13 มี.ค. เวลา 11:41 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ตัวอย่างการใช้ Option เข้าช่วยผสมใน Portfolio เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15-20% ต่อปี

แต่ Drawdown ต่ำกว่าการกระจายความเสี่ยงของกองทุนหุ้นทั่วไป เป็นวิธีการผสมผสาน Buy & Hedge & Bet
เริ่มต้นจาก เข้าใจก่อนว่า การลงทุนในกองทุนหุ้นทั่วไป คาดหวังผลตอบแทนที่ 10% ค่าความผันผวนหรือความเสี่ยง 20% แปลว่า ในภาวะปกติ หรือมีโอกาสประมาณ 68% ที่จะให้ผลตอบแทน 1 ปีอยู่ที่ -10% ถึง 30% (แม้ความจริงจะโหดร้ายก็ตาม)
ส่วนวิกฤต ก็จะขาดทุนได้ถึง 50% สบายๆ ตามสถิติ
แล้วเราจะ แก้ไขตรงนี้ได้อย่างไรดี? เพื่อลดโอกาสขาดทุน นอกจากการซื้อๆขายๆ
วิธีการทั่วไป คือใส่ตราสารหนี้เข้าไปในพอร์ต แต่วิธีนั้น จะลดผลตอบแทนคาดหวังลงไปเยอะ และในวิกฤตล่าสุดที่ผ่านมา กลับเป็นหายนะครั้งใหญ่ เพราะเป็นวิกฤต bond ด้วย
ถึงตรงนี้เราจะมาใช้เครื่องมือทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะกัน คือ Options
โดยเราสามารถใช้ได้หลายท่าเลย เช่น
ใช้ Put Option ช่วยในการ Hedge ตลาดขาลงได้
โดยเฉพาะการนำมาเก็งกำไร โดยเฉพาะช่วง งบ ออก เราจะไปเก็งงบ หรือ ไปซื้อเวลาหุ้นที่ลงไปหนักๆ แต่ไม่อยากเสี่ยงเข้าไปซื้อตรงๆ ก็ซื้อ Call Option ได้
ใช้สร้าง yield เพิ่มเติม เช่น short call against portfolio ในจังหวะตลาดขาขึ้น
ใช้ short put รอซื้อหุ้น จังหวะที่ไม่รีบ
ซึ่ง หากคุณสามารถทำ กำไร จากส่วนนี้ได้เรื่อยๆ จะช่วย ให้พอร์ตมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เราได้ลองตัวอย่างนี้ กับกลยุทธ์หุ้นเทค และมีการเก็งงบ + hedge โดยเรียกมันว่า Optimal Megatrend Tech Enhanced (OMTE) โดยเราได้ทดลองเก็บสถิติเป็นเวลา 2 ปี จากการเก็งงบหุ้นอเมริกาด้วย Option
กลยุทธ์นี้ เราอาศัยจุดเด่นของ Option เพื่อบริหารความเสี่ยง และ การเก็งกำไรแก่พอร์ตได้ดียิ่งขึ้น
โดยที่เราสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น ในขณะที่จำกัดการขาดทุนไว้ได้ด้วย (Limited Loss, Unlimited Profit ตาม payout structure) แถมยังช่วยให้สามา
รถทำกำไรได้ในทุกสภาพตลาด แม้ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง (เล่นได้ทั้ง 2 ทิศทาง)
ส่วนหุ้น ก็ถือมันไปตามหลักปกติ
ดังนั้นหากคุณแบ่งเงิน ออกมาสัก 20% จากเงินลงทุน 100% แล้วทำได้ 10% ต่อไตรมาส ผลตอบแทนรวมจะอยู่ที่ หุ้น 80% * 10% = 8% และส่วนที่เหลือมาจาก option
สมมติ option เราทำได้ 10% ต่อไตรมาส บนเงินต้น 20% จะได้รวม 10%*4*20% = 8% ทำให้ผลตอบแทนรวมได้เป็น 8+8= 16%
โดยในตลาดขาลง คุณก็จะได้ผลตอบแทนจากตรงนี้ 8% มาหนุน (เพราะมันเป็นการเก็งงบ 2 ทิศทาง ทั้งขึ้นและลง) แต่หากคุณทำได้มาก ก็จะยิ่งได้มากขึ้นตาม
เห็นไหมครับ แบ่งพอร์ตออกมาไม่เยอะ แต่อาจจะสร้างผลตอบแทน ได้มากกว่าเงิน ก้อนหลักที่ลงทุนระยะยาวเสียอีก หากแบ่งเงินออกมาเยอะจาก 20% เป็น 30% หากคุณทำได้ ไตรมาสละ 10% คูณเลขออกมา 30% x 10% x 4 = 12% ต่อปี ถ้าได้ 20% → 24% ต่อปีก็ไปช่วยลด drawdown จากพอร์ตหุ้นได้ ซึ่งปกติลงทุนในหุ้น เรารู้อยู่แล้วว่า max drawdown ขั้นต่ำ 30%-50% ลงทุน 70% ก็จะเหลือ 20-30% แล้วบวกกลับด้วย ผลตอบแทนจาก option ก็จะเหลือเพียง 10%
คำถามที่น่าสนใจคือ แล้วทำได้จริงหรือ ก็ต้องใช้ความรู้ความสามารถพยายามกันครับ อย่างเราทดลองทำมากัน 2 ปี ก็ได้ในช่วง 20-30% ครับ
เวลาได้ ปกติเราจะได้ 0-400% เวลาเสีย เราเสีย 0-100% อาศัยความได้เปรียบตรงนี้ หาก เฉลี่ยชนะได้ครั้งละ 100% แพ้ 50% win rate แค่ 50% ก็จะคาดหวังผลตอบแทนที่ 50%*100%-50%*50%= 25%
แต่จากประสบการณ์คือ win rate 70-90% เจอ
1 ปีที่หลังงบออกแล้วหุ้นวิ่งหรือลงแรงมากๆ 20-30% โอ้โหได้เยอะจริง กำไรเฉลี่ยจะเกิน 100% ไปเจอ 2-300% ผิดก็ เจ๊งเลย
แต่ถ้าใน 1 ปีล่าสุดซึ่งเป็นขาลง มีเรื่อง fed เข้ามากวน จะทำให้ยากมาก และเปน 3 ไตรมาสของ bottomingout จะไม่ค่อยเคลื่อนไหว งบออกที +- 10% เฉลี่ยกำไรสัก 100% ก็เยอะแล้วครับ
นี่เป็นตัวอย่าง ในการใช้ option แบบหนึ่ง ที่ extreme ที่สุด ที่ทีมเราทำกันเป็นงานอดิเรก
ยังมีอีกแบบ ที่ดีมากๆ คือ yield enhanced portfolio สามารถได้เพิ่มปีละ 5-10% ได้เหมือนกัน ไว้ได้โอกาส จะมาเล่าให้ฟังครับ
BottomLiner
โฆษณา