12 มี.ค. 2024 เวลา 12:10 • การ์ตูน

EP : 1,248 THE GHOST IN THE SHELL

มันต้องมีมังงะซักเรื่องสองเรื่องหรือมากกว่านั้น(น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะ)ที่นักอ่านมังงะอย่างเราอยากอ่านแต่ยังไม่ได้อ่าน ไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นจะเป็นงานจากนักเขียนนักวาดที่ชื่นชอบ หรือเป็นแนวเรื่องที่ตามอยู่เสมอ หรือเหตุผลใดก็ตาม ถ้าเป็นงานที่เคยตีพิมพ์ในไทยมาแล้ว ส่วนใหญ่ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องเงิน ก็มักเป็นเรื่องที่หาอ่านได้ยากสุดๆ ใช่ไหมละครับ
และแน่นอนตัวผมก็มีมังงะอยู่หลายเรื่องมากๆ ที่อยากอ่าน แม้บางเรื่องที่อยากอ่านนั้น ผมจะมีเรื่องนั้นอยู่แล้วก็ตาม ? ที่บอกอย่างนี้ เพราะมันมีมังงะอยู่กลุ่มนึง ที่แม้จะมีอยู่กับตัวและได้อ่านแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่า เราไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ ด้วยปัญหาหลายๆอย่างของงานพิมพ์ในยุคเก่า เช่น งานพิมพ์ไม่ชัด ดูไม่เคลียร์ จำนวนหน้าไม่ครบ ตอนจบไม่ใช่อย่างที่เขาใส่มา หรือหน้าขาวไปทั้งแถบ รวมถึงงานที่แปลออกมา อ่านได้แต่ชวนงงมากๆกับที่ใส่มา
ใช่ครับ...สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกันครับ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมมีอยู่แล้ว แต่เจอปัญหาการแปลที่ดีมาก จนอ่านเรื่องราวไม่เข้าใจ(เลย) ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากเพราะนี้เป็นเรื่องแนววิทยาศาสตร์จ๋าๆ เต็มไปด้วยศัพท์เกี่ยวกับเทคโนโลยีอันล้ำหน้า ที่สำคัญมากๆคือ เรื่องนี้เป็นมังงะชั้นครู ระดับมาสเตอร์พีสเรื่องนึงเลยทีเดียว นี่เลยเป็นที่มาของการรีวิวมังงะเรื่องที่ว่า หลังจากที่มี สนพ ไพเรท หยิบมาทำมันอีกครั้งในแบบฉบับที่ “สมบูรณ์” ซึ่งก็คือเรื่องนี้ครับ “THE GHOST IN THE SHELL”
....โลกใน ปี 2029... แม้จะเป็นโลกที่วิทยาศาสตร์ถูกพัฒนาให้ไปอยู่ในจุดสูงสุดแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ด้วยการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ไมโครแมชชีน นาโนหรือ แม้แต่ AIเทคโนโลยี การดัดแปลงร่างกาย รวมถึงสมองให้เป็นไซเบอร์ เป็นเรื่องปกติมาก ๆ รวมถึงเทคโนโลยีด้านการผลิตหุ่นยนต์ หรือไซบอร์กให้ออกมาสมบูรณ์แบบ ทั้งรูปร่างหน้าตา ความคิด รวมถึงสามารถเสพสุขทางกายได้ไม่ต่างจากมนุษย์เลยก็ตาม แต่ทั้งๆที่เจริญรุดหน้าขนาดนั้น