16 มี.ค. เวลา 02:38 • กีฬา

อธิบายจบทุกข้อสงสัย ลีกไหนจะได้โควตา UCL 5 ทีมยังไง?

เชื่อว่าหลายคนกำลังสงสัย ว่าสรุปแล้วทีมที่จบอันดับ 5 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ จะได้โควตาไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าหรือไม่?
ซึ่งถ้าจะให้ตอบคำถามนั้นเลยในตอนนี้ บอกเลยว่ามันยังไม่มีอะไรที่แน่นอนครับ
แต่หลังจากที่ยูฟ่าได้ทำการจับสลากประกบคู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก โดยกำหนดเส้นทางล่วงหน้าจนถึงนัดชิงของทั้ง 3 รายการไปเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเราเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นแล้วครับ ว่าลีกไหนกันแน่ ที่มีโอกาสส่งทีมเข้าแข่ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้ามากถึง 5 ทีมมากที่สุด
พรีเมียร์ลีกถือเป็นลีกแรกของยุโรป ที่มีสโมสรเข้าร่วมการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากถึง 5 ทีมในฤดูกาลเดียว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์นั้น เกิดขึ้นในฤดูกาล 2005-06
ในซีซั่น 2005-06 เดิมทีพรีเมียร์ลีกได้โควตาส่งทีมเข้าร่วม UCL เพียง 4 ทีม แบ่งเป็นแชมป์และรองแชมป์ที่จะเข้ารอบแบ่งกลุ่มทันทีโดยอัตโนมัติ ส่วนทีมที่จบอันดับ 3 และ 4 จะต้องไปลงเตะรอบคัดเลือกรอบ 3
เชลซีที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2004-05 และรองแชมป์อย่างอาร์เซน่อลจึงได้เข้ารอบไปรอก่อนทันที ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งจบอันดับ 3 ในลีกก็ไม่มีปัญหากับการผ่านรอบคัดเลือก
แต่น่าเสียดายที่ทีมที่จบซีซั่นด้วยอันดับ 4 ในปี 2005 อย่างเอฟเวอร์ตัน ดันตกรอบคัดเลือกไป เพราะพวกเขาโชคร้าย ดันจับสลากไปเจอคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างบียาร์เรอัล แล้วสุดท้ายก็ต้องแพ้ต่อทีมเรือดำน้ำสีเหลืองจากสเปนไปทั้งไปและกลับ
ตามเกณฑ์เดิมของพรีเมียร์ลีกเมื่อ 19 ปีที่แล้ว ทีมที่ไม่ติดท็อปโฟร์จะไม่สามารถคว้าสิทธิ์ไปเล่น UCL ได้ ขณะที่ในตอนนั้น ยูฟ่าก็ยังไม่เคยให้ลีกไหนได้โควตามากกว่า 4 ทีมมาก่อนเลย โดยถ้าหากเกิดกรณีที่ทีมแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก จบฤดูกาลต่ำกว่าอันดับ 4 ในลีก พวกเขาจะให้สมาคมฟุตบอลของประเทศนั้นไปตัดสินใจกันเอง ว่าจะเลือกตัดสิทธิ์ทีมอันดับ 4 ของลีก หรือจะตัดสิทธิ์ทีมที่เป็นแชมป์ยุโรป แต่หลุดท็อปโฟร์กันแน่
ในฤดูกาล 2004-05 ลิเวอร์พูลจบแค่อันดับ 5 ในพรีเมียร์ลีก กลับสามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จด้วยการดวลจุดโทษเอาชนะ เอซี มิลาน ที่อิสตันบูล จึงเกิดดราม่าขึ้น
ยูฟ่าอยากได้ลิเวอร์พูลเข้าร่วมการแข่งขันมากกว่าเอฟเวอร์ตันที่จบอันดับ 4 ในลีก เพราะทีมหงส์แดงเป็นสโมสรที่ดึงดูดผู้ชมเพื่อเพิ่มมูลค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดได้มากกว่า มีประวัติศาสตร์และฐานแฟนบอล รวมถึงศักยภาพที่จะลงแข่งขันเหนือกว่าเอฟเวอร์ตันชัดเจน
