9 มี.ค. เวลา 07:01 • ไลฟ์สไตล์
สุราษฎร์ธานี

ลงทุนตามจังหวะชีวิต

ถ้าพูดถึงการลงทุน ประเทศไทยไม่ได้มีการเรียนการสอน เรื่องความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงไม่แปลกใจเวลาที่เราพูดถึงคำว่า “การลงทุน” เลยดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว และจะนึกถึงเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆเท่านั้น
หลังจากที่ฉันผ่านร้อนผ่านหนาว มา 40 ปี ได้มีโอกาสนั่งทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และได้พบว่า จริงๆแล้วการลงทุนมันอยู่ในทุกช่วงชีวิตของเรานี่แหละ โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เอาล่ะ..ฉันจะมาแชร์ “ชีวิตคือการลงทุน” ในแบบฉบับของฉัน
ตั้งแต่เด็กสิ่งที่ครอบครัวฉันสอนมาตลอดคือ เรื่องการเก็บออม อย่าฟุ่มเฟือย แต่มีสิ่งนึงที่บ้านของฉันจะสนับสนุนเสมอ คือการพาไปเที่ยวที่ต่างๆ เริ่มจากเที่ยวในกรุงเทพฯ ก็เขยิบไปต่างจังหวัด จากเที่ยวในประเทศ ก็ขยับไปต่างประเทศ Go inter กันบ้าง
นั่นคือ จุดเริ่มต้นที่เริ่มทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก ได้เห็นอะไรแปลกใหม่ ซึ่งในตอนนั้น แม่ก็คงไม่ได้คิดจะสอนตรงๆว่ามัน คือ การเพิ่มต้นทุนประสบการณ์และความรู้รอบตัวให้กับพวกฉันพี่น้องหรอก และฉันเองก็ไม่ได้เรียนรู้ว่ามันคือการลงทุนอะไร นอกจากสนุกกับการได้ไปที่ใหม่ๆ และได้กลับมาโม้ให้เพื่อนฟังว่าไปไหนมาในวันหยุด
เมื่อโตขึ้นมาหน่อย ฉันเริ่มเข้าสู่วัยที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพื่อเป้าหมายคือเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ตามที่พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะบอกกับลูกๆว่า เรียนเก่งๆนะ จะได้จบมาหางานง่ายๆได้งานดีๆ ช่วงชีวิตตอนนั้นของฉันทุ่มเทเพื่อการเรียน ยอมอดไปเที่ยวกับเพื่อนเพื่อไปเรียนพิเศษติวเข้ม สุดท้ายฉันก็เข้ามหาวิทยาลัยที่ตั้งใจได้
สิ่งที่ทำให้ฉันหายเหนื่อย.. นอกจากที่ภูมิใจว่าตัวเองก็ทำได้ จากเด็กเรียนไม่เก่งเกรดร่อแร่ ก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศได้ เพราะความฮึดสู้มุ่งมั่นตั้งใจ อีกสิ่งหนึ่ง ก็คือ การที่พ่อแม่ไม่ถอดใจจากฉันไปเสียก่อน แม่ยิ้มแก้มปริดีใจบอกว่าคุ้มค่ากับเวลาที่แม่เสียไปในการขับรถไปรับส่งรอฉันเรียนพิเศษ
เมื่อฉันเริ่มทำงาน เป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทแนวหน้าของประเทศ เป็นวัยที่เราต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคมที่เราอยู่ เริ่มมีเงินเป็นของตัวเอง และเริ่ม"กล้า"ใช้จ่ายกับของใช้ราคาแพง ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหน้าผม กระเป๋าแบรนด์เนม เพื่อเสริมบุคลิกให้ดูดี อะไรที่เป็นกระแสละก็..ของมันต้องมี เพื่อแลกกับการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ช่วงเวลานั้นบอกเลยค่ะ ภาษีสังคมเยอะมาก ไหนจะงานแต่ง งานวันเกิด งานบุญ งานศพ ฉันแทบจะไม่เหลือเงินเก็บ ยิ่งมีมากยิ่งใช้มาก
หลังจากที่คิดได้ว่ามันไม่ใช่ตัวฉัน ก็เริ่มปรับวิถีไลฟ์สไตล์และการใช้เงินใหม่
ฉันกลับมามีเงินเก็บอีกครั้ง และเริ่มหาช่องทางเพิ่มเติมความรู้ เติมไฟให้กับตัวเอง ฉันชั่งใจระหว่าง ไปลงเรียนคอร์สนักบริหารธุรกิจ ซึ่งคอร์สนึงหลายแสน มีworkshop มีไปชมงานต่างประเทศ หรือ จะไปลงทุนทางการเงินอะไรดี และแล้ว..
