6 มี.ค. เวลา 02:58 • กีฬา

คำพูดทิ่มแทงใจเรือใบของเฟอร์กี้ NOT IN MY LIFETIME

คำพูดที่ทำให้แฟนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คับแค้นใจมากที่สุด มาจากปากของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับประโยคว่า Not in my lifetime (ไม่มีวัน ถ้าฉันยังไม่ตาย)
ย้อนกลับไปวันที่ 19 กันยายน 2009 หนึ่งวันก่อนเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เซอร์อเล็กซ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่เพรส คอนเฟอเรนซ์ตามปกติ
ณ เวลานั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดนเทกโอเวอร์โดยกลุ่มทุนอาบูดาบีแล้ว พวกเขาจึงมีงบประมาณในการซื้อนักเตะคุณภาพมาร่วมทัพ และตัวผู้เล่นทีมเรือใบสีฟ้าก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว มีแกเร็ธ แบร์รี่, ไนเจล เดอ ยอง, โคโล่ ตูเร่ รวมถึงคาร์ลอส เตเวซ ที่ย้ายข้ามฟากมาจากแมนฯ ยูไนเต็ดด้วย
ฝั่งทีมปีศาจแดง แม้จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยซ้อนก็จริง แต่พวกเขาเพิ่งจะขายคริสเตียโน่ โรนัลโด้ให้เรอัล มาดริด ดังนั้นในสายตาคนทั่วไปจึงคิดว่า ด้วยสภาพทีมที่ดร็อปลงไป และแมนฯ ซิตี้ ก็พุ่งทะยานขึ้นมาแบบนี้ เซอร์อเล็กซ์ "น่าจะ" หวั่นเกรงแมนเชสเตอร์ ซิตี้มากขึ้นกว่าเดิม
ในห้องแถลงข่าววันนั้น มีนักข่าวถามว่า ระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใครคือคู่แข่งที่น่ากังวลใจสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ดมากกว่า เซอร์อเล็กซ์ตอบว่า "เกมดาร์บี้ที่แท้จริงของเราคือการปะทะลิเวอร์พูล เพราะประวัติศาสตร์การต่อสู้กันอย่างยาวนาน"
"ตอนผมมาเป็นผู้จัดการทีมที่นี่ใหม่ๆ ลิเวอร์พูลคือสโมสรเบอร์หนึ่งของอังกฤษ พวกเขาได้แชมป์ยุโรปไปแล้ว 4 ครั้ง ผู้จัดการทีมอย่าง บ็อบ เพสลีย์, โจ เฟแกน และ เคนนี่ ดัลกลิช ช่วยกันคว้าแชมป์ลีกให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการทำผลงานให้ดีในการเจอลิเวอร์พูล คือเป้าหมายของผมเสมอ"
สังเกตได้ว่า มีการพูดถึงลิเวอร์พูล แต่ไม่มีการเอ่ยชื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นมาในประโยคเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่จะเตะกับแมนฯ ซิตี้ วันรุ่งขึ้น
ที่เซอร์อเล็กซ์ทำแบบนั้น ถ้าเขาไม่ได้เล่น Mind Game เล่นเกมจิตวิทยา ก็คือไม่ได้มองเห็นทีมเรือใบสีฟ้าอยู่ในสายตาเลย ประมาณว่าเป็นคู่แข่งร่วมเมือง แต่ไม่ใช่ภัยคุกคามขนาดนั้น
1
เซอร์อเล็กซ์ เคยพูดว่า แมนฯ ซิตี้เหมือนเป็น Noisy Neighbour หรือเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญ ที่แค่ชอบกวนใจเฉยๆ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดหวั่นอะไร
1
ในเพรส คอนเฟอเรนซ์วันนั้น เซอร์อเล็กซ์ ก็ตอบคำถามไปเรื่อยๆ จนมาถึงข้อสุดท้าย มีนักข่าวคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า "จะเป็นไปได้ไหมในอนาคต ที่แมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นรองแมนฯ ซิตี้ เวลาต้องเจอกันในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้"
1
เซอร์อเล็กซ์ ไม่ตอบคำถามนั้น แต่หันไปมองนักข่าวคนถามราวๆ 15 วินาที ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า "ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ? คิดว่าได้เวลาที่ผมต้องไปแล้วล่ะ"
