11 มี.ค. เวลา 10:20 • กีฬา

ลิเวอร์พูล 1-1 แมนฯ ซิตี้ "โคตรเกมคุณภาพ ที่ตัดสินผลแพ้ชนะกันไม่ได้"

แม้ผลการแข่งขันจะไม่รู้ดำรู้แดง แม้เป็นเกมที่มีประตูเกิดขึ้นแค่ครึ่งละ 1 ลูก แต่การเจอกันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ลงเอยด้วยสกอร์เสมอ 1-1 ที่แอนฟิลด์นัดล่าสุด เรียกได้ว่ามันคือเกมระดับคุณภาพ 5 ดาวของ 2 ทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพรีเมียร์ลีกยุคนี้อย่างแท้จริง
การเจอกันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ น่าจะเป็นเกมที่คุณภาพสูงที่สุด และสู้กันอย่างสูสีที่สุดของพรีเมียร์ลีกแล้วในช่วง 1 ทศวรรษหลังอย่างไม่มีใครกังขา นี่คือ 2 ทีมที่มาตรฐานการเล่นระดับสูงเหนือกว่าทีมอื่นๆ ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน
นี่คือการเจอกันระหว่าง 2 ทีมที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าไปถึง 5 สมัยจาก 6 ฤดูกาลหลังสุด ก็มีแค่ลิเวอร์พูลอีกเพียงทีมเดียวเท่านั้น ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในปี 2020 แถมทีมหงส์แดงยังเคยเป็นรองแชมป์แบบไล่บี้ทีมเรือใบสีฟ้าจนถึงนัดสุดท้ายได้อีก 2 ครั้ง ในปี 2019 และ 2022 ด้วย
นี่คือการเจอกันระหว่าง 2 ทีมที่มีกุนซือที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, คาราบาว คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, สโมสรโลก และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ได้ครบทั้งหมดกับต้นสังกัดปัจจุบัน นอกเหนือจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ไม่มีใครที่ทำได้อีก อีกคนที่เคยทำได้คือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็วางมือไปแล้วนานถึง 11 ปี
นี่คือการเจอกันระหว่าง 2 ทีมที่แพ้น้อยที่สุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ โดยลิเวอร์พูลแพ้ไปแค่ 2 นัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมที่แพ้น้อยเป็นอันดับ 2 พบกับความปราชัยแค่ 3 ครั้ง
และนี่คือการเจอกันระหว่างทีมหนึ่งที่กำลังลุ้นกวาดครบทั้ง 4 แชมป์ที่ลงแข่งขันในฤดูกาลปัจจุบัน กับอีกทีมที่กำลังลุ้นทำสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษให้ได้ 4 ปีซ้อนเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ และลุ้นเป็นทีมแรกเท่าที่ยุโรปเคยมีมา ที่คว้า "ทริปเปิ้ลแชมป์ใหญ่" ได้ 2 ฤดูกาลซ้อน
โดยปกติแล้ว การเจอกันของ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ ถือเป็นเกมที่ทีมเยือนมีโอกาสชนะน้อยมากๆ อยู่แล้ว
ถ้าหากเจอกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยแพ้ลิเวอร์พูลคาบ้านในพรีเมียร์ลีก (ชนะ 4 เสมอ 4) ซึ่งครั้งเดียวที่เป๊ปพา แมนฯ ซิตี้ แพ้หงส์แดงของ เจอร์เก้น คล็อปป์ คาบ้านตัวเอง คือเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย เลกสอง ของฤดูกาล 2017-18 ที่ลิเวอร์พูลบุกชนะ 2-1 เท่านั้น