โลกในตอนนี้ก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาทั้งเก่าและใหม่มากมายดังเช่นโลกที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะปัญหาทางด้านอาชญากรรมไซเบอร์และการก่อการร้ายด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ที่ถูกหยิบมาพัฒนาด้านอาวุธแบบนี้ นั่นจึงทำให้รัฐต้องจัดตั้งองค์กรเชิงรุกที่ต้องเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง แกร่ง รุนแรง รวดเร็ว และเด็ดขาด ซึ่งนั่นก็คือ “หน่วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนก9” โดยมี “พันตรี คุซานางิ โมโตโกะ” เป็นผู้บัญชาการหญิงสุดแกร่ง ที่จะคอยรับมือทุกอาชญากรรมเทคโนโลยีแห่งโลกในปี 2029 ใน “THE GHOST IN THE SHELL”
หาก AKIRA ของ อ.Katsuhiro Otomo คือ งานแนว Cyberpunk ที่พูดถึงโลกหลังสงครามในอนาคตแล้วละก็ “THE GHOST IN THE SHELL” ของ อ. Shirow Masamune ก็คืองานแนว Cyberpunk ที่พูดถึงโลกแห่งอนาคตอันรุ่งเรือง เต็มไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งมาพร้อมกับปัญหามากมายของมนุษย์ นั่นคือสิ่งที่ผมคิด ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเมื่อผมนึกถึงเรื่อง AKIRA
ผมก็มักจะนึกถึงเรื่อง THE GHOST IN THE SHELL ด้วยกันอยู่เสมอ ทั้งเป็นนักเขียนในช่วงยุคเดียวกัน เนื้อหาที่เขียนเรื่องราวในอนาคตเหมือนกัน ผลงานก็ได้รับการยกย่องรวมถึงถูกหยิบไปสร้างสรรค์ต่อยอดในหลายๆผลงานทั่วโลกและแน่นอนครับ ทั้งสองคนคือนักเขียนมังงะชั้นครูที่ผมชื่นชอบด้วยเช่นกัน
ด้วยเรื่องย่อที่กล่าวไป “THE GHOST IN THE SHELL” จะนำเสนอเรื่องราวการทำภารกิจต่อต้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหลายรูปหลากหลายรูปแบบ เราจะได้เห็นอาวุธยุทโธปกรณ์ไฮเทคแปลกๆใหม่ๆมากมาย ในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี แน่นอนในฐานะคนในยุค 2000 มันมีอะไรหลายๆอย่างที่เมื่ออ่านแล้วเราคุ้นเคยและเข้าใจ เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันมันก้าวมาถึงยุค AI แล้ว แต่สิ่งต่างๆที่อยู่ในเรื่องราวนี้ก็ยังล้ำและสร้างความตื่นตากับนักอ่านอย่างผมได้เป็นอย่างดี
หากแต่สิ่งที่เรื่องนี้ถูกยกย่องเป็นอย่างมากไม่ใช่แค่ภาพโลกแห่งอนาคตหรือความเป็น SCI-FI อันสุดล้ำเท่านั้น มันกลับกลายเป็นเรื่องราวเชิงปรัชญา หรือวิญญาณ ที่ถูกใส่เข้ามาในเรื่องราวมากกว่า
