6 มี.ค. 2024 เวลา 02:08 • การศึกษา

ประเพณีการทำขวัญนาคในสังคมชาวไทยถิ่นไต้ I ธ.ปริทัศน์

สังคมไทยถือเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม(multicultural society)ซึ่งคำว่าสังคมพหุวัฒนธรรม(Multicultural Society) เป็นสังคมที่ประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย มีความแตกต่างกันทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนา ภาษา การแต่งกาย การเป็นอยู่ ฯลฯ เพราะแต่ละกลุ่มชนมีความเชื่อ ความศรัทธา ในศาสนาและ วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
การที่จะทำให้แต่ละคนสามารถอยู่ร่วมกันในชุมชนหรือสังคมเดียวกัน ด้วยการพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือกัน ไม่มีการเบียดเบียนกัน ไม่ทำร้ายกัน หรือไม่ละเมิดสิทธิของกันและกัน(พระมหามงคลกานต์ ฐิตธมฺโม และ อาภรณ์รัตน์ เลิศไผ่รอด,๒๕๖๓) โดยสังคมไทยนั้นถือเป็นสังคมที่มีความโดดเด่นและหลากหลายทางวัฒนธรรมประเพณีที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ สืบทอด ไปสู่ชนรุ่นหลังโดยประเพณีหรือวัฒนธรรมเหล่านั้นเป็นกิจกรรมที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา
รวมถึงมีความสำคัญต่อสังคม อันสืบเนื่องมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์และการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างกัน กล่าวคือ นอกจากวัฒนธรรมหรือประเพณีเหล่านั้นมีบ่อเกิดจากการตกผลึกทางภูมิปัญญาของคนในสังคมใดสังคมหนึ่งแล้ว ยังมีบ่อเกิดจากการรับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือสังคมอื่น โดยรับเอาแบบแผนการปฏิบัติที่หลากหลายเข้ามาผสมผสานและประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต ดังนั้น ประเพณีจึงเรียกได้ว่าเป็น วิถีแห่งการดำเนินชีวิตของคนในสังคม
หลังจากประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางศาสนาพุทธจากประเทศอินเดีย ราวพุทธศตวรรษที่ ๓ จึงเกิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม (cultural diffusion) อันนำมาสู่การมีวัฒนธรรมร่วม และการพัฒนาต่อยอดหรือประยุกต์ใช้วัฒนธรรมที่รับเข้ามาใหม่ ให้เหมาะสมแก่บริบททางสังคมในขณะนั้น ซึ่งเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา เช่น ประเพณีการทำขวัญนาคก่อนเข้าสู่การอุปสมบท
ประเพณีดังกล่าวเป็นการนำเอาแบบแผนการปฏิบัติที่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอก คือ การอุปสมบท ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติอย่างหนึ่งทางพระพุทธศาสนา นำมาผสมผสานกับแบบแผนการปฏิบัติในสังคมเดิม คือ การทำขวัญ ซึ่งเป็นระบบความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” ในศาสนาผี ที่เป็นพื้นฐานความเชื่อเดิมของคนในแถบเอเชียอาคเนย์
ดังนั้นจึงทำให้เกิดประเพณีการทำขวัญนาคก่อนการประกอบพิธีอุปสมบท โดยเป็นแนวความเชื่อที่อยู่นอกเหนือจากการบัญญัติในพระวินัยของพระพุทธเจ้า ซึ่งจากการค้นคว้าทางด้านมานุษยวิทยาวัฒนธรรม และการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ จะพบว่า มีเอกสารที่บันทึกรายละเอียดของประเพณีการทำขวัญนาคในประเทศไทยซึ่งมีกระจายอยู่ในทุกภูมิภาค โดยในแต่ละภูมิภาคจะมีแนวปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไปตามบริบทของสังคมในภูมิภาคนั้น
หากจะกล่าวถึงความเชื่อเรื่องขวัญ สามารถอธิบายได้ว่า เป็นหลักความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ไท ซึ่งเป็นความเชื่อดั่งเดิมและเก่าแก่ที่สุด โดย “คำว่า “ขวัญ” เป็นคำโบราณตระกูลภาษาไท พบได้ในชาติพันธุ์ไททั้งในประเทศไทยและนอกประเทศ นอกจากนี้พิธีกรรมเรียกขวัญยังเป็นพิธีกรรมเก่าแก่ที่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ พงศาวดารและวรรณกรรมโบราณ
” (รุจินาถ อรรถสิษฐ,๒๕๔๘) ซึ่งคำว่า “ขวัญ” ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๖๙) กล่าวว่า “ขวัญ” หมายถึงผมหรือขนที่เวียนเป็นก้นหอย หรือ มิ่งมงคล, สิริ, ความดี, เช่น ขวัญข้าว ขวัญเรือน หรือ สิ่งที่ไม่มีตัวตน เชื่อกันว่า มีอยู่ประจำชีวิตของคนตั้งแต่เกิดมา ถ้าขวัญอยู่กับตัวก็จะเป็นสิริมงคล เป็นสุขสบายจิตใจมั่นคง ถ้าคนถ้าคนตกใจหรือเสียขวัญ ขวัญก็จะออกจากร่างไป
ซึ่งเรียกว่า ขวัญหาย ขวัญหนี ขวัญบิน เป็นต้น อันจะทำให้คนนั้นได้รับผลร้ายต่าง ๆ โดยเรียกผู้ที่ตกใจง่าย คือเด็กหรือหญิงซึ่งมักจะขวัญหายบ่อยๆ ว่า ขวัญอ่อน และอนุโลมใช้ไปถึงสัตว์หรือสิ่งของบางอย่างเช่น ช้าง ม้า ข้าว เรือน ฯลฯ ว่ามีขวัญเช่นเดียว กับคนเหมือนกัน..."
