18 มี.ค. เวลา 03:00 • กีฬา

ผีโกงตายดับหงส์ : แดงเดือดที่สนุกที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งต้องลุ้นกันตลอด 120 นาที

ถ้าหากฤดูกาล 2023-24 มันคือฤดูกาลแห่งความน่าประทับใจสำหรับแฟนหงส์ เพื่อส่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ลงจากบัลลังก์ผู้จัดการทีมอย่างสง่างามที่สุด สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว มันคือสถานการณ์ที่ตรงกันข้าม
1
ตอนนี้ถือว่ามีแฟนบอลจำนวนน้อยมากที่ยังไว้ใจ เอริค เทน ฮาก หลังจากพาทีมทำผลงานย่ำแย่ต่อเนื่องมาตลอดทั้งฤดูกาล เมื่อตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการเป็นบ๊วยของกลุ่ม, ตกรอบ คาราบาว คัพ ที่ตัวเองเป็นแชมป์เก่าด้วยการแพ้นิวคาสเซิ่ลย่อยยับคาบ้านตัวเอง ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกก็หมดลุ้นแชมป์อย่างรวดเร็ว และแม้แต่การลุ้นติดท็อปโฟร์ก็ยังดูเป็นความหวังริบหรี่
อย่างไรก็ตาม การลุ้นคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ให้ได้ มันคือความหวังสุดท้ายของทีมปีศาจแดงในฤดูกาลนี้ และไม่ว่าผู้จัดการทีมจะเป็นคนที่แฟนบอลอยากให้โดนไล่ออกแค่ไหน แฟนผีแดงจะไม่มีวันอยากให้ทีมรักแพ้ลิเวอร์พูลคาบ้านอย่างเด็ดขาด
ว่ากันว่าถ้าหาก เอริค เทน ฮาก ยังอยากจะมีโอกาสคุมทีมปีศาจแดงต่อไป เขาต้องพาทีมประสบความสำเร็จใน เอฟเอ คัพ ให้ได้สถานเดียวเท่านั้น และแน่นอนว่าการจะทำแบบนั้นได้ เขาต้องพาทีมผ่านด่านคู่รักคู่แค้นตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลในรอบ 8 ทีมสุดท้ายให้ได้เสียก่อน
ศึก เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายคู่บิ๊กแมตช์ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นเกมแดงเดือดครั้งที่ 213 ในประวัติศาสตร์การเจอกันของ 2 สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของอังกฤษ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล
ถึงแม้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะยังคงมีสถิติการเจอกันแบบ เฮด ทู เฮด ที่เหนือกว่าทีมคู่ปรับตลอดกาล โดยก่อนจะลงสนามเจอกันในบอลถ้วยนัดล่าสุด ทีมปีศาจแดงเป็นฝ่ายชนะถึง 82 ครั้ง เสมอกัน 59 ครั้ง และทีมหงส์แดงคว้าชัยได้ 71 ครั้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงทศวรรษหลัง มันคือช่วงเวลาที่ลิเวอร์พูลยิ่งใหญ่กว่าอย่างชัดเจน
10 นัดหลังสุดที่ 2 ทีมนี้เจอกันในพรีเมียร์ลีก เป็นลิเวอร์พูลที่เอาชนะได้มากถึง 6 ครั้ง เสมอกัน 3 ครั้ง และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะได้เพียงครั้งเดียว
แถม 2 ครั้งในช่วงที่ว่า มันยังเป็นเกมที่ทีมหงส์แดงถล่มคู่อริแบบย่อยยับ ทั้งบุกชนะ 5-0 ถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งเป็นสถิติทีมเยือนชนะด้วยสกอร์ขาดลอยที่สุด และเกมเปิดบ้านถล่ม 7-0 ในเดือนมีนาคม 2023 ซึ่งเป็นสถิติผลการแข่งขันเกมแดงเดือดที่ขาดลอยที่สุดตลอดกาลอีกด้วย
ตัดภาพมาที่ฤดูกาลปัจจุบัน ก่อนที่ทั้ง 2 ทีมจะลงสนามเจอกันที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนวันอาทิตย์ ลิเวอร์พูลกำลังลุ้นทำสถิติกวาดแชมป์ถึง 4 รายการในซีซั่นเดียวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร เพื่อเป็นการสั่งลากุนซือผู้เป็นที่รักยิ่งของแฟนบอลอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์