การเล่นประเด็นกับคำถามคลาสิคของทุกยุคทุกสมัยอย่าง “มนุษย์คืออะไร” และ “วิญญาณคืออะไร” ผ่านเรื่องราวของโลกที่เต็มไปด้วย หุ่นยนต์ ไซบอร์ก เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบ AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นจนทัดเทียมหรือเหนือกว่า “มนุษย์” ที่มีร่างเนื้อตามปกติ คือจุดที่ถูกถกเถียงและหยิบมาพูดถึงอยู่เสมอ ซึ่งล้อกับชื่อเรื่องของมันนั่นคือ THE GHOST IN THE SHEEL นั่นเอง
การนำเสนอ/ตั้งคำถามเรื่องราวของ “โกสต์” ในร่างจักรกล เคียงคู่จิตวิญญาณที่อยู่ในกายเนื้อ หรือวิญญาณในสิงสถิตอยู่ในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ การพูดถึงเรื่องราววิวัฒนาการของระบบเน็ทเวิร์คหรือเครือข่าย ล้อกับการวิวัฒนาการของมนุษย์ การโยกย้ายตัวตน จิตสำนึกของผู้คนได้ง่ายดังดีดนิ้วและมนุษย์(ที่ดัดแปลง)เป็นแค่ภาชนะที่รองรับความนึกคิดของผู้อื่นที่มิใช่เจ้าตัว โลกเสมือนจริง หรือ โลกแห่งเมทริกซ์ ที่ทุกๆเรื่องราวและการกระทำเกิดขึ้นได้ไม่แตกต่างจากโลกที่เหล่ากายเนื้อยึดถือเชื่อมั่น
หรือแม้แต่มันสมองเป็นก้อนเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่ควรจะถูกแทนที่ด้วยมันสมองไซเบอร์ที่ทรงประสิทธิภาพที่เชื่อมต่อโลกแห่งปัจจุบันอันเต็มไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงได้ และแน่นอน AI ที่ถูกพัฒนาจับเข้าสู่จักรกลจนกลายเป็นเครื่องมือที่มีความฉลาดและความนึกคิดมากพอที่จะทำงานเคียงคู่กับสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์โดยไร้ข้อผิดพลาด นี่เป็นส่วนหนึ่งของประเด็นต่างๆ ที่มีการนำเสนอผ่านเรื่องนี้ ด้วยมุมมองอันสุดล้ำในยุคสมัยที่อินเตอร์เน็ทยังต้องต่อผ่านโมเด็มและโลกยังใช้งานอินเตอร์เน็ทความเร็วสูงในเชิงพาณิชย์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เอาจริงๆคำถามในเชิงปรัชญาแบบนี้ เวอร์ชั่นมังงะที่ได้อ่าน อาจจะไม่ถึงกับเข้มข้นหรือชัดเจนนักในสายตาผมนะ ส่วนหนึ่งก็เพราะในเล่มแรกแม้จะมีการนำเสนอเรื่องราวสอดแทรกที่ชวนให้ตั้งคำถามและวิเคราะห์กันก็ตาม แต่ด้วยการนำเสนอเป็นตอนๆ กับภารกิจตามล่าด้วยเทคโนโลยีมันก็ชวนให้ผมเพลินกับการได้เห็นความไฮเทคต่างๆที่ใส่เข้ามา แต่หากเราตั้งใจเก็บรายละเอียดจริงๆจะพบแนวความคิดในเชิงปรัชญานี้ถูกถ่ายทอดเป็นส่วนๆ สอดแทรกเข้ามาเรื่อยๆตลอดทั้งเรื่องครับ
สำหรับผมเล่ม 1 อ่านค่อนข้างสนุกในความเป็น Action SCI-FI มากกว่าเล่ม 2 ด้วยการเน้นฉากต่อสู้ซึ่งมีซีนโชว์ของเยอะมาก และในรายละเอียดของเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาร่วมกับการต่อสู้ นั่นแหละเป็นสิ่งที่หากเราคิดตามไปจริงๆจะเกิดคำถามร่วมประจำมังงะเรื่องนี้นั่นคือแท้จริงแล้ว “วิญญาณคืออะไรและโกสต์ล่ะ?"