จากนั้นเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก่อนที่จะเดินออกจากห้องเพรส คอนเฟอเรนซ์ เฟอร์กูสันตัดสินใจตอบคำถามนั้น ด้วยคำว่า "Not in my lifetime" (ไม่มีวัน ถ้าฉันยังไม่ตาย)
ถ้าเขายังไม่ตาย ไม่มีทางที่จะปล่อยให้แมนฯ ซิตี้ อยู่เหนือกว่าแมนฯ ยูไนเต็ดเด็ดขาด และทุกครั้งที่เจอกัน แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเป็นต่อเสมอ
1
นี่คือประโยคที่สร้างแรงแค้นให้แฟนเรือใบเป็นอย่างมาก หลายคนมองว่า มันคือเป็นการหยามกันตรงๆ ว่าต่อให้แมนฯ ซิตี้ มีเงินแค่ไหน ตราบใดที่เขายังอยู่ แมนฯ ซิตี้ ไม่มีวันอยู่เหนือไปกว่าแมนฯ ยูไนเต็ดได้
คำพูดของเซอร์อเล็กซ์ ถูกตอกย้ำในเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้วันรุ่งขึ้น ทั้งๆที่ แมนฯ ซิตี้เล่นได้ดีมาก ยันเสมอแมนฯ ยูไนเต็ดเป็น 3-3 จนจวนจะหมดเวลาอยู่แล้ว แต่กลับมาโดนทีเด็ดของไมเคิล โอเว่น ตัวสำรองที่เพิ่งเซ็นสัญญาเข้ามา ยิงประตูชัยในนาที 90+6 ให้แมนฯ ยูไนเต็ดชนะ 4-3
1
ชัยชนะนาที 90+6 ของทีมปีศาจแดง ก็สอดคล้องกับสิ่งที่เซอร์อเล็กซ์บอกไว้ คือแมนฯ ซิตี้ จะดูดียังไง แต่ตอนจบของเรื่องนี้ แมนฯ ยูไนเต็ดจะเหนือกว่าเสมอ
หลังจากปล่อยประโยคเด็ด Not in my lifetime ออกมา เซอร์อเล็กซ์ ก็ยังคงทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่เหนือแมนฯ ซิตี้ได้จริงๆ ตามที่ประกาศไว้
ฤดูกาล 2009-10 แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 2 ส่วน แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 5
ฤดูกาล 2010-11 แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 1 ส่วน แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 3
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2011-12 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของโรแบร์โต้ มันชินี่ พัฒนาฟอร์มขึ้นจากเดิม และทำแต้มไล่บี้แมนฯ ยูไนเต็ดอย่างสนุกในทุกวีก จนสุดท้ายก็ทำคะแนนแซงได้ในสัปดาห์ที่ 36
เหตุการณ์ในนัดที่ 38 เกมสุดท้ายของฤดูกาลนั้น ไม่มีแฟนบอลคนไหนที่จะลืมได้ เมื่อเซร์คิโอ อาเกวโร่ ยิงประตูชัยใส่ควีนสพาร์ก เรนเจอร์ส ในช่วงทดเจ็บ แมนฯ ซิตี้พลิกชนะ 3-2 คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี และเป็นครั้งแรกในยุคของเฟอร์กูสัน ที่แมนฯ ซิตี้ ทำอันดับบนตารางพรีเมียร์ลีกได้เหนือกว่าแมนฯ ยูไนเต็ดด้วย
1
ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา แฟนบอลกรูลงมาในสนามเพื่อฉลอง มีแฟนบอลคนหนึ่งเขียนป้ายแบนเนอร์ว่า Not in my lifetime มันเป็นการเอาคืนเฟอร์กี้นั่นเอง ที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่า แมนฯ ซิตี้ จะไม่มีวันอยู่เหนือแมนฯ ยูไนเต็ดได้ถ้าเขายังไม่ตาย มาถึงตอนนี้ ทีมเรือใบสีฟ้าทำได้จริงๆ เห็นไหม
จริงๆ แฟนบอลแมนฯ ซิตี้หลายคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่สูงอายุ 70-80 ปี พวกเขาก็ไม่คิดหวัง ว่าจะเห็นสโมสรได้แชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้ง บางคนคิดว่าตัวเองจะตายก่อนด้วยซ้ำ พอมาได้แชมป์แบบนี้ จึงเป็นความสุขที่ยากจะอธิบาย