พวกเขาไม่แพ้ใครนานถึง 9 เกมซ้อนรวมทุกรายการ หลังจากผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูโรปา ลีก ด้วยการถล่ม สปาร์ต้า ปราก ไปกลับแบบที่สกอร์รวม 2 นัดชนะขาดถึง 11-2
พวกเขามีแชมป์ติดมือแล้วในปีนี้คือถ้วย คาราบาว คัพ, พวกเขามีแต้มในพรีเมียร์ลีกเท่ากับจ่าฝูงอย่างอาร์เซน่อล, และพวกเขาบุกเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบ 8 ทีม เอฟเอ คัพ ด้วยสถานะเป็นต่อ
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเป็นฟุตบอลถ้วย อะไรมันก็เกิดขึ้นได้
บางทีทีมที่ชื่อชั้นเหนือกว่า ฟอร์มดีกว่า ใช่ว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป เหมือนอย่างที่ โคเวนทรี ซิตี้ เพิ่งแสดงให้เห็นเมื่อวันเสาร์ ว่าต่อให้เป็นทีมจากแชมเปี้ยนชิพก็สามารถบุกไปชนะทีมในพรีเมียร์ลีกอย่าง วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ได้ถึงถิ่น 3-2 โดยพลิกแซงชนะด้วยการยิง 2 ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
หากนับเฉพาะการเจอกันใน เอฟเอ คัพ ถือว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีสถิติที่ดีกว่าลิเวอร์พูลค่อนข้างมาก
ก่อนจะลงสนามเจอกันเมื่อคืนวันอาทิตย์ ทีมปีศาจแดงสามารถคว้าชัยชนะในเกมแดงเดือดของถ้วยนี้ได้ถึง 10 ครั้ง เสมอกัน 4 ครั้ง ส่วนทีมหงส์แดงเอาชนะได้แค่ 4 ครั้งเท่านั้น
นอกจากนั้นแล้ว ถ้านับเฉพาะการเจอกันที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ครั้งสุดท้ายที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบ เอฟเอ คัพ ด้วยการแพ้ลิเวอร์พูลคาบ้าน ต้องย้อนไปไกลถึง 103 ปีที่แล้วเลยทีเดียว โดยลิเวอร์พูลบุกชนะได้ 2-1 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 1921 ซึ่งเป็นเกมรอบแรกนัดรีเพลย์ของปีนั้น
หนสุดท้ายที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พบ ลิเวอร์พูล ใน เอฟเอ คัพ ก่อนเกมนี้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดฟรีคิกเป็นประตูชัยให้ผีแดงเปิดบ้านชนะ 3-2 ในปี 2021
ส่วนครั้งสุดท้ายที่ 2 ทีมนี้พบกันในฟุตบอลถ้วยรายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือเกมรอบ 4 ของฤดูกาล 2020-21 ซึ่งเล่นกันที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แบบที่ไม่มีแฟนบอลเข้าชม และเกมนั้นผีแดงชนะไป 3-2 ด้วยประตูชัยจากลูกฟรีคิกของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส
สำหรับ 11 ตัวจริงของทั้ง 2 ทีมในเกมนี้ ฝั่งเจ้าบ้านอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาในระบบถนัด 4-2-3-1 ผู้รักษาประตูยังคงเป็นมือหนึ่งอย่าง อองเดร โอนาน่า
แผงแบ็กโฟร์เกมนี้ เอริค เทน ฮาก ยังคงใช้ ดีโอโก้ ดาโลต์ เป็นแบ็กขวาตามเดิม แล้วให้ อารอน วาน-บิสซาก้า แบ็กขวาธรรมชาติที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาเล่นเป็นแบ็กซ้าย เพื่อทำหน้าที่ป้องกัน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกขวาของคู่แข่งโดยเฉพาะ
ตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก เกมนี้ เทน ฮาก ไม่มี จอนนี่ อีแวนส์ ที่บาดเจ็บก่อนแข่งไม่กี่วัน ทำให้ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ได้จับคู่กับ ราฟาแอล วาราน