การใส่เรื่องราวของ AI การเชื่อมต่อไร้สาย การสื่อสารโดยตรงระหว่างสมองกับสมองโดยไม่ผ่านการพูด โลกของข้อมูลอันไร้ขอบเขต ที่สามารถแชร์กันได้โดยตรงผ่านสมองในพริบตา โปรแกรมที่ถูกพัฒนาจนมีความคิด หรือแม้แต่การช่วงชิงตัวตนและความคิดของคนอื่นได้ด้วยการ Hack หรือไวรัส รวมถึงการพูดถึง “โกสต์” ในจักรกล ช่วยสื่อสารถึงใจความที่เรื่องนี้พยายามให้เราตั้งคำถามถึงแนวความคิดเรื่องตัวตนและวิญญาณทั้งสิ้น ผ่านร่างจักรกลที่ถูกพัฒนามิใช่แค่กายเนื้ออย่างยุคปัจจุบัน
แม้หากมองจากปี 2024 ที่รีวิวอยู่ในตอนนี้ เรื่องพวกนี้อาจจะดูไม่แปลกขนาดนั้น แต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมก็คือนี่คือเรื่องราวที่ถูกเขียนและนำเสนอออกมาเกือบ 35 ปีแล้ว(1989-1991) ซึ่งหากมองย้อนกลับไปช่วงเวลาที่เขียนเรื่องนี้นั้น สิ่งต่างๆที่อยู่ในเรื่องนี้ ล้วนเต็มไปด้วยจินตาการที่มีความก้าวล้ำเหนือยุคสมัยมาก ไม่แปลกที่สิ่งเหล่านี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย จนนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นสารตั้งต้น หรือส่วนผสมของการสร้างสรรค์เรื่องราวในผลงานของพวกเขาในอนาคตต่อมา
เขียนมาแบบนี้ แต่จะบอกตรงๆว่ามันใช่ว่าผมจะเข้าใจในทุกเรื่องราวที่ใส่เข้ามานะ เพราะด้วยรายละเอียดที่จัดเต็มแน่นไปด้วยเทคโนโลยี และการพยายามนำเสนอมุมมองของโลกข้อมูลและการสื่อสารออกมาในบริบทแบบนี้ มีหลายอย่างมากที่เกินกว่าผมจะเข้าใจได้ ยิ่งเล่ม 2 (ภาค2) ที่เนื้อหาก้าวไปอีกรูปแบบในโลกเมทริกซ์ ที่จะเป็นการต่อสู้เชิงเทคโนโลยี
และมันก็ล้ำไปไกลมากด้วยการสื่อสารให้เห็นในโลกของข้อมูล การลิงค์ไปมาในรูปแบบต่างๆ ที่แม้ภาพรวมผมจะ(พอ)เข้าใจว่า ตัวเอกต้องการทำอะไร แต่ด้วยรายละเอียดที่เยอะมาก(โดยเฉพาะตัวละครและรายละเอียดภารกิจที่ทำและเกิดขึ้นระหว่างทำควบคู่ไป) บอกเลยว่าการพยายามจะเข้าใจรายละเอียดกลับทำให้ผมมึนงงจนแทบจะวางหนังสือลงเพื่อจัดระเบียบความคิดกันหลายต่อหลายรอบกันเลยทีเดียวครับ
ในแง่เนื้อหาผมคงไม่กล้าก้าวล่วงไปมากกว่านี้แล้ว อยากให้ทุกคนไปหาอ่านซะมากกว่า เพราะเชื่อมั่นว่าแต่ละคนย่อมเข้าใจและตีความสิ่งที่ตัวเองอ่านไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะ แต่สิ่งที่ผมเชื่อมั่นว่านอกจากเนื้อหาที่เต็มไปด้วยจินตนาการจะสร้างความชอบและเพลิดเพลินให้กับคนที่อ่านได้อย่างมากแล้ว ก็จะมีเรื่องของลายเส้นอีกอย่างที่จะสร้างความจดจำให้กับทุกคนที่ได้อ่านครับ
จริงๆเรื่องนี้ อาจไม่ใช่ลายเส้นที่สวยมากที่สุด แต่การใส่รายละเอียดของโลกแห่งอนาคตและบริบทของ THE GHOST IN THE SHEEL ถือว่าสุดยอดในสายตาผมครับ หลายรูปแบบที่เรื่องนี้พยายามสื่อสารผ่านลายเส้น
