร่วมรังสรรค์กันเมื่อไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้โคตร hype คงไม่มีใครนอกเหนือจาก Jay-Z และ Kid Cudi แล้วมั้งที่สามารถออกโปรเจคต์เข้าขากับพี่เย่แล้วเคมีจะเสริมกันมากกว่ายึดเซนเตอร์ที่พี่เย่คนเดียว อันนี้ก็แล้วแต่เซนส์ของแต่ละคนว่าการจับคู่ใครกับใครเป็นเคมีที่ลงตัวที่สุด
-ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเชิญ Ty Dolla $ign มาร่วมหัวจมท้าย แต่น่าจะอยู่ที่นายหัวพี่เย่เนี่ยแหละ โดยเฉพาะสภาวะทางอารมณ์ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สร้างวีรกรรมเกรียนคีย์บอร์ดอวยนาซีเหยียดชาวยิวไปเรื่อยจนบางทีก็อดคิดไม่ได้ถึง mindset เพี้ยนๆจะส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง(โดยไม่จำเป็น)กลับทำให้เกิดความยุ่งเหยิงที่ลามไปถึงผลงานจนไม่สามารถจับทางได้เป็นชิ้นเป็นอันใดๆเลย
-โปรดักชั่นสุด downgrade ไม่ต่างอะไรจากคลิปวิดีโอเซลฟี่โปรโมทเว็บไซต์ yeezy.com ในช่วงพักเบรคโฆษณา Super Bowl ซึ่งผลาญงบหลักสิบล้านดอลล่าร์ โรคเลื่อนปล่อยอัลบั้มอันเป็นปัญหาสุดคลาสสิคตั้งแต่สมัย The Life of Pablo ความหุนหันพลันแล่นอันแสนวุ่นวายที่ให้ผลลัพธ์ผีเข้าผีออก บ้างก็เอาตัวรอดกลายเป็นผลงานที่ตอกย้ำความอหังการ แต่ก็ใช่ว่าเราจะได้เห็น old kanye ที่มีสุนทรีย์และความคิดที่เป็นแบบแผนเสมอไป
-เป็นอีกครั้งที่ความหุนหันพลันแล่นนำพาซึ่งความเร่งรีบที่มีแต่จะทำให้ branding เสื่อมมนต์ขลัง เหลือไว้ซึ่งความ least efford ที่อิงบารมีเก่า พอได้ฤกษ์ปล่อยอัลบั้มก็จัดงาน listening party ประหนึ่งกลยุทธ์เปิดตัวคอลเลคชั่นเสื้อผ้าใหม่
-ขายความหวือหวาแต่ก็ไร้ซึ่งคอนเทนท์ การเย็บปักถักร้อยที่แพงเกินจริง ไม่ติดที่พี่เย่ unlock โหมดคนบาป เห่อเมียใหม่ในแบบที่…บนเรือที่อิตาลีก็ไม่เว้น หลังจากที่เคยถวายตัวเป็นนักบุญใน JIK (ถึงขั้นบำเพ็ญตนด้วยการไม่ขอมีเซ็กส์ในช่วงทำอัลบั้มนี้) และไม่ขอหยาบคายใน DONDA แต่ภาคบีทและโปรดักชั่นอันลวกๆก็คงไม่บังเกิด bold statement ที่ทรงพลัง
-แทร็คเปิด STARS ที่มาทรง Ultralight Beam แต่เป็นความแผ่วและเจือจางที่ห่างไกลความสงบเสงี่ยมอันหนักแน่นแบบที่เพลงนั้นเคยเป็น หนักสุดคงหนีไม่พ้น HOODRAT กับการ repeat ที่น่ารำคาญมากสุดในสามโลก การขับร้องแทนที่แรปใน verse ปกติก็สวนทาง ไม่ไหวๆ จนกล้าพูดได้เลยว่า นี่คือเพลงที่แย่สุดของคานเย่ DO IT อินโทรเปิดที่ใช้แซมเปิ้ล I Just Wanna Know เพลงของ Nipsey Hussle (ไม่ได้ถูกปล่อย)ได้อย่างเสียของค่อนข้างระคน ไม่น่ายัดอะไรแบบนี้ ทั้งๆ verse ปกติก็สนุกในตัวมันอยู่แล้ว