ทั้งนี้หากอ้างอิงจากบทความของ สุจิตต์ วงษ์เทศ เรื่อง ‘ศาสนาผี’ ขวัญในศาสนาผี ปนกับวิญญาณทางศาสนาพุทธ ตอนหนึ่งจะได้กล่าวจำแนกและกล่าวถึงนิยามของคำว่า “ขวัญ” ไว้ความว่า
“ขวัญ ในศาสนาผีมีมากกว่าหนึ่ง (บางกลุ่มเชื่อว่าคนมีขวัญทั้งสิ้น ๘๐) เมื่อคนตาย ส่วนขวัญไม่ตาย แต่กลายเป็นผี แล้วถูกเรียกว่า “ผีขวัญ” เรียกสั้นๆ ว่า ผี
ขวัญคน บนหัวตรงกลางกระหม่อม เรียก จอมขวัญ (หรือขวัญกก) เมื่อเพ็ดทูลพระเจ้าแผ่นดินเพื่อขอความเป็นมงคลของชีวิตต้องอ้างถึงขวัญเพื่อขอความมั่นคงด้วยถ้อยคำว่า “ปกเกล้าปกกระหม่อม”
นอกนั้นเรียกตามชื่ออวัยวะ ได้แก่ ขวัญหู, ขวัญตา, ขวัญใจ, ขวัญมือ, ขวัญแขน, ขวัญขา ฯลฯ , ขวัญสัตว์ ได้แก่ ขวัญวัว, ขวัญควาย ฯลฯ , ขวัญพืช ได้แก่ ขวัญข้าว ฯลฯ , ขวัญสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ ได้แก่ ขวัญเกวียน, ขวัญล้อเลื่อน ฯลฯ , และ ขวัญอาคารสถานที่ ได้แก่ ขวัญลาน (นวดข้าว), ขวัญยุ้ง, ขวัญเรือน, ขวัญเมือง เป็นต้น
ขวัญ มีความหมายหลายอย่าง แต่เท่าที่เข้าใจขณะนี้ มีดังนี้
๑.พลังอำนาจของชีวิต ซึ่งเป็นระบบความเชื่อทางศาสนาผีที่มีผลกว้างขวาง และเกี่ยวข้องความคิดสร้างสรรค์
๒.ขวัญคือส่วนที่ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่เคลื่อนไหวได้ ลักษณะเป็นหน่วย มีหลายหน่วย แต่ละหน่วยสิงสู่อยู่กระจายตามส่วนต่างๆ ของ “มิ่ง” คือ ร่างกาย, ตัวตนของคน, สัตว์, พืช, สิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้, อาคารสถานที่ เป็นต้น
๓.ศาสนาผีเชื่อว่าคนตาย เพราะขวัญหายไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือไม่อยู่กับมิ่งคือร่างกายอวัยวะของคน หรือกล่าวอีกอย่างว่าคนตาย ส่วนขวัญไม่ตาย แต่หายไปไหนไม่รู้? ถ้าเรียกขวัญคืนร่างได้คนก็ฟื้นคืนปกติ
๔.ขวัญเคลื่อนไหวทั่วไปในทุกมิติ และเข้าสิงได้ในทุกสิ่ง เช่น หิน, ไม้ ฯลฯ วัตถุเหล่านั้นเป็น “ร่างเสมือน” ที่คนมีชีวิตต้องการให้เป็น
หากจะกล่าวขยายความเพิ่มเติม เพื่อง่ายต่อการศึกษาประเพณีการทำขวัญนาคในประเทศไทย
จะสามารถจำแนกได้ ๔ กลุ่มภูมิภาค ได้แก่ ประเพณีการทำขวัญนาคกลุ่มภาคเหนือ ประเพณีการทำขวัญนาคกลุ่มภาคกลาง ประเพณีการทำขวัญนาคกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และประเพณีการทำขวัญนาคกลุ่มภาคใต้ ซึ่งในกลุ่มภาคใต้มีประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด คือ ประเพณีการบวชเรียน