ชวนให้ผมคิดถึงงานแนว SCI -FI ที่โด่งดังในยุคหลังอย่าง GUNNM ไม่น้อยซึ่งโดยส่วนตัวผมเชื่อว่า GUNNM น่าจะได้แรงบันดาลใจหรือได้รับอิทธิพลจากเรื่อง THE GHOST…มาไม่มากก็น้อย ทั้งเนื้อหา การนำเสนอ และวิธีการลิ้งค์เข้าข้อมูลสำคัญเชิงวิทยาศาสตร์ที่แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียดแต่ทั้งสองเรื่องก็มีจุดเด่นเรื่องงานภาพในโลกแห่งอนาคตที่โดดเด่นไม่ต่างกันครับ
อันนั้นเป็นความรู้สึกของการอ่านเล่มแรก(ภาค1)นะครับ เพราะหากหยิบเล่ม 2(ภาค2) อ่านนี้จะได้อารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก ความดุเดือดของเนื้อหาถือว่าน้อยลงไป โดยเน้นที่โลกแห่งการต่อสู้ผ่านเครือข่ายและโลกเสมือนจริง(เมทริกซ์)แทน เหมือนจะบอกเราว่าอนาคตทุกอย่างมันจบในโลกเสมือนได้ไม่แตกต่างจากโลกของกายเนื้อ
แบบนี้ผมว่าได้อารมณ์คนละแบบกับเล่มแรกเลย ไม่ได้ไม่สวยนะครับ สวยงามเลยแหละ แต่มันชวนให้คิดว่านี่คือจินตนาการหรือสิ่งที่เรามองไม่เห็นมากกว่า ซึ่งไม่รู้ว่าคนที่อ่านเล่มสองจะคิดเหมือนผมไหม ว่าโลกในเล่มสองนี้มีบางอย่างที่ชวนให้คิดถึงการนำเสนอเกี่ยวกับโลกแห่งวิญญาณในเรื่อง BASTARD อยู่ไม่น้อย ถ้าจับแพะชนแกะเอาเล่นๆ ผมว่า BASTARD อาจได้ไอเดียการนำเสนอโลกที่เหมือนเป็นคนละขั้วของทั้งสองเรื่องก็ได้นะ และหากคิดเข้าข้างตัวเองไปอีก ทั้งสองเรื่องก็พูดถึงช่วงเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบันเหมือนกันด้วยสิครับ
เนื้อหาผมคงพูดแค่นี้แหละ ยังก้าวไปไม่ลึกเหมือนคนอื่นๆเขา เรามาพูดถึงงานผลิตของเวอร์ชั่นที่ผมได้อ่านและรีวิวอยู่ในตอนนี้ดีกว่าครับ นี่คืออีกหนึ่งผลงานชั้นเลิศที่ทางค่าย Cat Comcis นำเสนอออกมาก ซึ่งเป็นค่ายที่เวลาหยิบจับงานอะไรมาทำ มักจะทำในพื้นฐานที่ว่า เพื่อนักอ่านนักสะสมระดับ “Mania” อยู่เสมอ โดยที่ผ่านมาผมก็มีรีวิวงานผลิตของ ค่ายนี้มาตลอด และยืนยันว่าในฐานะนักอ่านระดับจริงจัง(นิดหน่อย) อย่างผม งานแต่ละชุดคือเพื่อการสะสมอยู่ภายใต้คำว่า “สมบูรณ์แบบ” อย่างไม่ต้องสงสัยตลอดมาครับ
โดยในครั้งนี้ทาง Cat เขารวบรวมผลงานของ อ.ชิโรว์ ออกมาเป็นเซ็ท 4 เล่มครบสมบูรณ์นะ โดยแบ่งเป็น
- ภาคหลัก 2 เล่มจบ(2ภาค)ของ THE GHOST IN THE SHELL
- ภาค 1.5 (ผมแยกอ่านและรีวิวแยกนะครับเพราะเนื้อหา 1.5 คือตัวละครที่ไม่ใช่ตัวเอกของภาคหลัก1กับ2ครับ) เล่มเดียวจบ 1 เล่ม
- ภาค TRIBUTE คือภาคพิเศษที่รวบเหล่านักวาดมังงะชื่อดังหลายท่านมารวมตัวเขียนตอนพิเศษให้ครับ อีก 1 เล่ม เดี๋ยวรีวิวแยกต่างหากครับ