-Vultures ไตเติ้ลแทร็คเปิดตัวที่โคตรแผ่ว โชว์แรปเต็มๆของนาย Tyrone ในขณะที่พี่เย่ก็โรยราเอามากๆ Lil Durk ที่คนอวยว่าน่า hype มากๆชนิดที่คนบ่นว่า ทำไมในเวอร์ชั่นซิงเกิ้ล verse ของ Durk ถูกตัดออก สำหรับผมกลับรู้สึกไม่ได้ hype ขนาดนั้น ไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องมี Durk มาเติมเต็ม และไม่จำเป็นต้องมีเพลงนี้ในอัลบั้มด้วยซ้ำ (ว๊ายยยย) เพลงปิดอัลบั้ม KING ผมแปลกใจในความทุ้มของเพลงนี้อย่างแรง นี่รีบ approve ใช่มั้ย? ทำไมเพลงปิดท้าย volume 1 ถึง low quality ขนาดนี้
-สำหรับการเลือกแขกรับเชิญมาประกบฟีทเจอร์ ถ้ามองในแง่ดีคงจะเป็นการมอบโอกาสในศิลปินได้เฉิดฉายภายใต้แบรนด์เนมของพี่เย่ที่อาจจะร่อแร่และแอบตีบตันทางลูกเล่นไปหน่อยในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็น Quavo ในเพลง PAPERWORK ลูกเล่นอีดีเอ็มที่แอบเชย เคสที่หนักกว่าตกอยู่ที่ Chris Brown ที่โดนดัดคีย์เสียงในแทร็คที่อืดอาดที่สุดอย่าง BEG FORGIVENESS ราวกับว่า พี่เย่เอาคืนที่คริสบราวน์เคยด่า “กะหxี่” ออกสื่อด้วยเหตุที่บราวน์โดนเทใน DONDA session
-ถ้าถามว่าใครกันที่ช่วงชิงโอกาสแห่งการแจ้งเกิดที่สุดคงหนีไม่พ้น Freddie Gibbs ในเพลง BACK TO ME ที่พี่แกเล่นใส่ verse สมบุกสมบันจนเป็นตัวขโมยซีนยิ่งกว่าเจ้าของเพลง นาย Tyrone ที่โผล่มาแค่นิดเดียว ในขณะที่พี่เย่ก็ย้ำวลีเด็ดจากหนังเรื่อง Dogma ที่นำมาเป็นแซมเปิ้ล ย้ำอยู่อย่างนั้นยาว 1 verse เต็มๆเนี่ยนะ จะไม่ให้คนว้าวไปที่ Freddie ได้ไง?
-การโผล่มาแค่นิดเดียวของ Travis Scott ที่เติมไฟแห่งความ lit ได้มีประสิทธิภาพหน่อยในเพลง FUK SUMN ส่วน Playboi Carti ในเวอร์ชั่น 2024 กลับเป็นความตายด้านอันน่าแปลกใจเมื่อได้ไปอยู่ทั้งเพลง FUK SUMN และ CARNIVAL กลับสร้างความไม่น่าฉงนสนเท่ห์เมื่อเทียบเท่ากับการ introduce ในเพลง FEIN หรือผลงานที่ตัวเองได้ปล่อยออกมาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
-ความดูดีแบบเวิร์คๆที่พอนึกถึงได้ก็คงจะเป็น BURN ที่ขับเคลื่อนความ catchy R&B ที่พออุ้มขูนาย Tyrone ให้เฉิดฉาย charisma ได้มากกว่าเพลงอื่นๆ แต่ก็มาได้สั้นรวบรัดมากๆ เพลง Talking ก็เช่นกัน ซึ่งพาร์ทนาย Tyrone ก็แลดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ ในขณะที่น้อง North West โชว์ verse ด้วยภาษาที่สมวัย
การเอาลูกมาปล่อยของเนี่ย แลดูเป็นกลยุทธ์แห่งการขับเคี่ยวเพื่อส่งต่อพลังอิทธิพลสู่ทายาทอยู่ไม่น้อย เห็นได้จาก Jay-Z กับ Beyonce ที่พาน้อง Blue Ivy มาออกหน้าสื่อ ไม่เว้นแม้แต่ Drake ที่ดึงน้อง Adonis มาเป็นตัวเซอร์ไพร์สในเพลง Daylight จากอัลบั้ม For All The Dogs
-การแซมเปิ้ลคลิปเสียงตะโกนโห่ร้องของชาวคณะ Inter Milan ในเพลง CARNIVAL ก็ช่วยเสริมความเกรียงไกรกร้านโลกได้บ้าง นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่มีการ mention ถึง Taylor Swift เพลงนี้จะได้รับความสนใจหรือไม่? PROBLEMATIC การแซมเปิ้ลเพลงโซล Jubilation ของ Spooky Tooth เป็นสไตล์ของพี่เย่ที่ผมยังขอซื้ออยู่ และหยอดวลีเด็ด “Shit is fuckin' ridiculous” จากเพลง So Appalled เป็นการปิดท้ายเพลงแบบลง punchline อย่างลงล็อค