หลังจากได้แชมป์แล้ว แมนฯ ซิตี้ จัดพาเหรดฉลองแชมป์ โดยระหว่างทาง มีแฟนบอลบางคนชูป้าย R.I.P. Fergie ขึ้นมา ความหมายคือ เฟอร์กี้บอกว่าจนกว่าจะตาย ยังไงแมนฯ ยูไนเต็ด จะอยู่เหนือ แมนฯ ซิตี้ไปตลอด แล้ววันนี้แมนฯ ซิตี้ จบซีซั่นด้วยอันดับเหนือกว่าแล้ว ก็แปลว่าเฟอร์กี้ตายแล้วสิ แบบนี้ก็ Rest In Peace ได้เลย โดยไม่ผิดใช่ไหม
2
คือฝรั่งเขาเล่นกันแรงครับ แต่จุดเริ่มต้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เฟอร์กี้ก็ใช้ประโยค Not in my lifetime ก่อนเพื่อข่มขวัญแมนฯ ซิตี้ แฟนเรือใบเขาจำ พอวันหนึ่งอยู่เหนือกว่าได้ ก็เลยโดนตอบโต้อย่างหนักด้วยวิธีนี้
1
แต่การเล่นคำว่า R.I.P. มันก็แรงจริงๆ นั่นทำให้ สโมสรแมนฯ ซิตี้ ต้องออกแถลงการขอโทษเฟอร์กี้อย่างเป็นทางการด้วย
ในข้อเท็จจริง คือเซอร์ อเล็กซ์ เตรียมแผนเอาไว้ว่าจะรีไทร์ หลังจบฤดูกาล 2011-12 แต่เมื่อเขาพลาด ทำอันดับต่ำกว่าและเสียแชมป์ให้แมนฯ ซิตี้ เฟอร์กี้จึงอำลาไปทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ มันเสียศักดิ์ศรี สุดท้ายเฟอร์กี้จึงคุมทีมต่อไปอีก 1 ฤดูกาล โดยมีเป้าหมายคือเอาแชมป์คืน เพื่อปิดฉากเส้นทางอาชีพให้สมบูรณ์ที่สุด
3
เฟอร์กี้ จัดหนักในปีสุดท้ายของเขา ทุ่มเงินซื้อโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกจากอาร์เซน่อลมาเสริมทัพ และสุดท้ายแมนฯ ยูไนเต็ดก็ทำได้จริงๆ เอาแชมป์คืนมาจากแมนฯ ซิตี้ได้ทันควัน ในฤดูกาล 2012-13 และปิดฉากเส้นทางผู้จัดการทีมของตัวเองไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ ด้วยการกลับไปยืนอยู่เหนือซิตี้อีกครั้ง
จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่เซอร์ อเล็กซ์ ยังคุมทีมอยู่ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ดีกว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้อยู่เสมอ Manchester is always Red ในช่วงนั้น
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของสองทีมนี้ คือเมื่อเซอร์ อเล็กซ์ วางมือปั๊บ สโมสรเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทันที เริ่มตั้งแต่ผู้บริหาร และเจ้าของทีม ที่ไม่สามารถเรียกศรัทธาจากแฟนๆ ได้
เฮดโค้ชก็หาที่ลงตัวไม่ได้เสียที เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ส่วนนักเตะที่ซื้อมาบางคนไม่เก่งจริงแต่จ่ายเงินซื้อซะแพง หรือบางคนก็กลายเป็น Toxic ภายในทีม
ตรงข้ามกับแมนฯ ซิตี้ ที่ผู้บริหารกำหนดทิศทางได้ถูกต้อง เลือกซื้อนักเตะได้แม่นยำ และที่สำคัญ สามารถเจรจาไปดึงเอาเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาคุมทัพได้อีกต่างหาก สถานการณ์ทุกอย่างจึงพลิกผัน แมนฯ ซิตี้ ก้าวกระโดดเร็วมาก และกลายมาอยู่เหนือแมนฯ ยูไนเต็ดแทน
แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเป็นทีมที่ร่ำรวย และมีฐานแฟนมากกว่า แต่ถ้าพูดกันที่เรื่องในสนามอย่างเดียว แมนฯ ยูไนเต็ด สู้ แมนฯ ซิตี้ไม่ได้เลย เริ่มเอาต์คลาส ห่างกันไปเรื่อยๆ ในทุกซีซั่น
ในเดือนพฤศจิกายน 2021 แมนฯ ซิตี้ บุกไปชนะแมนฯ ยูไนเต็ด ถึงโอลด์ แทรฟฟอร์ด 2-0 บอลคนละชั้นแบบเอาต์คลาส โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้านทานเป๊ป กวาร์ดิโอล่าไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เล่นในบ้านตัวเอง