ในปี 2000 เคยเกิดกรณีตัวอย่างที่ ลา ลีกา สเปน เลือกตัดสิทธิ์ เรอัล ซาราโกซ่า ที่จบอันดับ 4 ให้ไปเล่น ยูฟ่า คัพ แล้วมอบโควตา UCL ให้ เรอัล มาดริด ที่แม้จะจบอันดับ 5 ใน ลา ลีกา แต่ก็สามารถคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอง ทำให้ทีมราชันชุดขาวได้ไปป้องกันแชมป์ยุโรปแทน เพราะทั้งสหพันธ์ฟุตบอลสเปน และยูฟ่า เห็นตรงกันว่าทีมราชันชุดขาวเหมาะสมจะได้เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก มากกว่าซาราโกซ่า
อย่างไรก็ตาม ทางพรีเมียร์ลีกยืนยันหนักแน่นว่าพวกเขาจะไม่ตัดสิทธิ์เอฟเวอร์ตัน เพราะพวกเขามองว่าจะไม่ยอมเสียเครดิต และผิดสัญญากับใครเด็ดขาด เนื่องจากทุกสโมสรรับทราบร่วมกันตั้งแต่เปิดฤดูกาลแล้วด้วยซ้ำว่า ทีมอันดับ 4 จะได้โควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก แน่ๆ
ยูฟ่าจึงตัดสินใจแก้ปัญหาเรื่องนี้ ด้วยการมอบโควตาพิเศษให้ลิเวอร์พูลไปป้องกันแชมป์ในฤดูกาล 2005-06 แต่ต้องไปเริ่มต้นเส้นทางตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบแรกสุด ทำให้พรีเมียร์ลีกคือลีกแรกของยุโรปที่ได้โควตาส่งทีมเข้าร่วม UCL ถึง 5 ทีม เพียงแต่เอฟเวอร์ตันดันไม่ผ่านรอบคัดเลือกเท่านั้น จึงเหลือแค่ 4 ทีมในรอบแบ่งกลุ่ม
แล้วจากนั้น ยูฟ่าก็ออกกฎกันไว้ก่อนเลยว่า ทีมที่ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก จะได้สิทธิ์ลงป้องกันแชมป์ในฤดูกาลถัดไปทุกกรณี ซึ่งถ้าหากเกิดเคสที่แชมป์ยุโรปผลงานแย่ในลีก ลีกนั้นจะต้องตัดโควตาอันดับในลีกไปให้ทีมแชมป์ยุโรปก่อนเท่านั้น
นั่นทำให้ในปี 2012 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ พลาดโควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปอย่างโชคร้าย แม้จะคว้าอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีกมาครองได้ เพราะเชลซีที่จบอันดับ 6 ในลีก ดันสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรปด้วยการดวลจุดโทษดับ บาเยิร์น มิวนิค
จากนั้นในฤดูกาล 2015-16 ยูฟ่ามีการปรับกฎใหม่ให้แชมป์ ยูโรปา ลีก ได้สิทธิ์ลงเตะ UCL โดยอัตโนมัติ และเปิดโอกาสให้ 1 ประเทศสามารถส่งทีมลงแข่ง แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สูงสุดถึง 5 ทีม ไม่ใช่ห้ามเกิน 4 ทีมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรณีเดียวที่ประเทศไหนส่งทีมลงเตะ แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึง 5 ทีมได้ ต้องเป็นเคสที่แชมป์เก่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือแชมป์ ยูโรปา ลีก ทำอันดับไม่ติดท็อปโฟร์เท่านั้น
ถ้าหากเกิดกรณีที่แชมป์ UCL และยูโรปา ลีก มาจากประเทศเดียวกัน และไม่ติด 4 อันดับแรกของลีกทั้งคู่ จะทำให้ทีมที่จบอันดับ 4 ในลีกต้องไปเล่น ยูโรปา ลีก แทน แต่กรณีนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นให้เห็นเลยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา
ลา ลีกา สเปน คือลีกแรกของยุโรปที่มีตัวแทนถึง 5 ทีมในรอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาล 2015-16 หลังจากเซบีย่าที่จบอันดับ 5 ในลีก สามารถคว้าโควตาเข้ารอบแบ่งกลุ่ม UCL ในฐานะแชมป์ ยูโรปา ลีก ซีซั่น 2014-15 โดย บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด และ แอตเลติโก มาดริด ที่จบอันดับ 1-3 เข้ารอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ ขณะที่บาเลนเซียที่คว้าอันดับ 4 ก็ผ่านรอบเพลย์ออฟ