ส่วนสถิติการเจอกันในพรีเมียร์ลีกที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลชนะถึง 17 เสมอ 7 แพ้แค่ 2 และถ้านับเฉพาะในยุคที่ แมนฯ ซิตี้ คุมทีมโดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เป็นช่วงที่เรือใบสีฟ้าแข็งแกร่งที่สุด ก็ยังบุกชนะหงส์แดงถึงบ้านแค่ครั้งเดียวในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2020-21 ที่บุกถล่ม 4-1 ซึ่งเกมนั้นไม่มีแฟนบอลเข้าไปชมเกมในสนาม
เท่ากับว่าถ้าลิเวอร์พูลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เล่นต่อหน้าบรรดา “เดอะ ค็อป” ที่เข้าไปเชียร์อย่างล้นหลามในแอนฟิลด์ พวกเขาก็ไม่เคยแพ้ให้ แมนฯ ซิตี้ ในยุคของเป๊ปต่อหน้าแฟนบอลในสนามตัวเองเลยเช่นกัน
ก่อนจะเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อคืนวันอาทิตย์ ลิเวอร์พูลยังไม่แพ้ใครเลยที่แอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ โดยมีสถิติชนะ 19 เสมอ 2 นับรวมทุกรายการ ซึ่งในซีซั่นนี้มีแค่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล เพียง 2 ทีม ที่กลับจากแอนฟิลด์ด้วยผลเสมอได้ และ แมนฯ ยูไนเต็ด คือทีมเดียวที่คว้าคลีนชีตกลับออกไป ด้วยวิธีการเล่นแบบเน้นเกมรับแล้วโต้อย่างเต็มตัว
และตั้งแต่ขึ้นปีใหม่เป็นต้นมา ลิเวอร์พูลชนะเกมเหย้ารวมทุกถ้วยแบบ 100% โดยคว้าชัยมา 7 นัดซ้อน แถมทั้ง 7 นัดก็ยิงไม่ต่ำกว่านัดละ 2 ลูก ทำได้รวมกัน 25 ประตู
ฟอร์มของลิเวอร์พูลยังแทบไม่มีสะดุด แม้จะเต็มไปด้วยปัญหานักเตะบาดเจ็บมากมาย โดยตั้งแต่พ้นวันคริสต์มาส 2023 เป็นต้นมา ลิเวอร์พูลชนะถึง 8 จาก 9 นัดในพรีเมียร์ลีกก่อนจะเปิดบ้านเจอซิตี้ ซึ่งเกมเดียวที่แพ้คือบุกไปพ่ายจ่าฝูง ณ ปัจจุบันอย่างอาร์เซน่อล 3-1
ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็อยู่ในช่วงผลงานยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน พวกเขาคือทีมเดียวของพรีเมียร์ลีก ที่ตั้งแต่เข้าสู่ปี 2024 ไม่แพ้ใครเลย และสถิติก่อนเยือนแอนฟิลด์เมื่อวันอาทิตย์ ก็คือไร้พ่ายมานานถึง 20 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ
ถ้านับเฉพาะในลีก แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่แพ้ใครมา 12 นัดติดต่อกัน นับตั้งแต่ออกไปแพ้ แอสตัน วิลล่า ที่ วิลล่า พาร์ค 1-0 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2023
มันคือการมาเจอกันในช่วงที่ทั้ง 2 ทีมฟอร์มเยี่ยมทั้งคู่อย่างแท้จริง
สำหรับ 11 ตัวจริงของทั้ง 2 ทีมในเกมนี้ ฝั่งลิเวอร์พูลยังคงขาดตัวหลักไปหลายคน
นักเตะบาดเจ็บที่ลงสนามเกมนี้ไม่ได้ ประกอบด้วย อลีสซง เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, ติอาโก้ อัลกันตาร่า, สเตฟาน ไบเซติช, เคอร์ติส โจนส์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก, เบน โด๊ค, ดีโอโก้ โชต้า แถมล่าสุด อิบราฮิม่า โกนาเต้ ก็มาเจ็บแฮมสตริงจากเกม ยูโรปา ลีก เพิ่มไปอีกคน