ทั้งหมดนี้รวมกันมาใน Boxset สวยๆมีการเคลือบด้าน และทำอักษรแบบสปอยยูวี นูนต่ำทั้ง 3 ด้าน โดยเลือกรูปของตัวละครหลัก สกีนบนกล่องที่ทำออกมาโทนไซเบอร์ ดูลงตัวอย่างมากครับ
โดยรอบนี้ทั้งหมดทำรูปเล่มออกมาขนาด BB ด้วยปก 2 ชั้นตามสมัยนิยมและต้นฉบับครับ ปกนอกใช้กระดาษอาร์ต หนา 220 แกรม พิมพ์ 4 สี ทำการเคลือบเงา ภาพที่ใช้ตามต้นฉบับครับ เป็นภาพที่เห็นแล้วจำได้เลยว่าเรื่องนี้คือเรื่องอะไร ซึ่งภาพคมชัดดี สีสันสวยงาม ส่วนปกด้านในใช้กระดาษอาร์ต หนา230 แกรม พิมพ์4สี ตามหน้าปก ซึ่งทำออกมาสวยงามไม่แพ้หน้าปกเช่นกัน และทำให้ดูพิเศษกว่าหลายๆเรื่อง ที่ปกติปกในจะนิยมพิมพ์เป็นภาพขาวดำ แน่นอนครับ พิมพ์สีแบบนี้ต้นทุนแพงกว่าพิมพ์ขาวดำแน่นอนครับ
ตัวเล่มเปิดอ่านแบบญี่ปุ่น ด้านในพิมพ์เป็นภาพขาวดำผสมกับสี ซึ่งต้องบอกว่าจำนวนหน้าสีเยอะมากกกกกกก ไม่ใช่แค่หน้าสองหน้านะครับ อย่างเล่มแรก หน้าสีราวๆ 66 หน้า ซึ่งพิมพ์ในส่วนเนื้อเรื่องบางตอนและหน้าปกของแต่ละตอน และเล่ม 2 อันนี้หนักเลย หน้าสีกว่า 198 หน้าเลยครับ เรียกว่าจุใจคนชอบภาพสีเลยทีเดียวและแน่นอนงานพิมพ์สีทำออกมาสีสันสวยงามคมชัดมากๆ และในส่วนขาวดำก็คมชัดเหมือนเดิม แค่ปริมาณภาพสีของแต่ละเล่มก็คุ้มค่ามากๆแล้วครับ
ส่วนของงานแปลขอพูดเยอะกว่าหลายๆเรื่องที่อ่านหน่อย เนื่องจากงานแปลมันสำคัญมากๆสำหรับเนื้อหาเรื่องนี้ ซึ่งหลังจากอ่านเล่มนี้เวอร์ชั่นนี้แล้วทำให้ผมรู้สึกเลยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ แปลได้ยากมากกกกก ด้วยศัพท์แสงเฉพาะทางเทคโนโลยีต่างๆ กับเรื่องราวอันสลับซับซ้อนเกินจะเข้าใจได้ง่ายในเกือบทุกสถานการณ์ของเรื่องราว ไม่แปลกที่แม้จะเป็นเวอร์ชั่นนี้ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ง่ายที่จะเข้าใจ
พูดตรงๆคือผมรู้สึกเห็นใจคนแปลเรื่องนี้เอามากๆ จนผมคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่จะแปลและเกาคำในเรื่องนี้ให้ออกมาแบบอ่านครั้งเดียวเข้าใจและเข้าถึงเลย มันจะมีคนๆ นั้นอยู่ไหม ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องนี้แปลแย่อะไรนะครับ
ผมจะบอกว่าแปลดีและทำให้ผมเข้าใจและเข้าถึงในอะไรหลายๆอย่าง อย่างที่ผมต้องการ แต่ด้วยความยากในเนื้อหาและการนำเสนอแนว SCI FI เต็มขึ้นจัดหนักแบบในเรื่องนี้ มันมีบางจุดที่ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้ 100% ในจุดนั้น อันนี้บอกตรงๆในแง่คนอ่าน แต่สรุปว่าเวอร์ชั่นนี้แปลให้ออกมาดีมากแล้วครับ อ่านได้ง่ายช่วยลำดับเรื่องราวได้ดีแล้ว