โดยหากอ้างอิงจากหนังสือ “สุบินสำนวนเก่า:วรรณกรรมของกวีชาวเมืองนครศรีธรรมราช ”อันเป็นแบบเรียนเก่าของชาวปักษ์ใต้ มีลักษณะคล้ายกับวรรณคดีเรื่อง กาพย์พระไชยสุริยาของพระสุนทรโวหาร(ภู่) โดยวรรณกรรมเรื่องสุบินเป็นวรรณกรรมที่สอดแทรกถึงคติความเชื่อในทางพระพุทธศาสนา และสะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม หรือขั้นตอนการเข้าสู่การอุปสมบทของชาวปักษ์ใต้ ทั้งยังถือเป็นหลักฐานอ้างอิงถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมของชาวปักษ์ใต้ ซึ่งคาดว่าได้รับอิทธิพลในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๐
ดังปรากฏหลักฐานบนศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ วัดเสมาเมือง ซึ่งกล่าวถึงพระเจ้ากรุงศรีวิชัยทรงสร้างปราสาทอิฐเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่ พระปัทมปาณิโพธิสัตว์ พระโคตมพุทธเจ้า และพระวัชรปาณีโพธิสัตว์
นอกจากนี้ วรรณกรรมเรื่องสุบิน สำนวนภาคใต้ (สำนวนเมืองนครศรีธรรมราช) ยังเป็นวรรณกรรม
ที่ทรงคุณค่าซึ่งบันทึกเรื่องของประเพณีการบวชเรียนในสังคมภาคใต้ ซึ่งสอดแทรกขนบธรรมเนียมต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการอุปสมบทของสังคมชาวใต้ ซึ่งเริ่มจากการดูฤกษ์ยามสำหรับการบวช ดังบทประพันธ์หนึ่งความว่า
“พระเถระฟังแจ้งใจ หายสงสัยสิ้นทุกอัน
จึงคิดดูโชควัน ซึ่งจะบวชเป็นศุภผล
พุธพฤหัสตั้งเป็นฐาน จะทำการฝ่ายกุศล
บวชเรียนเป็นมงคล ล้วนประพฤติตามตำรา
วันพุธพระมหาเถร ให้นาคเณรโกนเกศา
ชำระแต่งกายา นุ่งห่มผ้าก็สมควร”
(สุบินสำนวนเก่า (สำนวนครศรีธรรมราช)
เมื่อได้ฤกษ์ในการบวชแล้ว ผู้ที่จะขอบวชก็มักจะไปกราบลา หรือบอกแจ้งแก่ญาติผู้ใหญ่หรือครูอาจารย์ที่ผู้จะขอบวชเคารพนับถือ จากนั้นในการไปฝากตัวต่อสมภารเจ้าวัดนั้น ตามความเชื่อจะต้องนำไปฝากในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นวันครู เป็นวันที่เป็นนิมิตหมายอันดี จากนั้นจึงนำเครื่องบูชา อันประกอบด้วย พานดอกไม้ธูปเทียน หรือกรวยใส่หมากพลู ดอกไม้ธูปเทียน เพื่อฝากตัวก่อนการบวชเรียนและอยู่ในการปกครองของท่านต่อไป
โดยการฝากตัวนั้นเจ้าอาวาสจะแนะนำเรื่องการประพฤติปฏิบัติตนในการบวชเรียน เช่น การเตรียมตัวสำหรับพิธีบวช การท่องจำบทสวดมนต์ วัตรปฏิบัติในขณะบวชเรียน เป็นต้น ซึ่งนอกจากนี้ยังมีบางวัดในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กำหนดให้ผู้ที่จะบวชโกนหัวแล้วนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลห้าหรือศีลแปดไปในระยะ ๑ – ๒ เดือนก่อนเข้าสู่พิธีอุปสมบท ซึ่งมีคำขานเรียกว่า “เด็กวัดใหญ่”ซึ่งหมายถึงเด็กวัดรุ่นใหญ่
หลังจากนั้น เมื่อถึงฤกษ์มงคลในการอุปสมบทจะเข้าสู่พิธีการทำขวัญนาค ซึ่งหากอ้างอิงจากบทความ ประเพณีการบวชเรียนของชาวปักษ์ใต้ ของ ปรีชา นุ่มสุข ได้กล่าวถึงขั้นตอนพิธีการทำขวัญนาคไว้ว่า