ส่วนในฤดูกาล 2017-18 ถือเป็นครั้งแรกที่พรีเมียร์ลีกมีตัวแทนถึง 5 ทีมในรอบแบ่งกลุ่มของ แชมเปี้ยนส์ ลีก เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้โควตาลงเตะในฐานะแชมป์ของ ยูโรปา ลีก แม้จะจบแค่อันดับ 6 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016-17 ก็ตาม
ส่วน 4 ทีมที่ติดท็อปโฟร์ในฤดูกาล 2016-17 ก็ได้โควตาไปตามปกติ โดย 3 อันดับแรก (เชลซี, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้) เข้ารอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ ส่วนลิเวอร์พูลที่จบอันดับ 4 สามารถผ่านรอบเพลย์ออฟไปได้
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลหน้า กำลังจะเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่จะมีลีกใหญ่ส่งทีมเข้าแข่ง แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 5 ทีมด้วยผลงานจากในลีกเท่านั้นจริงๆ ไม่ว่าลีกนั้นจะมีทีมคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ ยูโรปา ลีก ได้หรือเปล่า
ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะมีการปรับรูปแบบการแข่งขันครั้งใหญ่ตั้งแต่ฤดูกาล 2024-25 เป็นต้นไป โดยจะเพิ่มทีมในรอบหลักจากเดิม 32 ทีม ให้กลายเป็น 36 ทีม
จากที่ทุกคนคุ้นเคยกับรูปแบบเดิม ที่รอบแบ่งกลุ่มมี 32 ทีม แบ่งเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม แล้วคัดเอา 2 อันดับแรกของกลุ่มผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ แต่ตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป มันจะไม่มีการแบ่งกลุ่มอีกต่อไป แต่ 36 ทีมจะถูกจัดอยู่ในลีกเดียวกัน ทุกทีมจะได้ลงเตะทั้งหมด 8 นัด โดยทั้ง 8 นัดจะได้พบกับคู่แข่งที่ไม่ซ้ำกันเลย
ภาพจาก The Athletic สรุปรูปแบบการแข่งขันใหม่ของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งจะเริ่มในฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป
รูปแบบการแข่งขันนี้จะเรียกว่า Swiss System ซึ่งทุกทีมจะไม่ต้องพบกันหมด และแต่ละทีมจะเจอโปรแกรมแข่งไม่เหมือนกัน แต่แต้มที่ทุกทีมเก็บได้จะถูกจัดอันดับบนตารางคะแนนลีกเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความสมดุลของโปรแกรมการแข่งขัน ให้แต่ละทีมไม่เจอความยากง่ายต่างกันจนเกินไป จะทำให้ในการจับสลากเพื่อกำหนดโปรแกรมแข่งรอบลีก 36 ทีมจะถูกแบ่งออกเป็น 4 โถ โถละ 9 ทีม
โถแรกจะประกอบด้วยแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ ตามด้วยอีก 8 ทีมที่แรงกิ้งดีที่สุด จากนั้นอีก 3 โถที่เหลือ จะจัดลำดับตามแรงกิ้งสโมสรของยูฟ่าเมื่อฤดูกาลนี้จบลง
ทุกทีมจะได้เจอคู่แข่งจากทั้ง 4 โถ โถละ 2 ทีม โดยการเจอคู่แข่ง 2 ทีมจากแต่ละโถนั้น จะได้เล่นในบ้าน 1 นัด และไปเยือนอีก 1 นัด