คู่มิดฟิลด์ตัวกลาง เกมนี้ เทน ฮาก ยังต้องขาดคาเซมิโร่ ที่เป็นนักเตะรายล่าสุดที่มีปัญหาบาดเจ็บกะทันหัน จนต้องถอนตัวออกจากทีมชาติบราซิลช่วงเบรกฟีฟ่าเดย์ ทำให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ได้ยืนจับคู่กับเจ้าหนู ค็อบบี้ ไมนู
กัปตันทีมอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ช่วงหลังถูกจับขึ้นไปยืนเป็น ฟอลส์ ไนน์ บ่อยครั้ง เกมนี้ได้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกตามถนัด เนื่องจากกองหน้าตัวเป้าอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ ฟิตกลับมาลงตัวจริงทันเวลาพอดี ส่วนตัวริมเส้น 2 ข้าง ฝั่งขวายังเป็น อเลฮานโดร การ์นาโช่ และ ฝั่งซ้ายคือ มาร์คัส แรชฟอร์ด
นอกจากการหายเจ็บกลับมาของ อารอน วาน-บิสซาก้า และ ราสมุส ฮอยลุนด์ แล้ว เกมนี้ เอริค เทน ฮาก มีข่าวดีอีก นั่นก็คือการได้ เมสัน เมาท์ ที่หายหน้าไปจากทีมนานถึง 4 เดือนกลับมาเป็นตัวสำรองอีกครั้ง รวมถึง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็หายเจ็บกลับมาเป็นตัวเลือกด้วยเช่นกัน
ส่วนลิเวอร์พูลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงใช้ระบบเก่งอย่าง 4-3-3 และถือเป็นการจัดทัพที่ฟูลทีมที่สุดเท่าที่จะจัดได้สำหรับกุนซือชาวเยอรมัน
3 นักเตะตัวหลักที่ได้พักเป็นตัวสำรองในเกม ยูโรปา ลีก นัดเปิดบ้านถล่ม สปาร์ต้า ปราก 6-1 เมื่อคืนวันพฤหัสบดี ซึ่งได้แก่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ หลุยส์ ดิอาซ ถูกเรียกตัวกลับมาเป็น 11 ตัวจริงกันพร้อมหน้า
ควีวิน เคลเลเฮอร์ ยังทำหน้าที่เฝ้าเสา ในช่วงที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ บาดเจ็บยาว
แผงแบ็กโฟร์เกมนี้ โจ โกเมซ ถูกส่งลงยืนแบ็กขวา, จาเรลล์ ควอนซาห์ จับคู่เซนเตอร์กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และแบ็กซ้ายคือ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
3 ประสานแดนกลางคือชุดฟูลทีมที่กำลังลงตัว ได้แก่ โดมินิค โซบอสซ์ไล, วาตารุ เอ็นโด และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์
ส่วน 3 ประสานแดนหน้านำมาโดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ประจำการฝั่งขวา, หลุยส์ ดิอาซ ประจำการฝั่งซ้าย และมี ดาร์วิน นูนเญซ เป็นศูนย์หน้าตัวเป้า
ด้วยฟอร์มที่ย่ำแย่ แถมยังขาดกำลังสำคัญไปอีกหลายคน ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกยกว่ามีสถานะเป็นรองลิเวอร์พูลก่อนแข่งในเกมนี้ แม้ว่าจะเป็นเจ้าถิ่นก็ตาม
แม้แต่แฟนผีแดงเอง หลายๆ คนยังแอบทำใจไว้ก่อนล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ ว่ามีโอกาสแพ้คาบ้านมากกว่าชนะ และน่าจะต้องใช้วิธีอุดประตูเพื่อรอจังหวะสวนกลับเป็นหลัก ไม่น่าจะกล้าเปิดเกมรุกแลกหมัดกับทีมหงส์แดงแน่ๆ
แต่ทีมปีศาจแดงทำเซอร์ไพรส์ในเกมนี้ ด้วยการพยายามเปิดฉากบุกใส่ตั้งแต่ต้นเกม พวกเขามีโอกาสลุ้นประตูจริงๆ จังครั้งแรกตั้งแต่นาทีที่ 4 เมื่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้ยิงปั่นไซด์โป้งจากบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ บอลเกือบจะเสียบเสา แต่ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ล้มตัวเซฟไว้ได้