การบาดเจ็บล่าสุดของโกนาเต้ ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ จำเป็นต้องส่งดาวรุ่งอย่าง จาเรลล์ ควอนซาห์ ลงเป็นเซนเตอร์แบ็กตัวจริงคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โดยยังคงใช้ระบบ 4-3-3 ตามถนัด ให้ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ เป็นแบ็กขวา ส่วนแบ็กซ้ายเกมนี้เขาเลือก โจ โกเมซ เพื่อซื้อเกมรับในการป้องกันตัวรุกที่อันตรายของทีมเยือน
สำหรับตำแหน่งนายประตู ชั่วโมงนี้ต้องใช้มือสองอย่าง ควีวิน เคลเลเฮอร์ ไปยาวๆ เท่านั้น เพราะกว่าที่อลีสซงจะกลับมาลงเฝ้าเสาได้ ต้องรออย่างน้อยจนถึงหลังเบรกทีมชาติเดือนนี้เลยทีเดียว
แดนกลาง 3 คนถือว่าได้ตัวหลักลงครบทั้ง โดมินิค โซบอสซ์ไล, วาตารุ เอ็นโด และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์
ส่วน 3 ประสานแนวรุก เกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นแค่ตัวสำรองไปก่อนเพราะยังฟิตไม่สมบูรณ์ โดยใช้ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต เป็นปีกขวา ให้ ดาร์วิน นูนเญซ เป็นหน้าเป้า และทางซ้ายยังคงเป็น หลุยส์ ดิอาซ
ส่วนการจัดทัพของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เกมนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาในระบบ 3-2-4-1
เอแดร์ซอน โมราเอส ยังคงเป็นโกลมือหนึ่ง
แผงหลังเกมนี้มีเซอร์ไพรส์ที่ รูเบน ดิอาส หลุดไปนั่งสำรอง โดยเป๊ปเลือกใช้ ไคล์ วอล์คเกอร์, มานูเอล อคานจี และ นาธาน อาเก้ เล่นร่วมกันในระบบหลัง 3
เป๊ปเผยเหตุผลที่เลือกดร็อป รูเบน ดิอาส ซึ่งปกติจะเป็นเซนเตอร์แบ็กตัวเลือกแรกของทีมว่า เขาต้องการใช้สปีดของอคานจี ในการรับมือความเร็วของแนวรุกลิเวอร์พูลมากกว่า
จอห์น สโตนส์ ไม่ได้เล่นตำแหน่งเซนเตอร์ แต่ถูกดันขึ้นไปยืนสูงเป็นกองกลางตัวรับคู่กับโรดรี้
ส่วนมิดฟิลด์ตัวรุก 4 คน ฝั่งขวาเป็น ฟิล โฟเด้น ฝั่งซ้ายเป็น แบร์นาร์โด้ ซิลวา และให้ เควิน เดอ บรอยน์ กับ ฮูเลียน อัลวาเรซ เป็นตัวรุกคู่กันตรงกลาง ขณะที่ศูนย์หน้าตัวเป้ายังเป็น เออร์ลิ่ง ฮาลันด์
รูปเกมในครึ่งแรกถือว่าทั้ง 2 ทีมสูสีกันอย่างมาก ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่างมีโอกาสยิง 7 ครั้งเท่ากัน แต่ว่าฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ยิงเข้ากรอบมากกว่า ทำได้ 4 ครั้ง ส่วนครึ่งแรกเจ้าบ้านยิงตรงกรอบเพียงหนเดียว
ขณะที่เปอร์เซ็นต์ครองบอลในครึ่งแรก ลิเวอร์พูลเหนือกว่านิดหน่อย (53.4% ต่อ 46.6%)
แต่ในเกมที่สูสี บางทีจุดที่สร้างความแตกต่างอาจเป็นลูกเซตพีซ ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โชว์ "ลูกซ้อม" เมื่อได้เตะมุมทางฝั่งขวาในนาทีที่ 23 แล้ว เควิน เดอ บรอยน์ บรรจงเปิดวิถีบอลต่ำไปที่เสาแรก โดย นาธาน อาเก้ ทำหน้าที่ยืนกัน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ไม่ให้วิ่งไปป้องกันได้ เปิดทางให้ จอห์น สโตนส์ โฉบเข้าไปยิงจ่อๆ ตรงจุดนัดพบ
ตลอดทั้งฤดูกาลนี้ จอห์น สโตนส์ ยังทำประตูไม่ได้เลยสักลูก นี่คือประตูที่เกิดขึ้นในโมเมนต์สำคัญจริงๆ