3
เมื่อปลายปี 2018 ฉันได้มีโอกาสได้ไปลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อน ฉันเลือกนำเงินเก็บก้อนนึงไปหุ้นเปิดร้านเสื้อผ้ากันหนาวกับเพื่อน โดยไปซื้อของกันเองจากประเทศจีน โดยเพื่อนจะมีความเชี่ยวชาญเรื่องการหิ้วของจากประเทศจีนมาก เพราะซื้อของมาขายอยู่แล้ว ส่วนฉันนั้นชอบเที่ยวและชอบการแต่งตัว และประกอบกับเห็นว่าตั้งแต่ปี 2015 สาวออฟฟิศนิยมไปเที่ยวต่างประเทศกันมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเมืองหนาว และชอบถ่ายรูปสวยๆลงอวดกันบน Instagram จีนเองก็เปิดประเทศและเป็นศูนย์กระจายสินค้าให้ทั่วโลก
ฉันจึงเห็นช่องทางและตอบตกลงไปกับเพื่อน ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ ได้ประสบการณ์ใหม่ที่ตื่นตาตื่นใจอย่างมาก ค้นพบว่าคุณภาพสินค้าของจีนมีตั้งแต่เกรดห่วยไปยันเกรดซุปเปอร์พรีเมี่ยม การไปซื้อของทุกทริป สนุกสนานมาก ไม่รู้สึกว่าไปทำงานเลย เหมือนไปเที่ยวมากกว่า ที่พักดี อาหารอร่อย ราคาไม่แพง และได้เห็นวิถีชีวิตของคนจีนวัยทำงาน รวมทั้งได้ไอเดียการทำงานใหม่ๆจากที่นั่น ธุรกิจเริ่มดำเนินไปได้ด้วยดี มีทั้งหน้าร้านและOnline ยอดขายดีมากช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
.
.
แต่แล้ว..เหมือนสึนามิมาไม่รู้เนื้อรู้ตัว เปิดร้านมาได้แค่ปีเดียว ก็เกิดโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดใหม่ทั่วโลกไม่เคยพบเจอมาก่อน ยอดขายหายวับ
ทั่วโลกปิดพรมแดน (Lockdown) เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19
หลังจากรอดูสถานการณ์อยู่พักใหญ่ ฉันเห็นว่าควรหยุดธุรกิจเสื้อกันหนาวนี้ เพื่อนบอกว่ามันยังมีโอกาส หากรอโควิด-19หมดไป ทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม ฉันกลับคิดว่าหลังเหตุการณ์โรคระบาดนี้ทุกอย่างจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม ทุกคนจะเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อ จะเน้นซื้อ online ซึ่งจีนก็ลงมาขายเองตามช่องทาง market place ด้วยราคาถูกแสนถูก ดังนั้น ฉันมองว่าถ้าไปไม่ไหว ก็อย่าฝืน ไหนจะต้องมานั่งแบกค่าใช้จ่ายของร้านรายเดือนอีก หยุดตอนนี้แล้วไปทำอย่างอื่นดีกว่าจะได้ไม่เจ็บหนัก
แม้ธุรกิจแรกของฉันจะไม่ประสบความสำเร็จ พูดง่ายๆคือ เจ๊ง! นั่นเอง
แต่เป็นการเจ๊ง ที่ฉันไม่เสียดายเลย เพราะฉันได้ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และทำมันด้วย passion ประสบการณ์ครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยความสนุก
ฉันแต่งงานหลังจากนั้น 1 ปี การตัดสินใจทำอะไรต่อจากนี้ของฉัน ไม่ได้เพื่อตัวฉันเพียงคนเดียวอีกแล้ว แต่เพื่อครอบครัว ฉันเลือกงานที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตฉันได้ เพื่อจะได้ใช้เวลากับคนที่ฉันรักอย่างเต็มที่ เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ฉันขาดในวัยเด็ก
ตอนนี้ฉันมีความสุขกับการได้ดูแลพ่อแม่ สนุกกับการได้ลองทำอาหารสุขภาพแบบใหม่ๆให้ครอบครัวลูกหลานและเพื่อนสนิทได้ทานกันทุกสุดสัปดาห์
แบบฉบับความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน
..ฉันว่าแต่ละคนก็มีเส้นทางการลงทุนที่น่าสนใจแตกต่างกันไปตามชีวิตของแต่ละคน หาให้เจอว่าอะไรที่คุณทำแล้วมีความสุข
The rhythm of life is a powerful beat. Put your investments in syn with it.
Oprah Winfrey
โฆษณา