เมื่อทุกทีมแข่งรอบลีกกันครบ 8 นัดแล้ว ทีมที่อยู่อันดับ 1-8 จะผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์โดยอัตโนมัติ ส่วนทีมที่อยู่อันดับ 9-24 จะต้องจับสลากมาเพลย์ออฟกัน เพื่อหาอีก 8 ทีมตามเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นการแข่งแบบน็อคเอาท์กันไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ
สิ่งที่แฟนบอลหลายคนสงสัยก็คือ โควตา 4 ทีมที่ถูกเพิ่มขึ้นมานั้น จะนำไปมอบให้ทีมจากลีกไหนกันแน่ ผมขออธิบายไล่เรียงไปทีละลำดับนะครับ
- โควตาแรก จะให้กับทีมที่คว้าอันดับ 3 จากลีกที่อยู่ในแรงกิ้งอันดับที่ 5 ตามค่าสัมประสิทธิ์สะสม 5 ฤดูกาลของยูฟ่า ซึ่งปัจจุบันคือ ลีก เอิง ของฝรั่งเศส นั่นทำให้ทีมที่จบอันดับ 3 ของ ลีก เอิง ฤดูกาลนี้จะได้เข้ารอบหลักทันที โดยไม่ต้องไปเพลย์ออฟเหมือนที่ผ่านมา
- โควตาที่ 2 จะนำไปเพิ่มโอกาสให้กับทีมแชมป์จากลีกเล็กๆ ให้มีโอกาสเข้ารอบหลักได้มากขึ้น จากเดิม ยูฟ่าให้โควตาทีมแชมป์ลีกที่ต้องเล่นรอบคัดเลือกได้เข้าสู่รอบหลักแค่ 4 ทีม แต่ตั้งแต่ฤดูกาลหน้าไป มันจะถูกเพิ่มเป็น 5 ทีม
- ส่วนโควตาที่ 3 และ 4 จะมอบให้กับ 2 ลีกที่มีคะแนนสะสมจากผลงานของสโมสรในเวทียุโรปฤดูกาลนี้ที่ดีที่สุด
โควตานี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการจากยูฟ่าว่า European Performance Spots หรือแปลเป็นไทยว่า “คะแนนผลงานในเวทียุโรป” ซึ่งจะคิดคะแนนจากรายการแข่งขันของยูฟ่าเฉพาะในฤดูกาลนี้ฤดูกาลเดียวเท่านั้น และการจัดลำดับแรงกิ้งของโควตานี้ จะถือเป็นคนละส่วนกับโควตาค่าสัมประสิทธิ์สะสม 5 ฤดูกาลของยูฟ่า
นั่นทำให้พรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ที่แม้จะเป็นลีกที่มีคะแนนนำโด่งเป็นอันดับ 1 ในแรงกิ้งค่าสัมประสิทธิ์สะสม 5 ฤดูกาลของยูฟ่า แต่ถ้านับเฉพาะผลงานในเวทียุโรปฤดูกาลนี้เท่านั้น ก็ยังไม่ได้มีอะไรมาการันตีว่าจะได้โควตานี้แน่ๆ
สูตรการคิดคะแนนของโควตา European Performance Spots จะนำ "คะแนนดิบ" ในรายการสโมสรของยูฟ่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก มาบวกกัน แล้วหารด้วยจำนวนทีมที่ลีกชาตินั้นส่งทีมเข้าแข่งรวมกันทั้ง 3 รายการ
ตัวอย่างเช่นพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้พวกเขามี "ตัวหาร" คือ 8 ทีม แบ่งเป็น 4 ทีมใน แชมเปี้ยนส์ ลีก คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ นิวคาสเซิ่ล, 3 ทีมใน ยูโรปา ลีก คือ ลิเวอร์พูล, ไบรท์ตัน และ เวสต์แฮม แล 1 ทีมใน ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก คือ แอสตัน วิลล่า
นอกจากพรีเมียร์ลีกแล้ว ลา ลีกา คืออีกลีกที่มีสโมสรเข้าร่วมรายการยุโรปในฤดูกาลนี้ 8 ทีมเช่นกัน จากการที่เวสต์แฮมคว้าแชมป์ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก และ เซบีย่าคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก ได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แม้อันดับในลีกจะไม่ดีพอคว้าโควตาฟุตบอลยุโรปก็ตาม
สำหรับเกณฑ์การบวก "คะแนนดิบ" สำหรับโควตา European Performance Spots มีรายละเอียดทั้งหมดดังนี้
- เข้ารอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก + ทีมละ 4 คะแนน
- โบนัสเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก + ทีมละ 5 คะแนน
- ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไปของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก + รอบละ 1 คะแนน
- คว้าแชมป์กลุ่มของ ยูโรปา ลีก + ทีมละ 4 คะแนน
- คว้ารองแชมป์กลุ่มของ ยูโรปา ลีก + ทีมละ 2 คะแนน
- คว้าแชมป์กลุ่มของ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก + ทีมละ 2 คะแนน
- คว้ารองแชมป์กลุ่มของ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก + ทีมละ 1 คะแนน
- ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไปของ ยูโรปา ลีก + รอบละ 1 คะแนน
- ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นต้นไปของ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก + รอบละ 1 คะแนน
- ชนะในรอบแบ่งกลุ่มรายการไหนก็ได้ + นัดละ 2 คะแนน
- ชนะในรอบคัดเลือก หรือรอบเพลย์ออฟ รายการไหนก็ได้ + นัดละ 1 คะแนน
- เสมอในรอบแบ่งกลุ่ม รายการไหนก็ได้ + นัดละ 1 คะแนน
- เสมอในรอบคัดเลือก หรือรอบเพลย์ออฟ รายการไหนก็ได้ + นัดละ 0.5 คะแนน
- ถ้าแพ้ ไม่มีติดลบ แต่จะไม่ได้คะแนน
เมื่อได้คะแนนดิบแล้ว จะนำไปหารกับจำนวนทีมที่ลีกนั้นๆ ส่งเข้าร่วมรายการยุโรป ถึงจะออกมาเป็นค่าสัมประสิทธิ์สุทธิ
หลังจากจบรอบ 16 ทีมสุดท้ายของทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ตอนนี้ลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์สุทธินำโด่งมาเป็นอันดับ 1 คือ กัลโช่ เซเรีย อา ของอิตาลี ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สุทธิตอนนี้อยู่ที่ 17 คะแนน
อันดับ 2 คือบุนเดสลีกาจากเยอรมนี มีค่าสัมประสิทธิ์สุทธิอยู่ที่ 16.071 คะแนน
ส่วนพรีเมียร์ลีก ลีกขวัญใจมหาชนรั้งอันดับ 3 มีค่าสัมประสิทธิ์สุทธิอยู่ที่ 15.250 คะแนน
ลีก เอิง ของฝรั่งเศสมาเป็นอันดับ 4 มีค่าสัมประสิทธิ์สุทธิอยู่ที่ 14.583 คะแนน
ขณะที่ ลา ลีกา สเปน ตอนนี้รั้งอันดับ 5 มีค่าสัมประสิทธิ์สุทธิอยู่ที่ 14.187 คะแนน ถือว่าหมดลุ้นติด 2 อันดับแรกที่จะคว้าโควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า 5 ทีมแน่นอนแล้ว แม้จะเหลือทีมลุ้นแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก มากถึง 3 ทีม คือ แอตเลติโก มาดริด, บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ก็ตาม
สาเหตุก็เพราะ ลา ลีกา ไม่มีทีมไหนหลงเหลือในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วย ยูโรปา ลีก และ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก อีกเลย ทั้งที่ส่งตัวแทนลงแข่งฟุตบอลยุโรปรวมกันถึง 8 ทีมในซีซั่นนี้ โดยเซบีย่า ตกรอบแบ่งกลุ่ม UCL โดยการเป็นอันดับบ๊วยของกลุ่ม และไม่ชนะใครเลย
ขณะที่ ลีก เอิง ก็ถือว่าลุ้นแซงยาก แม้จะยังเหลือตัวแทนลุ้นแชมป์รายการยุโรปครบทั้ง 3 รายการก็ตาม
ถึงแม้ เปแอสเช ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก, โอลิมปิก มาร์กเซย ยังอยู่ในเส้นทาง ยูโรปา ลีก และ ลีลล์ ก็มีลุ้นใน ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก แต่ว่าทีมจากฝรั่งเศสมีคะแนนค่อนข้างต่ำ เพราะไม่มีใครคว้าแชมป์กลุ่มในรอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ ยูโรปา ลีก ได้เลย