แต่ลิเวอร์พูลก็มีจังหวะได้เสียวเช่นกัน โดยนาทีที่ 5 พวกเขายิงตรงกรอบหนแรก จากจังหวะลองซัดไกลของ โดมินิค โซบอสซ์ไล และน่าจะขึ้นนำก่อนสุดๆ ในนาทีที่ 8 เมื่อ ดาร์วิน นูนเญซ โยนจากขวาข้ามฟากไปให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฉีกตัวเองไปทางซ้ายแล้ววอลเลย์แบบไม่จับ บอลเฉี่ยวเสาสองออกหลังไปแบบน่าเสียดายสุดๆ
ทีมที่เป็นฝ่ายได้ประตูก่อนในเกมนี้คือยูไนเต็ด พวกเขาขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 10 จากจังหวะต่อบอลกันบริเวณฝั่งซ้ายที่ทำกันได้ดี
มาร์คัส แรชฟอร์ด เล่นชิ่งสั้นๆ กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ก่อนบรรจงจ่ายทะลุช่องเข้ากรอบเขตโทษให้ อเลฮานโดร การ์นาโช่ หลุดเข้าไปซัดติดเซฟ แต่ยังมี สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่ทะยานตามเข้าไปซ้ำจ่อๆ เข้าไป
เมื่อลิเวอร์พูลเสียประตูเร็ว ทำให้พวกเขาต้องพยายามเร่งเกมเพื่อหาจังหวะตีเสมอ ส่วนทางฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด แม้จะได้ประตูที่ต้องการตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ก็ยังพยายามลุยต่อเช่นกัน
เกมนี้จึงถือเป็นกำไรแฟนบอลที่ได้เห็น 2 ทีมกล้าเปิดเกมบุกใส่กันตั้งแต่ต้น ซึ่งต่างจากเกมเสมอ 0-0 ที่แอนฟิลด์เมื่อเดือนธันวาคม ที่ทีมปีศาจแดงเน้นเกมรับเต็มตัว
แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะหนีห่างเป็น 2-0 สุดๆ ในนาทีที่ 35 เมื่อ ค็อบบี้ ไมนู ใช้ความสามารถเฉพาะตัวลากแหวกนักเตะคู่แข่งถึง 4 คนไปจนถึงบริเวณเกือบสุดเส้นหลังฝั่งซ้าย แล้วปล่อยให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด สปีดเติมขึ้นมาบรรจงปาดเรียดเข้ากลางให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ได้แปโล่งๆ บริเวณจุดโทษ แต่น่าเสียดายที่วิถีบอลไม่หนีตัว ควีวิน เคลเลเฮอร์ มาก จึงถูกเซฟเอาไว้ได้
นาทีที่ 36 ลิเวอร์พูลน่าจะตีเสมอได้จากจังหวะสวนกลับ เคลเลเฮอร์ขว้างบอลเร็วให้ หลุยส์ ดิอาซ ใช้สปีดขึ้นไปทางฝั่งซ้าย แล้วแตะบอลหนี วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่เข้าพรวด ก่อนล็อคหนี อเลฮานโดร การ์นาโช่ เข้าในแล้วยิงยัดเกือบเข้าเสาแรก แต่ อองเดร โอนาน่า พุ่งโชว์ซูเปอร์เซฟช็อตนี้ไว้ได้
ช่วงท้ายครึ่งแรก ลิเวอร์พูลพยายามใช้เกมเพรสซิ่งสูงกดดันให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อบอลพลาดในแดนตัวเอง และเกือบได้ผลแล้วในนาทีที่ 37 ที่สามารถส่งบอลเข้าก้นตาข่ายได้จากลูกยิงของ วาตารุ เอ็นโด แต่น่าเสียดายที่จังหวะนี้วีเออาร์เช็คภาพช้า พบว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เป็นคนจ่ายถวายพานให้ถูกจับล้ำหน้าไปซะก่อน
แต่ทีมเยือนก็ตามตีเสมอเป็น 1-1 จนได้ในนาที 44 เมื่อกองหลังดาวรุ่งอย่าง จาเรลล์ ควอนซาห์ ดันสูงขึ้นมาพาบอลลากลุยไปเอง แล้ว มาร์คัส แรชฟอร์ด ตามจี้ไม่สุด เปิดโอกาสให้ ควอนซาห์ เข้าไปถึงในกรอบเขตโทษแล้วจ่ายเข้ากลางให้ ดาร์วิน นูนเญซ เคาะย้อนมาให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้ซัดแบบไม่มีคนประกบ บอลแฉลบ ค็อบบี้ ไมนู เข้าเสาแรกไปอย่างเด็ดขาด
จากนั้นโมเมนตัมกลายเป็นเข้าทางหงส์แดง เมื่อแซงนำเป็น 2-1 ได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก
แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อบอลพลาดในแดนตัวเองแล้วทำเสียบริเวณริมเส้นฝั่งซ้าย ซึ่ง อารอน วาน-บิสซาก้า มัวแต่พยายามฟ้องกรรมการว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส โดนทำฟาวล์ ปล่อยให้คู่แข่งได้ครอสเข้าเขตโทษโดยที่ผู้ตัดสินไม่ได้เป่าหยุดเกม
วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ โหม่งสกัดลูกครอสจังหวะนี้ไม่ดีไปเข้าทาง หลุยส์ ดิอาซ ที่ดึงจังหวะรอให้ ดาร์วิน นูนเญซ ถอยกลับจากตำแหน่งล้ำหน้า ก่อนจ่ายให้กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยได้ล็อคหามุมยิง แม้โอนาน่าจะเซฟจังหวะแรกได้ แต่ก็เข้าทางซาลาห์ได้จับบอลลงก่อนซัดด้วยขวาเข้าไปให้ลิเวอร์พูลจบครึ่งแรกด้วยการเป็นฝ่ายนำ 2-1
หลังจากที่ซาลาห์ทำประตูนี้ได้ ทำให้ “บังโม” กลายป็นนักเตะทีมเยือนคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยิงประตูที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ 5 นัดติดต่อกัน และถือเป็นการยิงใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นลูกที่ 13 ของเจ้าตัว เพิ่มสถิติการเป็นผู้เล่นที่ทำประตูในเกมแดงเดือดได้มากที่สุดตลอดกาลต่อไป
เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบครึ่งแรกด้วยการเป็นฝ่ายตามหลังทั้งที่อุตส่าห์นำก่อน ทำให้แฟนบอลผีแดงเริ่มมองทีมรักในแง่ร้ายอีกครั้ง
เพราะหลายๆ ครั้งในซีซั่นนี้ ทีมของ เอริค เทน ฮาก ต้องเจอผลการแข่งขันแย่ๆ เพราะรักษาความได้เปรียบไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นนัดบุกไปแพ้อาร์เซน่อล 3-1, บุกไปแพ้ แมนฯ ซิตี้ 3-1 รวมถึงหลายเกมที่ไม่ชนะใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จนตกรอบ มันคือสถานการณ์ที่ขึ้นนำได้ก่อน และรักษาสกอร์ไว้ไม่ได้ทั้งนั้น
ซึ่งไม่ใช่แค่สกอร์ที่โดนทีมเยือนนำ แต่รูปเกมในครึ่งหลังก็ถือว่าทีมปีศาจแดงเล่นได้ย่ำแย่จริงๆ
ยังดีที่ อองเดร โอนาน่า ออกแรงเซฟช่วยทีมเจ้าถิ่นไว้ได้หลายครั้ง ทำให้ทีมปีศาจแดงยังไม่โดนนำห่าง และยังพอมีหวังตีเสมอได้ ถ้าหาจังหวะฉาบฉวยลุ้นประตูได้สำเร็จ
นาทีที่ 71 ทั้งสองทีมทำการเปลี่ยนตัว โดย เอริค เทน ฮาก ทำในสิ่งที่แฟนบอลงงพอสมควร เพราะเลือกถอดกองหน้าธรรมชาติอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ ออกจากสนาม และเปลี่ยน อารอน วาน-บิสซาก้า ออกเพื่อให้ทีมเหลือ ดีโอโก้ ดาโลต์ เป็นฟูลแบ็กธรรมชาติแค่คนเดียว แล้วส่งปีกที่แฟนบอลไม่ไว้ใจอย่างอันโตนี่ และ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่เป็นกองหลังลงสนาม ทั้งที่ทีมโดนนำอยู่
เทน ฮาก ปรับตำแหน่งให้ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ฉีกจากเซนเตอร์ออกมายืนแบ็กซ้าย ให้แม็กไกวร์ลงไปเป็นเซนเตอร์คู่กับ ราฟาแอล วาราน ส่วนเกมรุกก็มีการสลับตำแหน่งกัน อันโตนี่ลงไปเป็นปีกขวา โยกการ์นาโช่ไปทางซ้าย แล้วดันแรชฟอร์ดขึ้นไปเป็นหน้าเป้า
ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้โควตาเปลี่ยนตัวครั้งแรกด้วยการส่ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต ลงไปเพิ่มความสดในแดนกลาง แล้วถอด โดมินิค โซบอสซ์ไล ออกไป
แล้วดูเหมือนว่าคล็อปป์อาจจะย่ามใจว่าทีมของตนเอง "เอาอยุ่" เร็วไปนิด จึงรีบถอดตัวอันตรายอย่างซาลาห์ รวมถึงแบ็กซ้ายจอมบุกอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ออกจากสนามตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ 10 นาทีสุดท้าย แล้วให้ โคดี้ กัคโป และ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ลงสนามแทน