“พิธีทำขวัญนาคเป็นพิธี พราหมณ์ พิธีนี้เริ่มขึ้นเมื่อเจ้านาครับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ไปนั่งลงในโรงหน้าพิธีหน้าโต๊ะบายศรี ซึ่งวางอยู่หน้าโต๊ะหมู่อีกที เจ้านาคไหว้พระบูชาพระ อาราธนาศีลห้า รับศีลห้า มอทำขวัญซึ่งส่วนใหญ่เป็นพราหมณ์นำเจ้านาคให้วันทาพระ เมื่อเจ้านาควันทาพระครบ ๓ จบแล้วเจ้านาคกลับมายังที่นั่งทำพิธีการนั่งจะนั่งพับเพียบหรือนางแพงเชิงก็ได้ตามที่ถนัด ส่วนหมอทำขวัญนั้นจะนั่งแบบที่เรียกว่า“นั่งยองพรม ”หมอทำขวัญเริ่มว่าบททำขวัญนาคไปตามลำดับนี้
๑. บทสวดปฏิสตฺวา
๒. บทสมันตา
๓. บทสัคเค (บทชุมนุมเทวดาเป็นภาษาบาลี)
๔. บทสัคเคแปล
๕. บทสรรเสริญคุณ
๖. บทกำเนิดนาค (ว่าด้วยประวัติการเกิดคำว่า “นาค” ตามพระพุทธประวัติ)
๗. บทประคองครรภ์ (ว่าด้วยการที่เจ้านาคถือกำเนิดในครรภ์ของมารดา ความทุกข์ยากของมารดาในขณะตั้งครรภ์)
๘. บทเชิญขวัญ (เป็นบทที่อธิบายว่า “ขวัญ” คือการนึกคิดที่สำคัญยิ่ง โดยแยกแยะว่าสำคัญอย่างไรบ้าง ชีวิตฆราวาสมีความสนุกสนานอย่างไรบ้าง แล้วบอกในตอนท้ายว่าขวัญอย่าได้หลงในความสนุกทางโลกเลย ขอเชิญมาสู่กาสาวพัสตร์เสียเถิด)
๙. บทแก้บายศรี (บายศรีนั้นทำเป็น ๙ ชั้น โดยเป็นรูปบัวคว่ำกับบัวหงายสลับกัน บนยอดสุดมีพานสำหรับใส่เครื่องสิบสอง (ชาวปักษ์ใต้ เรียกเครื่องสิบสองว่า “ที่สิบสอง”) ซึ่งหุ้มกระดาษทำเป็นเช่นดอกบัว หมอทำขวัญว่าบทบรรยายบายศรีไปเรื่อย ๆทีละชั้น หรืออาจจะไม่บรรยายทุกชั้น แต่บรรยายเฉพาะชั้นที่เป็นเลขคี่ก็ได้)
๑๐. บทสอนนาค (บทนี้มุ่งชั้นให้เจ้านาคเห็นคุณของพระพุทธศาสนา และแนะนำชีวิตบรรพชาเป็นเบื้องต้น) อันเป็นบทสุดท้ายในบททำขวัญนาค”
โดยในแต่ละท้องถิ่นในภาคใต้นั้น จะมีขั้นตอนหรือแบบแผนการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในส่วนของบททำขวัญนาค ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นจะมีลักษณะถ้อยคำ สำนวน หรือลักษณะการทำขวัญขานนาค ซึ่งหากอ้างอิงจากบทความ ประเพณีการบวชเรียนของชาวปักษ์ใต้ ของ ปรีชา นุ่มสุข ได้ยกตัวอย่างบททำขวัญนาคของชาวภาคใต้โดยยกเอาบททำขวัญนาคสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้คัดตัดตอนมาบางส่วนเพื่อดให้เห็นพอสังเขป ที่นำมาลงนี้เป็นตอนต้นของบทที่เรียกว่าบทเชิญขวัญ
“ โอ้ . . . โอ้ . . . โอ้ . . . กิจฉาหิ . . . โอ้ . . . โอ้ . . . โอ้ . . .ติวัตตโพ . . . โอ้ . . . โอ้ . . . โอ้ บทเชิญขวัญนาคบทนี้ ว่าเป็นวิธีทำนองวิถีเถิน ทำนองวิถีเถิน เป็นทำนองของ มหาพน . . .
