9 มี.ค. เวลา 00:00 • หนังสือ

บทความ Blockdit ตอน 32 นาทีสุดท้าย

ชายตะวันตกคนหนึ่งเดินทางไปจากโตเกียวไปโอซากา วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม ปี 1985 เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขาเหนื่อยจากการเดินทางข้ามทวีปโดยไม่ได้หยุดพัก รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก หลับตาพยายามจะหลับต่อไป แต่บางสิ่งในน้ำเสียงนั้นปลุกเขาตื่นเต็มตัว ใครคนหนึ่งกำลังเขย่าแขนของเขา ผู้หญิงข้างตัวเขานั่นเอง เมื่อนั้นเขาจึงเห็นหน้ากากออกซิเจนห้อยลงมาจากเหนือที่นั่งทั้งลำหล่อนบุ้ยหน้าให้เขาสวม
2
เขาใจหายวูบ รีบสวมหน้ากาก ภายในเครื่องบิน ผู้โดยสารเงียบกริบไม่น่าเชื่อ นี่เป็นประเทศที่ผู้คนมีวินัยสูงอย่างยิ่งแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นนี้ ไม่นานเสียงกัปตันก็ดังขึ้นผ่านอินเทอร์คอมเป็นภาษาญี่ปุ่น ตามด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น แจ้งให้ผู้โดยสารปลดหน้ากากออกได้แล้ว
3
เขาจึงกระทำตาม เครื่องบินยังเคลื่อนไปด้วยความนุ่มนวล ทำให้เขาใจชื้นขึ้น เขาถอนใจ ทุกอย่างคงเข้าสู่สภาพปกติแล้ว เขาหันไปมองหญิงสาวข้างกาย หล่อนกำลังหลับตา เหมือนทำสมาธิ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ผู้โดยสารทั้งลำเงียบราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใดๆ นาฬิกาข้อมือบอกว่าเครื่องบินออกจากสนามบินมาได้เพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น
เสียงกัปตันดังผ่านอินเทอร์คอมอีกครั้ง น้ำเสียงเยือกเย็น แต่เขาไม่เข้าใจประกาศนั้นสักคำเดียว เขาได้ยินเสียงบางคนอุทานบางคำใบหน้าหลายคนเปลี่ยนสี เขาชำเลืองดูผู้หญิงข้างตัวเห็นสีหน้าซีดเผือดของหล่อน เมื่อนั้นเองที่เขาสัมผัสความผิดปกติ เขาถามหล่อน “กัปตันพูดว่าอะไรครับ?”
1
หล่อนไม่ทันตอบ เสียงประกาศภาษาอังกฤษก็ดังขึ้น เขาต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการทำความเข้าใจกับข้อความนั้น จับความได้ว่าเครื่องบินมีปัญหาที่หางเครื่องบิน ขอให้ผู้โดยสารอย่าตื่นตระหนก
“เครื่องบินมีปัญหาที่หางเครื่องบินค่ะ”
1
“ร้ายแรงแค่ไหน?”
หล่อนถอนใจ เขารอคำตอบจากหล่อนอย่างอดทน
1
“กัปตันบอกให้ผู้โดยสารเตรียมตัว...”
“เตรียมตัวอะไร?”
“เครื่องบินจะชนภูเขา...” เสียงของหล่อนสั่น ใจหายไปวูบหนึ่ง เขาตั้งสติได้ “ใจเย็นๆ ก่อน มันอาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่เห็น เครื่องบินยังบินเป็นปกติอยู่นี่ ไม่สะดุดอะไรเลย...”
1
“ฉันก็ไม่รู้...”
เสียงกัปตันดังราบเรียบต่อเนื่อง หล่อนฟังอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นก็แปลให้เขาฟัง
2
“กัปตันกล่าวขอโทษผู้โดยสารทุกคนที่เขาทำงานบกพร่อง เขาบอกให้ผู้โดยสารจัดการ... เขาหมายถึงเขียนจดหมายสั่งเสีย... หรือทำอะไรเป็นเรื่องสุดท้าย...”
3
“แล้วไม่มีใครทำอะไรได้เลยหรือ?”
“ไม่มีค่ะ กัปตันบอกว่าไม่สามารถบังคับเครื่องได้แล้ว ตอนนี้มันกำลังบินไปตามยถากรรม และคาดว่าจะชนภูเขาทะกะมะกะฮะระ”
เขาเงียบไปอึดใจ
“เราเหลือเวลาแค่ไหน?”
“กัปตันบอกว่า 32 นาที”
32 นาที! เขามีเวลาเหลือในโลกนี้อีกเพียง 32 นาที! เขาพึมพำนี่เป็นเรื่องตลกใช่หรือไม่? ไม่น่าเชื่อ เมื่อเช้านี้เขายังกินอาหารเช้าอย่างมีความสุข โลกรอบตัวเขาสงบสันติเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมกลางป่า แต่เสียงร้องไห้ของใครหลายคนในนาทีนี้ทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันร้าย ใจของเขาดิ่งลงสู่หุบเหวของความกลัว
เขาหลับตา สูดลมหายใจยาว กลั้นใจไว้ แล้วนับ “1... 2... 3... 4... 5... 6... 7...” ผ่อนลมหายใจออกเชื่องช้า
เขารู้สึกดีขึ้น ยิ้มกับตัวเอง เขาไม่ค่อยอยากเชื่อว่าเขาสามารถยิ้ม ได้ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ เขาเพียงนึกเสียดายที่ยังมีหลายเรื่องที่เขาทำไม่เสร็จ และอีกบางเรื่องที่ยังไม่ได้ทำเขาเคยผ่านวิกฤติแบบนี้มาก่อน
4
เขาลืมตาขึ้นมองคนข้างกาย หล่อนเริ่มเขียนจดหมาย ไหล่ทั้งสองสั่น มือสั่น แต่เขียนไปได้เพียงไม่กี่อักษร หล่อนก็ฟุบหน้าร้องไห้
หล่อนกำลังสะอื้น หายใจไม่ออก เขาบอก “หายใจยาวๆ ไว้ อย่ากลัว ผมจะช่วยคุณ”
“ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังตายไม่ได้ ลูกของฉันยังเล็ก...” เขาบอกหล่อน “ทําใจดีๆ ไว้”
“เรากำลังจะตาย ทำใจดีๆ ได้ยังไง...” เขาแตะไหล่ของหล่อน “อย่าตกใจ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงเยือกเย็นหรือมือที่อบอุ่นของเขาทำให้หล่อนหยุดร้องไห้ หล่อนพยักหน้า เงยหน้าขึ้นซับน้ำตา สบตาเขา
“ขอบคุณค่ะ”
“ด้วยความยินดี”
“คุณไม่... กลัว... ตาย?”
เขาฝืนยิ้ม “กลัวสิครับ แต่จากสถิติ โอกาสเสียชีวิตจากการเดินทาง ทางเครื่องบินต่ำกว่าการเดินทางทางบกหลายเท่า ผมเชื่อสถิตินี้ ยานอวกาศอพอลโล 13 ที่ไปดวงจันทร์เกิดขัดข้องกลางอวกาศ ยังกลับโลกได้เลย เชื่อเถอะ พวกเขาต้องแก้ไขปัญหานี้ได้”
หล่อนฝืนยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำโกหกค่ะ”
หล่อนเขียนจดหมายต่อ เสร็จแล้วก็เสียบในกระเป๋าเสื้อ หล่อนเงียบซึมไป ตาแดงชื้น
เหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง...
1
ผู้โดยสารหลายคนลงมือเขียนจดหมายลาตาย หล่อนสบตาเขาแล้ว ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งกับปากกาด้ามหนึ่งมาให้ เขาสั่นหัว
1
“คุณไม่เขียนหรือ?”
1
“ผมไม่มีใครให้เขียนถึง”
2
บทสนทนานี้มาจากเรื่องสั้น 32 นาที (รวมเรื่องสั้น เส้นสมมุติ) เขียนอิงเรื่องจริง เครื่องบินสายการบิน แจแปน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน JAL 123 วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม ปี 1985 เดินทางจากโตเกียวไปโอซากา 12 นาที หลังขึ้นฟ้า เครื่องบินเกิดปัญหาขัดข้อง ชิ้นส่วนบางชิ้นของหางเครื่องบินหลุดหายไป และ 32 นาทีถัดมาชนภูเขาทะกะมะกะฮะระ ในเขตอุเอะโนะ จังหวัดกุนมะ หนึ่งร้อยกิโลเมตรจากโตเกียว
10
วันนั้นคนเหล่านั้นออกจากบ้าน ไปขึ้นเครื่องบิน และคาดว่ามันก็เหมือนวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง กลับพบว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
1
มองในมุมหนึ่ง ‘32 นาที’ ก็คือคำสั่งประหารชีวิต แต่มองอีกมุมหนึ่ง เราทุกคนก็ต้องคำสั่งประหารนี้เหมือนๆ กัน มันไม่ใช่ความโชคร้าย มันคือสัจธรรมของชีวิต
1
‘32 นาที’ ก็คือข้อจำกัดของเวลาของคน
1
‘32 นาที’ ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ของบางคนคือ 32 นาทีจริงๆ บางคนอยู่ได้อีก 32 เดือน 32 ปี หรือมากกว่านั้น
3
นาทีแรกที่เราลืมตาดูโลก เราก็ต้องโทษประหารแล้ว นั่นคือระยะเวลาที่เราได้รับอนุญาตให้อยู่ในโลก หากเรามียีนดี สภาพแวดล้อมดี ฯลฯ ‘32 นาที’ ก็อาจยาวหน่อย
‘32 นาที’ คือมรณานุสติสำหรับเราทุกคน
1
มนุษย์เราอายุเฉลี่ยประมาณ 70-75 ปี ก็ประมาณ 25,550-27,375 วัน บางคนอาจเพิ่งใช้ไปได้ไม่ถึงครึ่ง บางคนอาจใช้ไปแล้วเกือบหมด
1
การมองว่าใช้ชีวิตมาแล้วกี่วันอาจช่วยทำให้เราประเมินสิ่งที่ผ่านมาว่า ใช้ชีวิตดีหรือไม่ดีอย่างไร
การมองว่าเหลือกี่วันอาจทำให้เราระวังตัวขึ้น
เหลือเวลายิ่งน้อย ยิ่งต้องใช้ให้คุ้ม
1
สมมุติว่าเราต้องเดินทางข้ามทะเลทรายนานสองวัน เราได้รับน้ำหนึ่งขวดเล็ก เราก็ต้องประเมินว่าจะอยู่รอดอย่างไรด้วยน้ำเท่านี้
1
ประโยค “นี่เป็นน้ำขวดสุดท้ายแล้ว” จะทำให้เราเห็นคุณค่าของมันมากขึ้น
2
จะได้รู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร ใช้อย่างสนุกสนาน หรือใช้อย่างทุกข์ หรือเบื่อหน่าย ใช้อย่างประหยัดหรือใช้อย่างฟุ่มเฟือย ใช้อย่างไร้จุดหมายหรือใช้อย่างมีความหมาย
4
วิทยาการสมัยใหม่ทำให้ชีวิตมนุษย์เฉลี่ยยาวขึ้นกว่าสมัยโบราณหลายเท่า แต่ก็ทำให้เราประมาท ไม่นึกถึงความตาย
2
เมื่อไม่นึกถึงความตาย เราก็อาจใช้ชีวิตแบบเสียเวลา เพราะเราคิดว่าเรายังมีเวลาอีกมาก
2
แต่ ‘32 นาที’ ไม่แน่นอน มันอาจมาถึงเมื่อไรก็ได้
1
คนมีปัญญาจึงฝึกมรณานุสติ รู้สึกตัวเสมอว่า เราอาจจากโลกไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นใช้นาทีนี้ให้ดีที่สุด คุ้มที่สุด ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
4
นี่มิใช่การมองโลกอย่างหดหู่หม่นหมอง เราอาจมองอีกด้านหนึ่งว่า ความตายเป็นเพียงการแปลงลักษณ์ (transformation) อีกครั้งหนึ่งก็แค่การเปลี่ยนองค์ประกอบของอะตอมที่ประกอบเป็นตัวเราชั่วคราวและอีก ‘32 นาที’ อะตอมก็จะย้ายตำแหน่ง
1
มันเป็นการไหลเคลื่อนไปของชีวิตอย่างนั้นเอง
ทุกคนก็จะเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายนี้จนได้ เพียงแต่จะมาแบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวว่าทำอะไรมาบ้าง กำลังทำอะไร และจะทำอะไรต่อ
4
ไม่มีใครรู้จำนวนวันทั้งหมดที่แท้จริงของตนเองได้แต่บางทีมันไม่สำคัญเท่าเราจะใช้เวลาที่เหลืออย่างไร อดีตผ่านไปแล้ว เป็นฉากละครที่เล่นไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง ปัจจุบันวันนี้คือวันกำหนดองก์และฉากที่เหลือของละครชีวิตของแต่ละคน
5
ละครเรื่องนี้เราเป็นคนกำหนดเรื่องและบทพูดเอง
2
มีฉากเหลือมากหรือไม่มาก ก็เล่นมันอย่างสนุกสนาน
1
เพราะเมื่อม่านเวทีคลี่ลงมาปิด เราจะไม่ได้ยินเสียงปรบมือหรือโห่ฮา เราจะไม่รู้เรทติ้งที่คนมอบให้
2
แต่เราจะรู้เองว่าเราเล่นบทบาทของเราดีหรือไม่ดี
1
การนั่งนับวันถอยหลังสู่เชิงตะกอนออกจะเป็นเรื่องน่าหดหู่ แต่จริงๆ กลับตรงข้าม มันทำให้เราเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น เพราะมีเวลาเหลืออยู่แค่นี้แล้ว
6
คนไม่น้อยมองว่า เมื่อตนอายุยังน้อย ก็ไม่จําเป็นต้องมองถึงวันตาย มันห่างไกลตัว ดังนั้นจึงไม่มองว่าเหลืออีกกี่วัน
6
แต่คงมีสักครั้งที่เราได้รับคำถามว่า “คุณจะทำอะไรหากรู้ว่าวัน นี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตคุณ?”
บางคนเลือกดื่มเหล้า บางคนเลือกเที่ยวผู้หญิง ทำเรื่องที่ไม่เคยคิดทำมาก่อนในชีวิต ฯลฯ
บางคนบอกว่า เวลาหนึ่งวันน้อยเกินไปที่จะทำอะไร
ถ้าเช่นนั้นเราก็คูณตัวเลขห้าพันวัน หนึ่งหมื่นวัน สองหมื่นวันเข้าไป แล้วถามตัวเองใหม่ว่าเราจะทำ สิ่งที่เราอยากทำนั้นเมื่อไร วันไหน
5
แต่มันมิใช่ความยาวของเวลาแต่อย่างไร มันอยู่ที่เราใช้เวลานั้นอย่างไร
3
เวลาผ่านไปเร็ว ในวัยเด็ก เราอาจรู้สึกว่าชีวิตนักเรียนน่าเบื่อหนัก แต่มันก็ผ่านไป
2
เวลาผ่านไปเร็ว หลายคนผ่านช่วงผู้ใหญ่แผล็บเดียว ก็พบตัวเองนอนในโรงพยาบาล ในช่วงยามท้ายๆ ของชีวิต เตรียมตัวจากโลก
และในนาทีสุดท้ายคือ ‘นาทีที่ 32’ เราสามารถยิ้มให้กับตัวเองและกับโลก แล้วเอ่ยว่า “เราพอใจชีวิตนี้ว่ะ"
7
โฆษณา