แถมมาร์กเซยก็ดันตกรอบคัดเลือก UCL จนหล่นลงไปเล่นใน ยูโรปา ลีก อย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นคะแนนของ ลีก เอิง คงดีกว่านี้เยอะ
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมพรีเมียร์ลีกถึงไม่ใช่ลีกที่นำเป็นอันดับ 1 ในโควตา European Performance Spots ทั้งที่พวกเขาคือลีกที่ยังเหลือทีมลุ้นเข้ารอบลึกๆ 3 รายการของยูฟ่ามากที่สุด โดยมีรวมกันถึง 5 ทีม
อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้ารอบ 8 ทีม แชมเปี้ยนส์ ลีก
ลิเวอร์พูล กับ เวสต์แฮม เข้ารอบ 8 ทีม ยูโรปา ลีก
ขณะที่ แอสตัน วิลล่า ก็เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก
หากคิดเฉพาะคะแนนดิบเพียวๆ พรีเมียร์ลีกมีคะแนนดิบสะสมมากถึง 122 คะแนน แต่ที่ค่าสัมประสิทธิ์สุทธิออกมาเป็นอันดับ 3 เนื่องจากพวกเขามี “ตัวหาร” มากถึง 8 ทีม
ผิดกับ กัลโช่ เซเรีย อา กับ บุนเดสลีกา ที่ส่งสโมสรเข้าแข่งฟุตบอลยุโรปฤดูกาลนี้เพียงลีกละ 7 ทีมเท่านั้น พอตัวหารน้อย คะแนนสัมประสิทธิ์สุทธิจึงเหลือมากกว่า
พรีเมียร์ลีกมี 122 คะแนน แต่หาร 8 จึงเหลือ 15.250 คะแนน
แต่ว่า กัลโช่ เซเรีย อา ถึงมีคะแนนดิบน้อยกว่า แต่ก็เป็นรองไม่มาก พวกเขากวาดคะแนนดิบไปถึง 119 คะแนน แล้วเมื่อหารแค่ 7 จึงกลายเป็น 17 คะแนนถ้วน นำโด่งเป็นอันดับ 1
ส่วนบุนเดสลีกา คะแนนดิบตอนนี้คือ 112.5 คะแนน แต่พอหาร 7 จึงเหลือ 16.071 คะแนน
ต้องไม่ลืมด้วยว่า ถึงแม้ทีมจากพรีเมียร์ลีกจะทำผลงานในเวทียุโรปฤดูกาลนี้ได้ดีหลายทีม แต่ผลงานย่ำแย่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิ่ล ที่รั้งบ๊วยในรอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเก็บชัยชนะกันได้แค่ทีมละ 1 นัด แถม 2 ทีมนี้ยังแพ้ให้ทีมจากบุนเดสลีกาทั้งไปและกลับ คือปัจจัยสำคัญให้พรีเมียร์ลีกรั้งแค่อันดับ 3
การตกรอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฐานะทีมบ๊วย ส่งผลให้คะแนนสัมประสิทธิ์สุทธิของพรีเมียร์ลีกไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น
ส่วนเหตุผลที่ กัลโช่ เซเรีย อา ได้คะแนนดิบมาเยอะมาก หลักๆ มาจากผลงานยอดเยี่ยมของ อตาลันต้า กับ โรม่า ใน ยูโรปา ลีก และผลงานของฟิออเรนติน่าใน ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ที่เก็บชัยชนะมาได้เยอะ
ในเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก แม้สโมสรจากอิตาลีจะตกรอบกันไปหมดแล้ว แต่ในรอบ 16 ทีมที่ผ่านมา มีทีมจาก เซเรีย อา มากถึง 3 ทีม แถม อินเตอร์ มิลาน กับ ลาซิโอ ต่างชนะในเลกแรกได้ด้วย ส่วน เอซี มิลาน ก็แก้ตัวจากที่ตกรอบแบ่งกลุ่ม UCL ไปเล่นใน ยูโรปา ลีก ด้วยการทะลุเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้
แล้วผลจับสลาก ยูโรปา ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย กลายเป็นว่า เอซี มิลาน กับ โรม่า จะต้องเจอกันเอง นั่นจึงเป็นการการันตีทันทีว่าทีมจากอิตาลีจะต้องเข้ารอบรองชนะเลิศอย่างน้อย 1 ทีม ทำให้ กัลโช่ เซเรีย อา น่าจะได้โควตา European Performance Spots ค่อนข้างแน่