อัญเชิญขวัญพ่อนาคเอย . . . เชิญมาเถิดพ่อเอย . . . อย่าเพลินชมป่าวิถีฐาน รุกข์สราญในพนัสพนม พะนินพนาเวศ พนาเวศเป็นถิ่นสถาน มรรคขอบเขตพ่ออย่าละเลย อย่าละเลิงใหลหลง ขวัญพ่อเอย อย่าเพลินชมหมู่ไม้ รุกขมูลในพนาวัน พ่อนะอย่าเพลินฟังสำเนียงเสียงจักจั่น พันธ์ลองไนเรไรร้อง . . .
ร้องระหริ่ง ระหริ่ง . . . ตามวิถีแถวทาง ทางที่จะจรไป พรรณไม้ใหญ่ ไม้ยูงไม้ยางพะยอมเยา พรรณไม้สะเดาดูสล้าง นางตะเคียนคาง ไม้แคฝอย ระกำเคี่ยมขึ้นเคียงกับคำแขน มะเดื่อแดนดาษแดงดอก ดกดูเดียรดาษ มะตูมมะตาด แตงแต้วตอตะโก ไม้กอไม้กูแก้ว เป็นขนบขนัดกันแน่ว เป็นแนวแนวแน่นอนอยู่ในดง . . .
ต้นลางพรรณดับเต็งรัง เรียงเคียงสะเดา สล้างประดู่ขึ้นแซมกับซาง และเบียดเสียดเบียดแทรกไม้ไทรกับสน สนมาปนประดู่ดอก บ้างก็งามงอก ทรงระหดระโหย บ้างก็โตรกตรงสูง แลละลิบละลิ่ว เป็นแถวเขียวชอุ่มชะเอิบ เป็นพึดพึดพันก้านใบโน่นไงกันเกรา . . .”
(บททำขวัญนาคสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
บทเชิญขวัญดังกล่าว ถือเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นที่มีลักษณะคำประพันธ์ หรือฉันทลักษณ์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับบททำขวัญนาคของกลุ่มประเพณีการทำขวัญนาคในภาคกลาง ซึ่งสามารถอนุมานได้ว่า บทอัญเชิญขวัญนาคสำนวนพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีสำนวนภาษาและฉันทลักษณ์คล้ายกับบททำขวัญนาคในภาคกลาง สืบเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรม ด้านวัฒนธรรมการทำขวัญนาคมาจากภาคกลาง จึงทำให้มีสำนวนภาษาถิ่นภาคกลางปรากฏในบทอัญเชิญขวัญมากกว่าภาษาถิ่นใต้
และยังสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างทางวัฒนธรรมของชาวนครศรีธรรมราชที่ยึดถือและให้ความสำคัญกับพิธีกรรมทางสงฆ์มากกว่าพิธีกรรมที่ฆราวาสจัดประกอบขึ้น และมุ่งเน้นที่จุดมุ่งหมายของการอุปสมบทเพื่อการบรรลุธรรม
ทั้งนี้บทเชิญขวัญของชาวภาคใต้ที่มีหลักฐานบันทึกไว้ยังมีอีกสำนวนหนึ่ง คือ บทเชิญขวัญสำนวนของสุขปราชญ์ กวีชาวเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งอ้างอิงจากจากบทความ ประเพณีการบวชเรียนของชาวปักษ์ใต้ ของ ปรีชา นุ่มสุข ได้กล่าวอ้างอิงไว้ว่า
“อีกตอนหนึ่งที่ขอลงไว้เป็นตัวอย่าง เป็นส่วนหนึ่งของบทอัญเชิญขวัญของสุขปราชญ์ กวีเก่าชาวเมืองนคร ผู้จดจำตอนนี้มาถ่ายทอด คือ เพลงบอกเนตร ชลารัตน์ เพลงบอกผู้มีชื่อเสียงของเมืองนคร ขอได้เปรียบเทียบบางส่วนของบทเชิญขวัญทั้งสองสำนวน แต่ของพระภิกษุดำที่มาลงนั้นเป็นตอนต้นบท ส่วนของสุขปราชญ์ที่จะลงต่อไปนี้เป็นตอนท้ายบท
“อัญเชิญขวัญเจ้านาคเอย อย่าอยู่เลยบูรพพิทิศ ที่ราเมศท้าวเจ้าจักราช พระจันทราเทพี อันสถิตที่เรืองศักดา เชิญช่วยส่งขวัญมา มาพ่ออย่ารวนเร
ร้องเชิญขวัญเจ้าพ่อเอย อย่าอยู่เลยทิศอาคเนย์
ได้ที่นั่งพิมพิสาเร อมรมูขีที่ช้านา
พระสงฆ์เป็นครูต้น อันสถิตล้นไท้เทวา
เชิญช่วยส่งขวัญมา มาพ่อมาเร่งลาลิน
เชิญขวัญพ่อนาคเอย อย่าอยู่เลยทิศทักษิณ
ได้ที่นั่งพระลักษณ์ภูมินทร์ เยาวยุพินสุพัตรา
พระหัสบดิ์เป็นครูต้น อันสถิตล้นไท้เทวา