-ขอพูดถึงคลิปเสียงของ Mike Tyson ที่ถูกเอาไปแซมเปิ้ลใน Outro เพลง HOODRAT (เพลงที่ผมเกลียดที่สุด) ซึ่งไมค์ได้ mention ถึงอิทธิพลของ Kanye West ไว้ว่า คานเย่คือศิลปินที่มี haters ชอบทำตัวย้อนแย้ง เกลียดก็ยังหลวมตัวที่จะฟัง เพราะความเทพในตัวเย่ที่ใครๆก็ปฎิเสธไม่ได้ ไม่เถียงว่า เขามีปัญหาด้านสุขภาพจิต เพราะมันเป็นปัญหาปกติของคนที่ชอบทำตัวเป็นผู้นำอยู่แล้ว
-คำพูดข้างต้นของ Mike Tyson โคตรจริงจนผมสะดุ้ง ในฐานะที่เคยพิมพ์รีวิวด่าคานเย่ในอัลบั้มอื่นๆที่แล้วมาจนถึงอัลบั้มนี้ ผมมองว่าแกคือศิลปินที่มีความเป็น supervillian ในอุตสาหกรรมวงการบันเทิงมากเลยนะ ทั้งลีลาการประชดประชันเกรี้ยวกราดผ่าน lyrics การโพสต์ status โวยวายในโลกโซเชี่ยล การซิกแซกเรื่องแผนการปล่อยอัลบั้มจนทำให้สื่อสับสนต้องแก้ข่าวในภายหลัง การแต่งตัวคลุมโม่งดำ(ที่คนปกติมักจะไม่แต่งอะไรแบบนี้) ชีวิตรักดูดดื่มไม่แคร์สื่อสาธารณะ
-วีรกรรมที่ชัดเจนสุดคือการป่วนเวทีตอนที่ Taylor Swift ขึ้นรับรางวัล MTV และทำกับ Beck ตอนขึ้นรับรางวัลแกรมมี่สาขา Album of the year หนักสุดคือการเหยียดชาวยิวออกหน้าผ่าน X (Twitter) นำมาซึ่งความชิบหายโดนแบรนด์เนมต่างๆยกเลิกสัญญาจนตกอันดับมหาเศรษฐีพันล้าน
-ในความเป็น supervillian บนพื้นที่สื่อนั้น เราต่างรับรู้ในความสุดโต่งอันซับซ้อนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจให้เคลียร์กระจ่างถึงการกระทำ “อิหยังวะ” ของเขาได้ในเร็ววัน อาจจะโทษที่ bipolar และภาวะทางจิตอื่นๆที่ทำให้ชีวิตสุดหวือหวาของคานเย่ไม่มีทางหาจุดแห่งความสงบจนไม่สามารถ bring back old Kanye อย่างที่เขาพยายามพร่ำบอกมาโดยตลอด ซึ่งทุกคนไม่น่าจะคาดหวังแล้วล่ะครับ
-ปัญหา collaborative album ชุดนี้ที่ไม่สามารถเทียบชั้น Watch The Throne และ Kids See Ghost ได้เลย น่าจะอยู่ที่การทำให้นาย Tyrone ตกอยู่ในสภาวะ “น้องตามใจพี่” ในฐานะตัวเสริมที่เพิ่มเติมด้วย verse เทียบเท่าแขกรับเชิญก็เท่านั้น จะสอดรับความเป็นป็อปอาร์แอนด์บีเต็มสูบก็ไม่ใช่ การงัด charisma ของนาย Tyrone ก็มีแค่นิดเดียวเท่านั้น
-อะไรคือนิยามของการเป็น “แร้ง” ของทั้งคู่กันแน่ ผมยังไม่เห็นอะไรเลย คอนเซปท์ก็ไม่มี คาแรคเตอร์บัดดี้ก็ไม่เกิด กลับกลายเป็นว่าพี่เย่เนี่ยแหละคือแร้งที่ฉกนาย Tyrone มาแฮกระบบเสียเอง และเป็นความประเดี๋ยวประด๋าวก็ไม่สามารถฉก career highlights ให้ทั้งคู่ได้เลย
นอกเสียจากโอกาสแห่งความสนุกปากของ haters
Top Tracks: BACK TO ME (Only Freddie Gibbs’s verse), BURN, PROBLEMATIC
Give 4.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา