7 มี.ค. เวลา 11:06 • ไลฟ์สไตล์
ศาลเจ้าเมจิ

#ฉันมาทำอะไรที่นี่ ….ตอนที่ 2

ชะตาฟ้าลิขิต ฝันที่(ใกล้)เป็นจริง
กลับจากญี่ปุ่นคราวนั้น ผมได้กลายเป็นติ่งญี่ปุ่นอย่างไม่รู้ตัว หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้นที่แฟนเพลงให้มาก่อนเล่นคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่น ที่ผมไม่เคยเปิดอ่านตลอดการเดินทาง ผมกลับพลิกอ่านมันครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนเด็กเห่อหนังสือนิทานจนแทบหลุดเป็นชิ้นๆ
แม้การได้ไปเล่นดนตรี ที่ญี่ปุ่นครั้งแรกนี้ จะทำให้ผมประทับใจไม่รู้ลืม และเฝ้ารอการกลับไปอีก ทว่า….นั่นคือการเล่นคอนเสิร์ตในต่างประเทศครั้งสุดท้ายของผมในฐานะสมาชิกวงนี้ ปลายปีเดียวกัน ผมออกจากวงดนตรีที่มีชื่อเสียง หยุดชีวิตในแสงไฟ ตลอด 7 ปี และกลับมาเริ่มใช้ชีวิตปกติแบบนักดนตรีทั่วไป เล่นดนตรีกลางคืน,แบ็คอัพศิลปินบ้าง,สอนดนตรี ฯลฯ
ชื่อเสียง,เงินทอง ที่ไม่ได้หาได้สะดวกเท่าเดิม ทำให้ผมคิดว่าเรื่องการได้เดินทางไปเล่นดนตรีที่ญี่ปุ่นครั้งนั้นคงจะเป็นแค่ความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิตที่เก็บไว้
แต่หลังจากนั้นโชคชะตา ผมก็ได้กลับมาเล่นดนตรีที่ญี่ปุ่น อีก 2 ปีติดต่อกัน โดยการชักชวนครั้งนึงจากเพื่อนลูกครึ่งญี่ปุ่น ที่เคยทำวงดนตรีด้วยกันตอนวัยรุ่น และอีกครั้งนึงคือการได้รับการชักชวนให้ไปเล่นแบคอัพให้ศิลปินจากวงอินดี้ระดับตำนาน ที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายอินดี้ญี่ปุ่น
การไปเล่นดนตรี 2 ครั้งนี้ แม้สุดท้ายหักลบแล้ว มันแทบไม่ได้เหลือรายได้อะไร และออกจะเข้าเนื้อไปบ้างด้วยซ้ำ แต่ผมก็ตอบรับคำชวนอย่างไม่ลังเล เพราะอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้ไปญี่ปุ่น ผมก็ยินดีทั้งนั้น
การกลับไปใน 2 ครั้งนี้ ผมได้รู้จักญี่ปุ่นในมุมที่ลึกกว่าเดิม ถ้าการครั้งแรกมันคือการไปเยี่ยงศิลปินแบบวีไอพี มีรถบัสมารับส่งจากสนามบินถึงที่พัก การกลับไปเล่นดนตรีในครั้งหลังนี้คือการที่มำให้ผมรู้จักญี่ปุ่นในมุมที่ลึกขึ้นไปอีก
กับวงเพื่อน ผมได้ไปเล่นดนตรีไลฟ์เฮ้าส์ 3 โชว์ ในสถานที่ ซึ่งต่างสไตล์กันโดยสิ้นเชิง พวกเรานอนที่บ้านคุณยายของเพื่อน ซึ่งเต็มไปด้วยกฎระเบียบอันเคร่งครัดแบบญี่ปุ่นแท้ๆ 10 วันเต็ม ได้แบกเครื่องดนตรีที่หนักอึ้ง วิ่งปุเลงๆ โดดเข้าออกรถไฟด้วยตัวเอง ,ได้พบศิลปินอันเดอร์กราวด์และโปรดิวเซอร์ญี่ปุ่นที่ ออกปากชักชวนให้ลองมาใช้ชีวิตจริงจังที่ญี่ปุ่นซักตั้ง
ปีต่อมา ได้ไปเป็นแบคอัพให้พี่ศิลปินอินดี้อีกท่าน ซึ่งผ่านประสบการณ์เล่นดนตรีในต่างประเทศมาอย่างโชกโชน ที่พกความฝัน และการเดิมพันอันบ้าระห่ำว่าจะเล่นดนตรีในไลฟ์เฮ้าส์ที่โตเกียวไปเรื่อยๆ จนกว่าได้มีค่าย หรือหมดงบแล้วกลับบ้าน การมาเล่นดนตรีครั้งนี้ผมได้เรียนรู้มากมายจากพี่เขา พวกเราต้องเบียดเสียดนอนในห้องแชร์เฮ้าส์ (บ้านเช่า ที่อยู่รวมหลายๆ คน) 17 วัน แบบอดมื้อกินมื้อด้วยกัน จนพี่เขาบรรลุความฝัน ได้เซ็นสัญญาออกอัลบั้มกับค่ายญี่ปุ่นในที่สุด
การเล่นดนตรี 2 ครั้งหลังนี้ ทั้งทรหด และมีความสุข ในยุคที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน หรือแม้แต่อินเตอร์เน็ตระดับความเร็ว 3G ผมเริ่มจำตรอกซอกซอย,วิธีการขึ้นรถไฟ,แหล่งเครื่องดนตรี,ร้านอาหารราคาถูกได้แม่นยำ ผมรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ที่นี่มากมาย
การได้เดินทางมาประเทศญี่ปุ่น 3 ปีติดต่อกัน มันส่งสัญญาณให้ผมรู้สึกอย่างยิ่งยวดว่า นี่คงเป็นชะตาฟ้าลิขิต ให้ผมได้มาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นจริงๆ แน่ๆ อะไรๆ ก็ดูเป็นใจไปหมดขนาดนี้ ความฝันคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
ไม่กี่วันก่อนจะกลับ ที่ศาลเจ้าเมจิจิงกู “หากข้าพเจ้าคู่ควร ขอให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้มาใช้ชีวิตที่แผ่นดินนี้สักครั้ง”
ระหว่างเครื่องบินกำลังเทคออฟ น้ำตาผมคลอที่จะต้องกลับ ผมนึกในใจด้วยความรู้สึกที่เข้มข้น “รออีกนิดนะญี่ปุ่น ฉันจะกลับมา แต่คราวนี้ฉันจะมาอยู่ที่นี่”
ซึ่งผมไม่รู้เลย ว่าที่จริงแล้ว กว่าความฝันจะเป็นจริง ผมต้องรออีก 13 ปีหลังจากนี้
#ญี่ปุ่นไม่ง่าย
(ต่อตอนที่ 3)
โฆษณา