เชิญช่วยส่งขวัญมา มาพ่อมาเร็วทันที
เชิญขวัญเจ้าพ่อเอย อย่าอยู่เลยทิศหรดี
ได้ที่นั่งราพณาศรี อมสรมูขีอสูรา
พระอังคารนั่นอยู่เฝ้า เทพเจ้าอยู่รักษา
เชิญช่วยส่งขวัญมา มาพ่อมามนานนิม
เชิญขวัญพ่อนาคเอย อย่าอยู่เลยทิศปัจฉิม
ได้ที่นั่งสุครีพพานรินทร์ หนุมานนางโนราห์
พระศุกร์ผู้เป็นเจ้า สถิตท้าวไท้เทวา
เชิญช่วยส่งขวัญมา มาพ่อมาเป็นอันดับ
เชิญขวัญพ่อนาคเอย อย่าอยู่เลยทิศพายัพ
ได้ที่นั่งสดายุเป็นลำดับ เมื่อทรงขว้างด้วยธำมรงค์
พระเกตุท่านอยู่เฝ้า เทพยเจ้าตามมาส่ง
ขวัญเอยอย่าเลยลง อย่าไปอยู่ทิศอุดร
ได้แต่พิเภกสำม- นักขาทั้งงามงอน
พระพุธฤทธิรอน อยู่พิทักษ์รักษาสถาน
เชิญขวัญพ่อนาคเอย อย่าอยู่เลยทิศอีสาน
พระอาทิตย์อิทธิชัยชาญ ช่วยพิทักษ์อยู่รักษา
ขวัญเจ้าอยู่ด้าวใด จงตั้งใจส่งขวัญมา
อย่าหน่วงอยู่ให้ช้า มาพ่อมานะขวัญเอย
มาทรงเครื่องบริขาร ใส่โต๊ะพานไม่ขาดเลย
มาลารำเพย ขวัญเจ้าเอยมาทัศนา
พร้อมด้วยผ้าไตรบาตร มากอังคาธอุปัชฌาย์
ทุกสิ่งสรรพ์พรรณนา วิจิตรสรรรำพันพร
กล่องเข็มและหินผา นานาเครื่องอุปกรณ์
เครื่องประดับสอด มีตรลอดยอดบายศรี
ว่าแล้วตาโหรา จับเทียนมาเร็วทันที
จ่อจุดซึ่งอัคคี พระสงฆ์สวดโอยไชยันต์
ครบเก้ารอบบุหราณกาล แล้วดับเทียนเฉลิมขวัญ”
(บทอัญเชิญขวัญของสุขปราชญ์ กวีเก่าชาวเมืองนครศรีธรรมราช)
จากบทความข้างต้นจะสังเกตได้ว่า บทเชิญขวัญดังกล่าว มีฉันทลลักษณ์คล้ายกับ บทประพันธ์ประเภทกาพย์ยาณี ๑๑ โดยมีจำนวนคำในวรรคแรก ๕ พยางค์ และวรรคหลัง ๖ พยางค์เป็นต้น
บทอัญเชิญขวัญที่กล่าวมาทั้งสองบทสามารถนำมาวิเคราะห์ในแง่วิชาวรรณคดีและวรรณกรรมไทยได้ โดยวิเคราะห์อ้างอิงจากหลักการการวิจารณ์วรรณกรรม ตามบทความเรื่อง การวิเคราะห์วิจารณ์วรรณกรรม ของ อลงกรณ์ พลอยแก้ว สามารถแยกการวิเคราะห์ออกเป็น ๔ ประเด็นดังนี้
๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คือ ความไพเราะของบทประพันธ์ ความงดงามของภาษาที่ผู้แต่งเรียงร้อยไว้อันจะทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์หรือความรู้สึกร่วม และสามารถจินตนาการตามที่เขียนต้องการได้
ซึ่งบทอัญเชิญขวัญที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น ถือเป็นบทประพันธ์ที่มีคุณค่าด้านวรรณศิลป์ โดยสังเกตได้ดังนี้
๑.๑.การใช้สัมผัสพยัญชนะ คือการใช้คำคล้องจองที่มีพยัญชนะตัวหลักเป็นตัวเดียวกัน แต่ประสมสระต่างกัน ดังบทหนึ่งจาก บทเชิญขวัญสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ ความว่า
“รุกข์สราญในพนัสพนม พะนินพนาเวศ พนาเวศเป็นถิ่นสถาน”
(บททำขวัญนาคสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
๑.๒.การใช้สัทพจน์ คือการถ่ายทอดเสียงหรือเลียนเสียงที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาติ เช่น เสียงลมพัด เสียงฟ้าร้อง เสียงนํ้าไหล เสียง ร้องไห้ ฯลฯ เพื่อเพิ่มอารมณ์และจินตนาการแก่ผู้อ่านผู้ฟัง โดยในบทอัญเชิญขวัญสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ บทหนึ่งความว่า
“พ่อนะอย่าเพลินฟังสำเนียงเสียงจักจั่น พันธ์ลองไนเรไรร้อง . . . ร้องระหริ่ง ระหริ่ง . . .”
(บททำขวัญนาคสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
๑.๓.การใช้โวหารภาพพจน์ คือการใช้สำนวนโวหารในการสื่อความหมาย โดยในบทอัญเชิญขวัญสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ ได้ใช้โวหารภาพพจน์ประเภท พรรณนาโวหาร ซึ่งพรรณนาถึงต้นไม้ในป่าชนิดต่างๆหลากหลายต้น บทหนึ่งความว่า
“ . . . ตามวิถีแถวทาง ทางที่จะจรไป พรรณไม้ใหญ่ ไม้ยูงไม้ยางพะยอมเยา พรรณไม้สะเดาดูสล้าง นางตะเคียนคาง ไม้แคฝอย ระกำเคี่ยมขึ้นเคียงกับคำแขน มะเดื่อแดนดาษแดงดอก ดกดูเดียรดาษ มะตูมมะตาด แตงแต้วตอตะโก ไม้กอไม้กูแก้ว เป็นขนบขนัดกันแน่ว เป็นแนวแนวแน่นอนอยู่ในดง . . .”
(บททำขวัญนาคสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)
๒. คุณค่าด้านสังคม คือ การจรรโลงสังคมด้วยการสะท้อนภาพที่เป็นปัญหาของสังคม หรืออาจเสนอภาพของสังคมในอุดมคติก็ได้
โดยบทเชิญขวัญดังกล่าวถือเป็นบทประพันธ์ที่ที่เสนอแนวความเชื่อและสะท้อนมุมมองด้านการอุปสมบทในสังคมชาวภาคใต้ ทั้งยังสอดแทรกแนวความเชื่อเรื่องเทพประจำทิศในอุดมคติ ดังบทอัญเชิญขวัญสำนวนของสุขปราชญ์ บทหนึ่งความว่า
เชิญขวัญพ่อนาคเอย อย่าอยู่เลยทิศทักษิณ
ได้ที่นั่งพระลักษณ์ภูมินทร์ เยาวยุพินสุพัตรา
พระหัสบดิ์เป็นครูต้น อันสถิตล้นไท้เทวา
เชิญช่วยส่งขวัญมา มาพ่อมาเร็วทันที
(บททำขวัญนาคสำนวนของสุขปราชญ์)
ทั้งนี้บทเชิญดังกล่าวยังถือเป็นวรรณกรรมชนิดหนึ่ง คือ วรรณคดีท้องถิ่น ซึ่งสารานุกรมไทยฉบับเยาวชน เล่มที่ ๓๒ เรื่องที่ ๓ วรรณคดีท้องถิ่น ได้ให้นิยามไว้ว่า
“วรรณคดีท้องถิ่น หมายถึง วรรณคดีที่แต่งขึ้น หรือเผยแพร่ อยู่ในท้องถิ่นต่างๆ ของไทย ซึ่งมีทั้งที่ถ่ายทอดด้วยปาก คือ เล่าหรือขับร้องเป็นเพลง เรียกว่า "วรรณคดีมุขปาฐะ" และที่ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ เรียกว่า "วรรณคดีลายลักษณ์" ซึ่งแต่งเป็นรูปแบบร้อยแก้ว หรือร้อยกรอง ผู้แต่งส่วนใหญ่เป็นคนในท้องถิ่น เขียนหรือเล่า เพื่อสื่อเรื่องราวความคิด ความรู้สึกกับคนในท้องถิ่น ถ้อยคำภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษาท้องถิ่น”
ซึ่งจากบทเชิญขวัญข้างต้นนั้นถือเป็นวรรณคดีท้องถิ่น ประเภทวรรณคดีมุขปาฐะ เนื่องจากมีการถ่ายทอดโดยการถ่ายทอดด้วยปาก และในภายหลังถึงกลายเป็นวรรณคดีท้องถิ่น ประเภทวรรณคดีลายลักษณ์ เนื่องจากถูกนนำมาบันทึกและเผยแพร่ โดยบทความเรื่อง ประเพณีการบวชเรียนของชาวปักษ์ใต้ ของ ปรีชา นุ่มสุข
บทสรุป
ประเพณีและวัฒนธรรมไทยว่าด้วยเรื่องการทำขวัญนาคในพิธีอุปสมบท เป็นข้อพิสูจน์ถึงความยืดหยุ่นของวัฒนธรรมและประเพณีที่สามารถถ่ายทอด หรือผสมผสานกันได้ รวมถึงแสดงความเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกกับอดีต การผสมผสานระหว่างความเชื่อ ประเพณี และแนวปฏิบัติซึ่งยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตได้จากการผสมผสานระหว่างความเชื่อท้องถิ่นคือการทำขวัญในศาสนาผี กับพิธีการอุปสมบทซึ่งเป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