เพียงคนอ่านแต่ละคนจะตามเนื้อหาและนึกตามเรื่องราวอันสุดล้ำนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ตรงนี้ขอเพิ่มหน่อยคือจากที่ผ่านเล่มแรกนี่ยังถือว่าศัพท์แสงทางวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยียังพออ่านแล้วนึกตามได้อยู่บ้าง แต่เล่มสองนี้บอกเลยว่าล้ำไปไกลมาก มากจนรู้สึกไม่แน่ใจว่า ที่เราอ่านนี้ต่อให้เขาแปลออกมามั่วๆผมก็ยังทำความเข้าใจไม่ถึงมันอยู่ดี ขนาดมั่นใจว่าทีมนี้เขาตั้งใจแปลมากๆแน่นอน ที่ได้อ่านยังลำดับเรื่องราวลำบากเลย แต่ก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการนำเสนออยู่นะครับ
เพียงแต่ แต่ดั้งเดิมแล้วเรื่องนี้มันอ่านได้ยากสุดๆอยู่แล้ว ตามที่ตัว อ. เขาก็บอกไว้แบบนี้เหมือนกันครับ สรุปเครียดแทนคนแปล เพราะมันคือเรื่องราวที่ยากเกินจะเข้าใจโดยทั่วไปครับ
เป็นอีกครั้งนะที่ได้มาอ่านเรื่องที่ถอดใจไปแล้วอีกครั้งในยุคนี้ ทั้งโชคดีและมีความสุขมากๆกับการได้อ่านเวอร์ชั่นที่มั่นใจว่าทำออกมาดีที่สุดแล้วสำหรับนักอ่านในยุคนี้ ถามว่าอ่านแล้วเข้าใจไหม บอกเลยว่าหลายจุดมันเกินคำว่าเข้าใจไปแล้ว ใครเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ผมถือว่าคุณคือสุดยอดนักอ่าน นักวิเคราะห์ล่ะ
แต่โดยส่วนตัว ผม “สนุก” กับการได้อ่านเรื่องนี้มาก ทั้งจากในแง่นึงนี่คือมังงะในตำนานที่อยากอ่านแบบเข้าใจ(มากที่สุด)มานาน ชื่อเสียงในวงกว้างก็คือสุดๆเรื่องนึงเหมือนกัน และแง่นึง คือผมชอบงานของ อ.ชิโรว์คนนี้มากๆเช่นกัน ที่บ้านมีน่าจะทุกเรื่องที่ ไพเรทบ้านเราเคยพิมพ์มานะ
แน่นอน อ่านไม่เข้าใจทุกเรื่อง เพราะงานของ อ. คือล้ำทุกเรื่อง ซึ่งก็แอบหวังว่าทางค่าย Cat หรือค่ายไหนก็ได้หยิบมาพิมพ์อีกที แต่ก็รู้แหล่ะว่าถ้าทำออกมาคนแปลเขาต้องเครียดมากแน่ๆเลย แต่ก็ต้องหวังครับ เพราะงานดี มันจะสนุกก็ต้องอ่านเอง ไม่ใช่ใครมาบอกว่า “ดี” เพราะ “ดี” และ “สนุก” ของพวกเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน และสำหรับผมเรื่องนี้คือ “ดี”และ “ดีมากๆ” แม้จะบอกว่าอ่านแล้วจะเข้าใจทุกคนไม่ได้ก็ตาม แต่บอกได้คำเดียวว่า “ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ”
ภาพ 10/10
เรื่อง 10/10
ความประทับใจ 10/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #4เล่มจบ #CatComics #การ์ตูนแนวหุ่นยนต์ #การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวต่อสู้ #10คะแนน #TheGhostInTheShell #หนังสือการ์ตูน #Rate15 #เล่มเดียวจบ #การ์ตูนแนวรวมเรื่องสั้น #เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง # Cyberpunk #ActionSciFi #ปรัชญา
1
โฆษณา