24 ก.พ. เวลา 08:31 • ความคิดเห็น

Advocacy Note : คดีอาญาเรื่อง บุกรุก , ทำร้ายร่างกาย

👤ทนายความฝ่าย : จำเลย
.
สรุปประเด็นสำคัญของคดี
.
📑คำฟ้อง - คำให้การ📑
คดีนี้ฝ่ายโจทก์(อัยการ)ฟ้องว่าจำเลยกับพวกรวม 4 คน ได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของตน และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยให้การปฏิเสธ
(ขอเล่าย้อนไปก่อนนะครับว่า คดีนี้จำเลยถูกฟ้องมาคนเดียว เพราะพวกจำเลยอีก 3 คน ถูกฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่ง และคดีจบไปก่อนหน้าแล้ว)
💬ข้อเท็จจริงฝ่ายจำเลย💬
วันเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้เสียหายมีสภาพมึนเมา และโวยวายมาทางฝ่ายจำเลยที่อยู่บ้านติดกัน ขณะนั้นจำเลยอยู่กับพวกรวมกัน 4 คน จนต่อมาพวกจำเลยคนหนึ่งเดินเข้าไปคุยกับผู้เสียหาย จากนั้นไม่นานผู้เสียหายกับคนนั้นก็เริ่มชกต่อยกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกจำเลยอีก 2 คน ก็เข้าไปร่วมการชกต่อยด้วย แต่ตัวจำเลยไม่ได้เข้าไปร่วม
แต่กลับไปเรียกบ้านตรงข้ามให้ออกมาช่วยระงับเหตุ และตะโกนเรียกให้เพื่อนของตนหยุดการชกต่อย จนเพื่อนเริ่มมีสติ และหยุดการกระทำ จึงค่อย ๆออกมาทีละคน ภายหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงจำเลยกับพวกก็มีปากเสียงกันกับครอบครัวผู้เสียหาย เถียงกันไปกันมาว่าคนนั้นคนนี้เริ่มก่อน ด้วยการที่จำเลยคดีนี้เป็น เพศที่สาม บุคลิกการพูดจาจึงค่อนข้างเหมือนผู้หญิง ตอนมีปากเสียงกัน ด่ากันไปกันมา จำเลยจะค่อนข้างพูดเยอะพอสมควร
🏴ประเด็นหลักที่ต่อสู้ในคดี🏴
ข้อหาทำร้ายร่างกาย : จำเลยไม่ได้ทำร้ายผู้เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นตัวการ หรือผู้สนับสนุน ก็ไม่ใช่ เพราะถึงแม้จำเลยจะมีการด่ากันไปกันมากับฝ่ายผู้เสียหาย แต่ส่วนนั้นเกิดขึ้นภายหลังจากที่เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทจบลงแล้ว จึงมิใช่เป็นผู้สนับสนุน
ข้อหาบุกรุก : จำเลยมิได้มีเจตนาเข้าไป เพื่อรบกวนการครอบครอง ในทางตรงกันข้ามจำเลยเป็นคนที่พยายามระงับเหตุการณ์ด้วยซ้ำ
🔎หลักฐานสำคัญ🔎
คลิปวีดีโอกล้องวงจรปิด และพยานบุคคลอื่น ๆ เช่น เพื่อน ๆจำเลยในเหตุการณ์ และอื่น ๆ
🏛วันสืบพยาน และคำตัดสิน🏛
คดีนี้ฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำคลิปกล้องวงจรปิดเข้ามาเป็นพยานหลักฐาน แต่มีครอบครัวของผู้เสียหายมาเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยร่วมทำร้ายผู้เสียหาย แต่พอถึงคราวถามค้านให้ดูกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ กลับเป็นหนังคนละม้วนกับที่ตนเองเบิกความมาทั้งหมด จนศาลต้องเตือนให้คิดดี ๆก่อนจะเบิกความ ไม่เช่นนั้นจะมีคดีฟ้องร้องกันต่อไปอีก จนสุดท้ายศาลก็พิพากษายกฟ้องโจทก์
*แต่ขอกระซิบนิดนึงครับว่า ก่อนที่จะได้สืบพยานจำเลยก็โดนกดดันจากใครก็ตามพอสมควร บ้างก็ถามว่าทำไมไม่รับสารภาพ มีโอกาสรอการลงโทษสูงนะ บ้างก็บอกว่าไม่รับสารภาพนี่โดนโทษเต็มเลยนะ ซึ่งผมก็นับถือใจตัวจำเลยมากที่ยังใจแข็ง พร้อมที่จะต่อสู้คดีเพื่อให้ตัวเองได้รับความยุติธรรม*
💡บทเรียนที่ได้รับ💡
สิ่งที่คิดว่าได้รับจากการทำคดีนี้คงไม่ใช่เกี่ยวกับการว่าความมากนัก เพราะวันสืบพยานค่อนข้างไม่กดดันสักเท่าไหร่ ด้วยพยานหลักฐานฝ่ายเราที่ชัดเจน
แต่สิ่งที่ได้จริง ๆคือผมมองว่ากระบวนการยุติธรรมบางอย่าง มันไม่เอื้อต่อหลักที่ว่า "ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยไม่มีความผิด" สักเท่าไหร่ การที่ผู้มีส่วนในคดีมาพูดอะไรบางอย่างต่อตัวคนที่เป็นจำเลยในคดีอาญา มันทำให้ตัวจำเลยจากที่เครียดตอนถูกฟ้องอยู่แล้ว มันยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มันไม่มีใครอยากถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด ทั้ง ๆที่ตนเองไม่ได้ทำ ถึงแม้จะรู้ว่ามีโอกาสที่จะได้รับการรอการลงโทษก็ตาม
แต่กลับกันในคดีที่จำเลยนำผิดจริง ๆมันก็มองได้อีกทางใช่ไหมล่ะครับ ฮ่า ๆ นั่นแหละครับ มันคงต้องขึ้นอยู่กับทุก ๆฝ่ายรวมทั้งตัวทนายจำเลยเองด้วยที่จะต้องให้คำแนะนำที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น ๆกับตัวเขาเอง (เรื่องพวกนี้ก็ไม่ค่อยอยากเขียนละเอียดสักเท่าไหร่ ฮ่า ๆ)
นอกจากนี้ผมยังเกิดคำถามอีกว่า ถ้าไม่มีกล้องวงจรปิดจะเป็นยังไง🧐
ขอบคุณครับ
โฆษณา