แต่ว่าครึ่งหลังเปิดฉากมาได้แค่ 2 นาทีเศษ แมนฯ ซิตี้ มาพลาดเสียประตูง่ายๆ อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่ออาเก้ดันจ่ายคืนหลังสั้นเกินไป ทำให้ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ตลอดครึ่งแรกโดนจับล้ำหน้าถึง 5 ครั้ง รีบวิ่งปรี่ถึงบอลก่อนในเขตโทษ แล้วโดนเอแดร์ซอนที่ถึงบอลช้ากว่าเตะล้มลง
แน่นอนว่ามันเป็นจุดโทษอย่างชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องเช็ควีเออาร์
เมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังไม่ได้ลงสนาม ทำให้มือสังหารจุดโทษคือ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่เพิ่งซัดตุงตาข่ายมาเมื่อคืนวันพฤหัสบดีในศึก ยูโรปา ลีก และเกมนี้กองกลางทีมชาติอาร์เจนตินาก็ซัดไม่พลาด ทำให้เจ้าบ้านไล่ตีเสมอได้เป็น 1-1 ในนาทีที่ 50
ความผิดพลาดของอาเก้ที่จ่ายบอลคืนหลังสั้น ไม่ใช่แค่ทีมเสียจุดโทษจนโดนตีเสมอเท่านั้น แต่เอแดร์ซอนที่อุตส่าห์ฝืนอาการบาดเจ็บในตอนแรก สุดท้ายก็ไม่สามารถเล่นต่อได้ จนต้องโดนเปลี่ยนตัวออกให้ สเตฟาน ออร์เตก้า โมเรโน่ ลงแทนในนาทีที่ 56
เกมนี้ในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกของเกม ถือว่าเล่นกันเร็วมาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงกับเรียกจังหวะดุดันของเกมนี้ว่าเปรียบเสมือนคลื่นสึนามิ
ทั้ง 2 ทีมพยายามหาจังหวะลุ้นทำประตูกันตลอด ก่อนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นฝ่ายขยับแก้เกมก่อน โดยขยับเปลี่ยนตัวทีเดียว 2 คนในนาทีที่ 61 ส่ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ลงไปเน้นเกมรุกทางด้านกว้าง แล้วถอด คอเนอร์ แบรดลี่ย์ กับ โดมินิค โซบอสซ์ไล ออก
โรเบิร์ตสัน ลงมาเป็นแบ็กซ้ายตัวบุก ทำให้คล็อปป์ปรับตำแหน่งให้ โจ โกเมซ โยกจากฝั่งซ้ายไปยืนแบ็กขวาแทนแบรดลี่ย์ที่โดนถอดออก
ส่วน ซาลาห์ ลงไปเป็นกองหน้าฝั่งขวา ทำให้ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต ที่ยังมีพลังงานล้นเหลือ ลงไปวิ่งพล่านในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรุกแทนโซบอสซ์ไล
การลงสนามมาของซาลาห์ ถือว่าโชว์จังหวะอันตรายได้ทันที นาทีที่ 62 เขาได้บอลในจังหวะโต้กลับ แล้วบรรจงจ่ายคิลเลอร์พาสให้ หลุยส์ ดิอาซ ได้หลุดไปดวลกับ สเตฟาน ออร์เตก้า แบบเดี่ยวๆ
นั่นคือจังหวะจากโอเพ่นเพลย์ที่ควรเป็นประตูอย่างที่สุดในเกมนี้ แต่ปีกทีมชาติโคลอมเบียกลับซัดหลุดกรอบออกหลังไปอย่างเหลือเชื่อ
ขณะที่การลงสนามมาของโรเบิร์ตสัน ทำให้ลูกครอสจากฝั่งซ้ายเป็นอีกอาวุธที่ใช้โจมตีใส่ แมนฯ ซิตี้ หลังจากที่ในครึ่งแรก โจ โกเมซ จะมีหน้าที่เน้นการป้องกัน ฟิล โฟเด้น ไว้ก่อนเป็นหลัก
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มองเห็นว่าเกมมันเปิดแลกกันเร็วเกินไป อันที่จริงการได้ผลเสมอกลับออกจากแอนฟิลด์ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด เขาต้องพยายามลดโอกาสแพ้ของทีมลงไว้ก่อน ด้วยการหาทางให้ แมนฯ ซิตี้ ชะลอเกม และเพิ่มการครองบอลไว้กับตัวเองให้นานขึ้น
นั่นคือเหตุผลให้เป๊ปเลือกถอดผู้เล่นที่เหมาะกับการโจมตีทั้ง เควิน เดอ บรอยน์ และ ฮูเลียน อัลวาเรซ ออกมา แล้วเติมนักเตะที่มีสกิลเก็บบอลกับตัวไว้ได้นานอย่าง มาเตโอ โควาซิช และ เฌเรมี่ โดกู ลงสนามแทน