พอจบเกมนักพากย์คนดังของบีทีสปอร์ต ปีเตอร์ ดรูรี่ กล่าวคำคลาสสิคว่า "Same City, Different Galaxies" (เมืองเดียวกัน แต่อยู่ห่างชั้นราวกับคนละแกแล็กซี่)
3
จากน้้นในซีซั่นต่อมา ตุลาคม 2022 แมนฯ ซิตี้ ไล่ถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ดยุคเอริก เทน ฮากไป 6-3 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยในครึ่งแรก ทีมเรือใบก็นำห่าง 4-0 แล้ว
1
ก่อนจบครึ่งแรก กล้องถ่ายทอดสด จับภาพแฟนปีศาจแดงทยอยเดินออกจากสนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก คือโดนไป 4 แล้ว ทนดูต่อไปก็แพ้เละอยู่ดี และจากนั้นกล้องก็สวิตช์มาที่เซอร์ อเล็กซ์ ที่มาชมเกมในสนามนัดนี้ด้วย
เฟอร์กี้ทำสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด คือไม่เข้าใจว่าทำไมทีมที่เขาสร้าง และวางโครงร่างเอาไว้ กลับมาพ่ายแพ้แมนฯ ซิตี้อย่างหมดรูป สู้กันไม่ได้ขนาดนี้
3
ผู้บรรยายเกมภาษาอังกฤษ ในวันนั้นของบีบีซี ชื่อ กาย โมเบรย์ เขากล่าวประโยคทองว่า "Alex Ferguson was asked in 2009 if City could ever go into a derby as favorites, He said not in my lifetime. Now it's every time"
แปลว่า "อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยถูกถามในปี 2009 ว่าซิตี้ จะเป็นต่อยูไนเต็ดได้หรือไม่ ในเกมดาร์บี้แมตช์ เขาตอบว่า ไม่มีวัน ถ้าฉันยังไม่ตาย แต่มาตอนนี้แม้เขายังไม่ตาย ซิตี้ก็เหนือกว่าทุกครั้งที่เจอกันแล้ว"
ประโยคนี้ในภาษาอังกฤษนั้น เหนือชั้นและสละสลวยมาก เล่นคำว่า lifetime กับ every time สิ่งที่เฟอร์กี้คิดวันนั้น คงไม่อยากเชื่อว่าโลกจะกลับตาลปัตรได้เพียงนี้
1
สถิติหนึ่งที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันรีไทร์ เป็นฤดูกาลที่ 10 ติดต่อกัน ที่แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยทำอันดับในตารางคะแนน เหนือแมนฯ ซิตี้ได้เลย ซึ่งในฤดูกาลนี้ ก็งไม่พลาด สถิติจะเพิ่มเป็น 11 ฤดูกาลติดต่อกัน
ถึงตรงนี้ แมนฯ ยูไนเต็ดต้องยอมรับความจริง ว่าพวกเขายังสู้ซิตี้ไม่ได้ ถ้าเราดูเกมล่าสุดที่ทั้งคู่ปะทะกันในวันอาทิตย์ ตลอดทั้งเกม แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสยิง 3 ครั้ง ส่วนแมนฯ ซิตี้ 27 ครั้ง ห่างกัน 9 เท่า เปอร์เซ็นต์การครองบอลไม่ต้องพูดถึง 73% ต่อ 27% ห่างกันไกลลิบ
2
เรื่องราวการห้ำหั่นกันของสองทีมจากแมนเชสเตอร์ เป็นสัจธรรมว่า ในโลกฟุตบอลไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนจริงๆ วันนี้คุณเหนือกว่า ใช่ แต่ไม่มีทางรู้เลยว่าอนาคตข้างหน้า คุณจะยังเหนือกว่าเขาได้แบบนั้นไปเรื่อยๆ หรือเปล่า? ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
แน่นอน ในวันหนึ่งแมนฯ ซิตี้ ก็ต้องมีช่วงแผ่วลงไปบ้างเช่นกัน และแมนฯ ยูไนเต็ด ก็อาจพุ่งทะยานขึ้นมาเหนือกว่าได้ แต่คำถามของเราคือ "มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่" และแมนฯ ยูไนเต็ด จะ "ทำอย่างไร" ถึงจะสร้างทีมที่มีคุณภาพมากพอ ที่จะยืนอยู่เหนือแมนฯ ซิตี้ได้
จนกว่าวันนั้นจะมาถึง Manchester จะยังคง Blue แบบนี้ต่อไป และมองไม่เห็นแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเป็น Red ในระยะเวลาอันใกล้นี้ด้วย
#happeninmylifetime
โฆษณา