ช่วงต่อจากนี้ น่าจะเป็นการแย่งชิงกันระหว่าง บุนเดสลีกา และ พรีเมียร์ลีก ว่าลีกไหนที่จะได้โควตาส่งทีมเข้าร่วม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าได้มากถึง 5 ทีม
ตารางอันดับ European Performance Spots ฤดูกาลปัจจุบันแบบเรียลไทม์ตอนนี้ บุนเดสลีกาอาจจะมีค่าสัมประสิทธิ์เหนือกว่าพรีเมียร์ลีก แต่ว่าตัวแทนจากลีกอังกฤษมีโอกาสที่ดีมากที่จะกอบโกยคะแนนแซงคืนทีหลัง
ถ้าไม่นับ บาเยิร์น มิวนิค กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก ถือว่าบุนเดสลีกาเหลือแค่ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น อีกทีมเดียวเท่านั้น ที่ลุ้นไปไกลที่สุดใน ยูโรปา ลีก โดยใน ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ไม่มีทีมจากเยอรมนีหลงเหลือแล้ว
แต่พรีเมียร์ลีกยังมีทั้ง อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้ลุ้นใน UCL ยังมีทั้ง ลิเวอร์พูล และ เวสต์แฮม ที่เข้ารอบ 8 ทีม ยูโรปา ลีก มาได้ และยังมี แอสตัน วิลล่า เป็นเต็งหนึ่งของ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก
อย่างไรก็ตาม ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลยุโรปฤดูกาลนี้ จะมีการเจอกันเองระหว่างทีมจากพรีเมียร์ลีกและบุนเดสลีกาถึง 2 คู่ โดย อาร์เซน่อล ต้องพบกับ บาเยิร์น มิวนิค ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วน ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จะพบกับเวสต์แฮมใน ยูโรปา ลีก
สำหรับแฟนบอลของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ถ้าหากอยากให้ทีมรักมีโอกาสไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า อาจต้องเอาใจช่วยให้คู่ปรับตลอดกาลอย่างอาร์เซน่อลผ่านบาเยิร์นไปให้ได้ เพราะถ้าทีมปืนใหญ่ทำได้ อันดับ 5 ของพรีเมียร์ลีกจะมีโอกาสได้ไป UCL ฤดูกาลหน้าสูงมากๆ และพวกเขาน่าจะไม่ต้องกลัวอีกแล้วว่าจะโดน แอสตัน วิลล่า ทำอันดับได้เหนือกว่าในช่วงท้ายฤดูกาลนี้หรือเปล่า
ขณะที่แฟนบอลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถ้าหากยังหวังว่าทีมเชียร์ของตัวเองสามารถไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าได้อยู่ ความจริงก็คือพวกเขาคงลุ้นได้มากที่สุดแค่อันดับ 5 ยังไงก็คงไม่มีทางติดท็อปโฟร์แน่ๆ
แล้วถ้าจะให้อันดับ 5 ได้ไป UCL เด็กผีก็ต้องเอาใจช่วยทุกทีมของอังกฤษให้ชนะในบอลยุโรปให้บ่อยที่สุดในช่วงต่อจากนี้ ต้องเชียร์ให้คู่ปรับสำคัญทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ทำผลงานให้ดี หรือไม่ก็ต้องพยายามเอาใจช่วยอาร์เซน่อล ให้ผ่านบาเยิร์นเข้ารอบไปให้ได้
หลังจากจบรอบ 8 ทีมสุดท้าย เราอาจจะได้คำตอบแล้วก็ได้ ว่า 2 ลีกที่ได้โควตาส่งทีมไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าถึง 5 ทีมจะเป็นลีกไหนกันแน่
#เสียบสามเหลี่ยม #UCL #แชมเปี้ยนส์ลีก #ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก #ชปล
โฆษณา