คาดว่าน่าจะมีแฟนบอลของ แมนฯ ซิตี้ บางคนไม่เห็นด้วยนัก ขนาด เดอ บรอน์ ยังหงุดหงิดที่ตัวเองคือคนที่โดนเปลี่ยนตัวออกเลยด้วยซ้ำ
แต่ เฌเรมี่ โดกู ก็เกือบเป็นคนทำประตูชัยให้ทีมเยือนได้ในนาทีที่ 89 เมื่อได้แต่งหามุมยิงเล่นทางด้วยเท้าซ้ายทางฝั่งซ้าย ทว่าบอลไปชนเสา แล้วเด้งกลับไปเข้ามือ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ซึ่งถ้าหากวิถีบอลเด้งเข้าเสาเหลี่ยมในกว่านี้ มันอาจเป็นประตูไปแล้ว
และในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาที 90+9 ก็มีจังหวะดราม่าที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากมาย เมื่อ เฌเรมี่ โดกู ยกเท้าสูงใส่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ จนร่วงในกรอบเขตโทษ แต่ผู้ตัดสิน ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ กลับไม่เป่าเป็นจุดโทษ ขณะที่ผู้ควบคุมวีเออาร์อย่าง สจ๊วร์ต แอ็ตต์เวลล์ ก็ไม่ส่งสัญญาณให้เป็นจุดโทษเช่นกัน
สำหรับเหตุผลที่ไม่เป็นจุดโทษจังหวะนี้ เพราะมันคือช่วงวินาทีสุดท้ายของการแข่งขัน และมันยังไม่ได้ชัดเจนเพราะระดับที่ทุกคนบอกได้ว่ามันต้องเป็นจุดโทษ 100%
เจอร์เก้น คล็อปป์ แสดงความเห็นว่ายังไงก็ต้องเป็นจุดโทษแน่นอน คุณยกเท้าสูงขนาดนั้นโดยไม่ฟาวล์ในเกมฟุตบอล มันเป็นไปไม่ได้หรอก
สจ๊วร์ต แอ็ตต์เวลล์ ผู้ทำหน้าที่คุมวีเออาร์ในเกมนี้ ชี้แจงว่า เท้าของโดกูอยู่ในตำแหน่งที่สมเหตุสมผลแล้ว คือพยายามเคลียร์บอล และสัมผัสถูกบอลก่อน แต่ที่มันตามน้ำไปโดนหน้าอกของแม็คอัลลิสเตอร์ นั่นมันเป็นแค่จังหวะฟอลโล่ทรูเท่านั้น
 
แต่หลายคนก็มองว่ายกเท้าสูงขนาดนั้น ยังไงก็ควรจะฟาวล์อยู่แล้ว ถ้าเป็นนอกเขตโทษยังไงก็ฟาวล์แน่ แต่พอเกิดขึ้นในกรอบ กลับกลายเป็นว่าต้องหาเหตุผลมากมายมาหักล้างให้มันไม่ใช่จุดโทษซะอย่างนั้น
เกมนี้จึงจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 แบบที่ฝ่ายที่คาใจคือลิเวอร์พูลมากกว่า และพวกเขาต้องเสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับอาร์เซน่อล ที่มีผลต่างประตูได้-เสียดีกว่า 7 ลูก
สำหรับสถิติที่น่าสนใจ จากการที่ลิเวอร์พูลสามารถไล่ตีเสมอได้ในเกมนี้ ทั้งที่จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ตามหลัง ทำให้ทีมหงส์แดงสามารถเก็บแต้มจากสถานการณ์ที่กำลังจะแพ้ได้มากที่สุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ต่อไป โดยทำได้ถึง 23 แต้มจาก 28 นัด
ขณะที่สถิติสุดยอดของทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั่นก็คือกองกลางตัวเก่งอย่างโรดรี้สามารถช่วยให้ทีมไม่แพ้ใครนานถึง 61 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการในเกมที่เขาได้ลงสนาม ถือเป็นการเพิ่มสถิติไร้พ่ายติดต่อกันนานที่สุด สำหรับนักเตะทุกคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในยุคของพรีเมียร์ลีก โดยสถิติเดิมคือ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ อดีตกองหลังเชลซีทำไว้ 58 นัดติดต่อกัน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2006 จนถึงกุมภาพันธ์ 2008