ดังนั้นจึงถือได้ว่า บทอัญเชิญขวัญในสำนวนของพระภิกษุดำ วัดหัวอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และ สำนวนของสุขปราชญ์ กวีเก่าชาวเมืองนคร ซึ่งได้รับการถ่ายทอดผ่าน นายเนตร ชลารัตน์ หรือ เพลงบอกเนตร ชลารัตน์ เป็นวรรณคดีท้องถิ่นที่ทรงคุณค่ายิ่ง และควรแก่การอนุรักษ์สืบทอดให้เป็นมรดกแก่ชนรุ่นหลังสืบไป
ทั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทางสังคมของประชากรที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคใต้ ซึ่งได้รับอิทธิพลความเชื่อเรื่องการทำขวัญนาคมาจากดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาหรือในภาคกลางของประเทศไทยซึ่งปัจจุบันนี้วัฒนธรรมดังกล่าวถือเป็นวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถือเป็นวรรณกรรมที่บันทึกร่องรอยทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมเรื่องพิธีการทำขวัญนาค ในพิธีอุปสมบทของชาวภาคใต้หรือชาวนครศรีธรรมราช
บรรณานุกรม
จาก/ “การอยู่ร่วมกันของคนในสังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทยกรณีศึกษาสังคมพหุวัฒนธรรมในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่”,/โดย/พระมหามงคลกานต์ ฐิตธมฺโมและ อาภรณ์รัตน์ เลิศไผ่รอด, /ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๓ /(กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๓): ,”/วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ /หน้า ๓๑๖
จาก./ “ขวัญ : ขวัญชีวิตของคนไทย”,./โดย/รุจินาถ อรรถสิษฐ.,/ ปี่ที่๒๕๔๘,/นนทบุรี : กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.
จาก/พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒.,/โดย/ราชบัณฑิตยสถาน.,/ปีที่ (๒๕๔๖).,/กรุงเทพ : บริษัทนามีบุ๊คพับลิเคชั่น จำกัด.
จาก/‘ศาสนาผี’ขวัญในศาสนาผี ปนกับวิญญาณทางศาสนาพุทธ..,/โดย/สุจิตต์ วงษ์เทศ.,/มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ ๒๘ ,/ตุลาคม - ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕.
จาก/สุบินสำนวนเก่า:วรรณกรรมของกวีชาวเมืองนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช,:มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช/โดย/ดวงมน จิตรจำนงค์.,/ ปีที่(๒๕๕๔).
 
จาก/ประเพณีการบวชเรียนของชาวปักษ์ใต้,/โดย/ปรีชา นุ่มสุข.,/ ปีที่(๒๕๕๔),/นครศรีธรรมราช : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.
 
จาก/จารึกวัดเสมาเมือง,/โดย/ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.,/ ปีที่(๒๕๖๖).,/ สืบค้นเมื่อ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ จาก./( https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/323),
จาก/วรรณคดีท้องถิ่น.,/สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน/เล่มที่ ๓๒ปีที่(๒๕๕๐)/.๗๓/โดยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ประคอง นิมมานเหมินทร์.,
โฆษณา