หลังจากซาลาห์อกจากสนามไปแล้ว เกมรับของผีแดงเล่นกันแบบมั่นใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ทางฝั่ง เอริค เทน ฮาก ก็เปลี่ยนตัวให้แฟนบอลด่ากันหนักอีกครั้งในช่วงท้ายเกมอีกเหมือนกัน เพราะถอดกองกลางที่เล่นดีที่สุดในทีมอย่าง ค็อบบี้ ไมนู ออกในนาทีที่ 80 แล้วแทนด้วยกองกลางที่เชื่องช้าอย่าง คริสเตียน เอริคเซ่น
แต่การเปลี่ยนตัวกองหลังอย่าง ราฟาแอล วาราน ออกไป แล้วเติมตัวรุกอย่าง อาหมัด ดิยัลโล่ ลงไปช่วยลุ้นประตูในนาที 85 ถือว่าได้ในแฟนบอลไม่น้อย เพราะมันคือความกล้าได้กล้าเสีย แม้นั่นจะเป็นช่วงที่เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีแล้วก็ตาม
การแก้เกมของ เทน ฮาก ที่แฟนบอลบ่นกันระนาวในตอนแรก กลับกลายเป็นการแก้เกมที่ได้ผล
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ช่วยทีมได้มากในการโหม่งเคลียร์ลูกกลางอากาศหลายต่อหลายครั้ง โดยในครึ่งหลังลิเวอร์พูลเริ่มหันไปเล่นบอลยาวมากขึ้น เพราะพละกำลังในการวิ่งของนักเตะลดลง
ส่วนอันโตนี่ก็ช่วยเก็บบอลในแดนบนให้ทีมได้ดี และกลายเป็นฮีโร่ทำประตูตีเสมอได้ ในสถานการณ์ที่ทีมกำลังจะแพ้ในเวลาปกติอยู่แล้ว
ส่วนหนึ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ ราสมุส ฮอยลุนด์ และ อารอน วาน-บิสซาก้า เพิ่งหายเจ็บกลับมาได้ไม่กี่วัน หลังจากพักไปนาน การถอด 2 คนนี้ออกจึงมีเหตุผลเรื่องของการถนอมสภาพร่างกายไม่ให้เสี่ยงเจ็บซ้ำไปด้วย
ขณะที่การส่งเอริคเซ่นลงสนาม เพื่อเปลี่ยนวิธีเล่นให้ใช้การเปิดยาวขึ้นหน้าให้ไวที่สุด และเขาเกือบจะทำแอสซิสต์ประตูชัยตั้งแต่ในเวลาปกติแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหากนาที 90+4 มาร์คัส แรชฟอร์ด ไม่พลาดโอกาสทองที่หลุดกับดักล้ำหน้าไปรับลูกวางยาวอันแม่นยำของกองกลางชาวเดนมาร์ก แล้วยิงออกหลังไปแบบที่แฟนผีก่นด่ากันเต็มโซเชียล
การพลาดโอกาสทองฝังเพชรที่ควรจะทำให้ทีมชนะได้ ทำให้แฟนผีรู้สึกถึงลางไม่ดีอีกครั้งว่าอาจจะแพ้ และยิ่งรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็น ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต ซัดประตูให้ลิเวอร์พูลนำอีกครั้ง ในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรกของการต่อเวลาพิเศษ
เข้าสู่ครึ่งหลังของการต่อเวลา เทน ฮาก ไม่มีทางเลือกอีกนอกจากเปลี่ยนตัวแบบไม่มีอะไรจะเสีย เขาถอดกองหลังอย่าง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ออกจากสนาม แล้วให้ เมสัน เมาท์ ลงไปเติมจำนวนนักเตะในแนวรุกอีกคน แล้วพยายามใช้บอลไดเร็กต์โหมบุกเต็มตัว
ลิเวอร์พูลอาจจะมีคุณภาพที่เหนือกว่า แต่สิ่งที่พวกเขาเป็นรองในเกมนี้ นอกจากเสียงเชียร์ของแฟนบอลในสนามแล้ว คือเรื่องของความฟิต
ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีเวลาเตรียมตัวสำหรับเกมนี้นานกว่า 1 สัปดาห์เต็มๆ แต่ทีมหงส์แดงเพิ่งลงเล่นเกม ยูโรปา ลีก กับ สปาร์ต้า ปราก มาเมื่อคืนวันพฤหัสบดี
จะเห็นได้ว่าสภาพร่างกายของนักเตะหงส์แดงในช่วงครึ่งหลังของการต่อเวลา คือเรี่ยวแรงแทบจะหมดกันแล้ว แต่ทีมปีศาจแดงยังพอเร่งเครื่องก๊อกสุดท้ายได้อยู่
หลังจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด แก้ตัวที่พลาดแบบน่าเขกกะโหลกในช่วงทดเจ็บของเวลาปกติ ด้วยการยิงตีเสมอ 3-3 ได้ในนาทีที่ 112 คล็อปป์ยังจำเป็นต้องถอด หลุยส์ ดิอาซ ออกจากสนาม เพราะชัดเจนว่าปีกทีมชาติโคลอมเบียวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว
โดยจังหวะประตู 3-3 ของแรชฟอร์ด ต้องโทษ ดาร์วิน นูนเญซ ที่เล่นไม่ละเอียด จนทำพลาดเสียบอลในแดนตัวเองง่ายๆ ด้วย และนั่นคือประตูที่เรียกศรัทธาของ เร้ด เดวิลส์ ทุกคนใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกครั้ง เพื่อรอจังหวะเผด็จศึก
นาทีที่ 116 แมนฯ ยูไนเต็ด เกือบแซงนำได้เลย จากจังหวะที่วางยาวสวนกลับให้แรชฟอร์ดมีที่ว่างด้านบน แล้วดึงจังหวะไหลให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ สอดเข้าล้มตัวยิงโล่งๆ แต่บอลเฉี่ยวเสาออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
นาทีสุดท้ายของการต่อเวลา ลิเวอร์พูลมีโอกาสจะทำประตูชัยได้เมื่อมาได้เตะมุม แต่ว่าแม็คโทมิเนย์โหม่งเคลียร์ออกมาได้ แล้ว วาตารุ เอ็นโด ดันกั๊กจังหวะแถวสองกันเองกับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต เปิดโอกาสให้ อาหมัด ดิยัลโล่ ตัดบอลให้ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ใช้ความเร็วพาบอลจี้สวนกลับ
การ์นาโช่ทำได้ดีกับการดึง คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ให้มาประกบตัวเอง เพื่อเปิดพื้นที่ให้อาหมัดมากที่สุด แล้วพอเช็คไลน์แล้วว่าเพื่อนไม่ออฟไซด์แน่ๆ ค่อยจ่ายให้อาหมัดแตะหนีแบรดลี่ย์ด้วย first touch ที่ยอดเยี่ยมแล้วซัดหักข้อด้วยซ้าย ส่งบอลกลิ้งเด้งเสาไกลเข้าไปตุงตาข่าย
นั่นกลายเป็นประตูชัยให้ชัยชนะเกมนี้ตกเป็นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ใครๆ ก็มองก่อนเกมว่าเป็นรองมหาศาล แต่พวกเขากลับชนะในวินาทีบีบหัวใจ และทำให้แฟนผีแดงทั่วทั้งโลกได้เฮกันคอแตก
อาหมัดถึงกับลืมตัวว่าตัวเองโดนใบเหลืองไปแล้วก่อนหน้านี้ แล้วถอดเสื้อฉลองประตู จึงต้องโดนใบเหลืองอีกครั้งไปตามระเบียบ กลายเป็นโดนไล่ออกจากสนาม และจะต้องติดโทษแบนในเกมพรีเมียร์ลีกหลังเบรกทีมชาติ ที่ทีมปีศาจแดงจะต้องบุกเยือนเบรนท์ฟอร์ด
นักเตะที่สมควรได้รับการปรบมือให้มากที่สุดในเกมนี้ คือ อเลฮานโดร การ์นาโช่ เพราะเขามีส่วนช่วยให้ทีมได้ประตูโดยตรงในเกมนี้ถึง 3 ลูก
ลูกแรกเป็นคนยิงติดเซฟให้แม็คโทมิเนย์ตามซ้ำ
ลูกตีเสมอ 2-2 เขาเป็นคนเลี้ยงจี้เข้าไปในเขตโทษ แล้วบอลติดกองหลังลิเวอร์พูลเข้าทางให้อันโตนี่หมุนตัวยิงตีเสมอ และประตูชัยจากอาหมัด ก็มาจากการกระชากบอลสวนกลับของเขาไปแอสซิสต์ให้
หลังจากพลิกนรกกลับมาแซงชนะเข้ารอบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังดวงดีในการจับสลากรอบรองชนะเลิศ เพราะหลีกเลี่ยงการเจอทีมใหญ่ทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ที่ต้องไปตัดกันเอง ส่วนผีแดงจะได้พบกับทีมจากแชมเปี้ยนชิพอย่าง โคเวนทรี ซิตี้ ซึ่งเป็นคู่แข่งที่เบาที่สุดแล้วในรอบต่อไป
หลายคนกะเก็งกันว่า มีโอกาสสูงมากที่เกมนัดชิง เอฟเอ คัพ ปีนี้ จะเป็นศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ เหมือนกับปีก่อน เพราะทีมเรือใบสีฟ้ายังคงเป็นเต็งหนึ่ง และตอนนี้ก็ดูเหนือกว่าเชลซีค่อนข้างมาก ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อให้ฟอร์มเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ยังไงก็เหนือกว่าทีมจากลีกรองอยู่แล้ว
สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือว่าพวกเขาได้ชัยชนะที่เรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับคืนมามาก พวกเขาได้เห็นนักเตะสู้กันแบบถวายชีวิตในสนาม และเห็นความกล้าได้กล้าเสียของ เอริค เทน ฮาก ที่การแก้เกมของเขาในวันนี้ต้องยอมรับตรงๆ ว่ามันได้ผล
ย้อนไปในปี 1990 อดีตกุนซือระดับตำนานอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยเกือบจะโดนไล่ออกอยู่แล้ว เพราะผลงานในลีกย่ำแย่มากๆ จบแค่อันดับ 13 ของตารางเท่านั้น
แต่การคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ปีนั้น ซึ่งเป็นโทรฟี่แรกในการคุมผีแดงของป๋าเฟอร์กี้ ช่วยเซฟตำแหน่งผู้จัดการทีมของเขาไว้ ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาเปลี่ยนจากกุนซือที่เคยโดนแฟนบอลขับไล่ กลายเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ
ไม่แน่เหมือนกัน ถ้าหาก เทน ฮาก พาทีมไปถึงแชมป์ เอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ได้จริง ซึ่งจะทำให้ 2 ฤดูกาลแรกของเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด มีแชมป์ติดมือทั้ง 2 ปี อาจจะเป็นการลบล้างความผิดที่พาทีมทำผลงานย่ำแย่ในรายการอื่นๆ ซีซั่นนี้ แล้วมีโอกาสได้อยู่คุมทีมต่อจนทำผลงานดีขึ้นมากๆ ในอนาคตก็ได้
ส่วนลิเวอร์พูล การตกรอบบอลถ้วยมันไม่ใช่จุดจบ พวกเขายังมีแชมป์พรีเมียร์ลีก และ ยูโรปา ลีก ให้ไล่ล่าต่อไป และยังคงมีโอกาสที่ดีมากที่จะจบฤดูกาลอย่างสวยงาม
เจอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งคุมลิเวอร์พูลลงเล่น เอฟเอ คัพ เป็นครั้งสุดท้ายไปแล้ว ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมโดยยอมรับความพ่ายแพ้ และชี้ว่าทีมของเขาสู้เต็มที่แล้ว พร้อมกับให้เครดิตความพยายามของคู่แข่ง
คล็อปป์เผยว่า “เราเกือบชนะได้ในช่วงต่อเวลา และสุดท้ายเราแพ้ ผมไม่สามารถขออะไรจากลูกทีมมากกว่านี้ได้แล้ว”
“เรามีฤดูกาลที่เข้มข้นมาจนถึงตอนนี้ คุณต้องนับจำนวนเกมดู และวันนี้มันยากลำบาก”
“ยูไนเต็ดกล้าที่จะเสี่ยงมากๆ และผมเคารพพวกเขาในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง”
ขณะที่ เอริค เทน ฮาก ก็เผยว่านี่คือเกมแห่งความทรงจำ เขาบอกว่า “เมื่อเป็นการเจอกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นหนึ่งในแมตช์การแข่งขันที่ดีที่สุดของโลกฟุตบอล สิ่งนี้มันเกิดขึ้นแล้ว ผมคิดว่ามันคือประวัติศาสตร์”
เกมแดงเดือดนัดล่าสุดที่เพิ่งจบลงไป มันอาจจะเป็นฝ่ายเด็กผีที่สมหวัง และฝั่งเด็กหงส์ที่ผิดหวัง แต่ทั้ง 2 ทีมต่างสู้กันจนทำให้เกิดเกมที่คลาสสิคที่สุด และสนุกที่สุดนัดหนึ่งของฤดูกาลนี้ ให้แฟนบอลทั้งโลกได้ดู
7 ประตูจากคนยิงที่ไม่ซ้ำหน้า
โอกาสลุ้นประตูของทั้ง 2 ทีมรวมกันมากถึง 53 ครั้ง (แมนฯ ยูไนเต็ด 28 - ลิเวอร์พูล 25)
มีประตูเกิดขึ้นในทุกครึ่งเวลาของการแข่งขัน
การเจอกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งจบลงไปซึ่งแฟนบอลต้องลุ้นกันแทบทุกช็อตตลอด 120 นาที มันช่างสมกับเป็นแมตช์ที่ทุกคนรอคอย และเป็นเกมแดงเดือดที่ดีที่สุดในรอบหลายปีจริงๆ
#เสียบสามเหลี่ยม #ม้าโฉด #ม้าโฉดเสียบสามเหลี่ยม #แดงเดือด #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #ลิเวอร์พูล #ปีศาจแดง #หงส์แดง #เอฟเอคัพ #การ์นาโช่ #โอนาน่า #ซาลาห์ #อาหมัดดิยัลโล่ #แรชฟอร์ด #เทนฮาก #เอริคเทนฮาก #คล็อปป์ #เจอร์เก้นคล็อปป์ #MUNLIV
โฆษณา