ส่วนสถิติการดวลกันระหว่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งนี่คือการเจอกันหนสุดท้ายในพรีเมียร์ลีกของคู่นี้ ถ้านับเฉพาะการเจอกันในพรีเมียร์ลีกล้วนๆ ไม่มีรายการอื่น แมนฯ ซิตี้ ของเป๊ปยังเหนือกว่าโดยชนะ 5 ครั้ง (ที่เอติฮัด 4 ครั้ง ที่แอนฟิลด์ 1 ครั้ง) ส่วนลิเวอร์พูลชนะ 4 ครั้ง (ที่แอนฟิลด์ทั้งหมด) โดยเสมอกันไปบ่อยที่สุดคือ 7 ครั้ง (ที่เอติฮัด 4 ครั้ง ที่แอนฟิลด์ 3 ครั้ง)
แต่ถ้านับสถิติการคุมทีมเจอกันทั้งชีวิต นับรวมสมัยที่ทั้ง 2 คนเคยเจอกันในบุนเดสลีกา ถือว่าคล็อปป์มีสถิติ เฮด ทู เฮด เหนือกว่าเป๊ปแบบเฉียดฉิว โดยนับรวมทุกรายการ คล็อปป์เอาชนะเป๊ปได้ 12 ครั้ง เป๊ปชนะคล็อปป์ได้ 11 ครั้ง และเสมอกัน 7 ครั้ง
ผลเสมอระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นัดนี้ ทำให้สถานการณ์ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกยังคงเข้มข้นและสูสี โดยทีมที่รั้งอันดับ 3 เมื่อสัปดาห์ก่อนอย่างอาร์เซน่อล ชิงจังหวะขึ้นไปเป็นจ่าฝูงแทน แต่ก็นำลิเวอร์พูลด้วยผลต่างประตู และมีคะแนนมากกว่า แมนฯ ซิตี้ แค่แต้มเดียวเท่านั้น
ทั้ง 3 ทีมจะไม่มีโปรแกรมแข่งพรีเมียร์ลีกในสัปดาห์หน้า โดย ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ต้องลงเตะ เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ส่วนอาร์เซน่อล หลังจากเสร็จภารกิจ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกสอง กับ เอฟซี ปอร์โต้ คืนวันอังคารนี้ พวกเขาจะได้พักยาวนานกว่า 2 สัปดาห์ เนื่องจากโปรแกรมที่ต้องเปิดบ้านพบเชลซีถูกเลื่อนออกไป เพราะเชลซีผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ แม้ทีมปืนใหญ่จะตกรอบไปแล้วตั้งแต่รอบ 3 ก็ตาม
แต่หลังพ้นช่วงเบรกทีมชาติ จะมีเกมพรีเมียร์ลีกนัดสำคัญต่อเนื่องทันที โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะมีโปรแกรมเปิดบ้านพบ อาร์เซน่อล ในวันที่ 31 มีนาคม และนั่นจะเป็นเกมที่มีตำแหน่งจ่าฝูงเป็นเดิมพันอีกครั้ง
ซึ่งถ้าเกมนั้น อาร์เซน่อลบุกไปชนะทีมเรือใบสีฟ้าไม่ได้ จะทำให้ลิเวอร์พูลมีโอกาสทวงจ่าฝูงกลับคืนไปอย่างรวดเร็ว ถ้าสามารถเปิดบ้านชนะไบรท์ตันได้
ถ้าให้ฟันธงตอนนี้เลย เราคงบอกไม่ได้ว่าใครกันแน่จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ เพราะมีลุ้นกันถึง 3 ทีมที่บี้กันอย่างสูสีสุดๆ
และการที่เกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่มีทีมไหนที่เป็นผู้ชนะ นั่นแหละคือหลักฐานความสูสีของสุดยอดทีมในเส้นทางลุ้นแชมป์ฤดูกาล 2023-24 จริงๆ
#เสียบสามเหลี่ยม #คล็อปป์ #เจอร์เก้นคล็อปป์ #เป๊ป #เป๊ปกวาร์ดิโอล่า #จอห์นสโตนส์ #สโตนส์ #โดกู #เฌเรมี่โดกู #แม็คอัลลิสเตอร์ #อเล็กซิสแม็คอัลลิสเตอร์ #ลิเวอร์พูล #แมนฯซิตี้ #แมนเชสเตอร์ซิตี้ #พรีเมียร์ลีก #ฟุตบอลต่างประเทศ #ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
โฆษณา