19 มี.ค. 2024 เวลา 15:18 • ไลฟ์สไตล์

ซีเค เจิง คุยกับ อุ๋ย

“ผมต้องออกจากตรงนั้นให้ได้ และถ้าผมไม่คิดเรื่องนี้ให้ตัวเอง ไม่มีใครคิดให้ผม มีแค่ผมเท่านั้นที่พาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นได้ ถ้าไม่ทำคือต้องติดอยู่ตรงนั้นตลอดไป”
———————-
ชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 13
———————
ชื่อ ซีเค เจิง เป็นคนไทย เกิดมาเก๋า
อยู่จนอายุ 13 แล้วไปเติบโตที่อเมริกา
พ่อแม่แยกทางกัน ส่งซีเคไปอเมริกาเพื่อให้ได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต และเพื่อที่พ่อแม่จะได้แยกกันไปเริ่มชีวิตใหม่มีครอบครัวใหม่
เมื่อไปอยู่อเมริกา อาศัยอยู่กับ Host ที่เมืองเกษตรกรรมอย่างไอดาโฮ รู้สึกผิดหวังเพราะภาพในหัวอเมริกาคือเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค
จึงอยู่ได้แค่ปีครึ่ง รู้ว่าต้องออกจากเมืองนี้ จึงไปสมัครเรียนที่เมืองอื่นที่เจริญกว่า โดยการเช่าทักซิโดเพื่อบินไปสัมภาษณ์ทุกโรงเรียน ใช้เงินที่มีติดตัวอยู่ทั้งหมด 2,000 USdollars นี่คือเดิมพันครั้งเดียว
“ผมต้องออกจากตรงนั้นให้ได้ และถ้าผมไม่คิดเรื่องนี้ให้ตัวเอง ไม่มีใครคิดให้ผม มีแค่ผมเท่านั้นที่พาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นได้ ถ้าไม่ทำคือต้องติดอยู่ตรงนั้นตลอดไป”
เขาบินไป 4-5 โรงเรียนเพื่อสัมภาษณ์แบบไปกลับ เพราะค่าโรงแรมแพงมาก สุดท้ายโรงเรียนที่วอร์ชิงตันดีซีก็รับเขาเข้าเรียน เขาจึงย้ายไปเรียนที่นั่น และเขาเริ่มเห็นโอกาสในชีวิต เพราะโรงเรียนไฮสคูลจะมีผลกับมหาวิทยาลัยที่จะเรียนต่อ เพราะสถานศึกษาจะมีคอนเนคชั่นกัน
เขาคิดว่านี่คือตั๋วเที่ยวเดียวของเขา การวางแผนชีวิตว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยไหนหรือจะทำยังไงให้อยู่ต่อที่อเมริกาได้ เขาจึงจำเป็นต้องวางแผนตั้งแต่อายุ 13 และไม่มีใครเป็นที่ปรึกษาให้
มหาวิทยาลัยที่เขาเลือก จึงเลือกจากอาชีพที่อเมริกาต้องการและได้กรีนการ์ดง่ายสุด “บัญชี” คืออาชีพนั้นและมหาวิทยาลัยที่เขาสมัครไปก็มีเชื่อเสียงในการที่จะทำให้เขาออกมาและได้รับการผลักดันให้ประกอบอาชีพที่เขาวางแผน และหากเขาได้ใบอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีนั่นหมายความว่าเขาสามารถขอเป็นพลเมืองของประเทศอเมริกาได้อย่างไม่ติดขัด เขาจึงตั้งใจเรียนอย่างดีในมหาวิทยาลัย และเริ่มทำงานพาร์ทไทม์มาเรื่อย ๆ จนได้รับการจองตัวจากบริษัทตั้งแต่ปี 2
ชีวิตไม่ผูกพันกับพ่อแม่ ไม่เคยถามว่าพ่ออยู่ไหน แม่มีครอบครัวใหม่หรือยัง แต่ดูเอาจากสถานการณ์บางอย่างในการพูดคุยกันก็รู้ว่าทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างก็มีครอบครัวใหม่แล้ว และพ่อไม่เคยชวนเขากลับบ้านในช่วงตรุษจีนเลยสักปี
ความผูกพันต่อกันมีเพียงแค่การส่งเสืยค่าเทอมและค่าโฮสท์ให้เป็นรายปีเท่านั้น ทำให้ซีเคไม่เคยรู้สึกว่าตนเองมีบ้านอยู่ที่ไหนเลย ไม่ว่าบ้านพ่อหรือบ้านแม่ ทั้งยังไม่มีแฟน ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีที่ปรึกษา ดังนั้นเมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้เขาอยู่ในหอพักที่มหาวิทยาลัยในช่วงปิด Summer 2 เดือนไม่ได้ เขาจึงเลือกกลับมาประเทศไทย เพราะปลอดภัยและค่าใช้จ่ายถูกกว่า แต่ตั้งแต่นั้นเขาก็พบว่า ประเทศไทยคือบ้าน บ้านแห่งเดียวที่เป็นที่พึ่งเดียวที่เขายึดถือไว้ในใจ
----------------
ชีวิตที่อเมริกาไม่ใช่ชีวิตที่ฝัน
————————
เมื่อเริ่มทำงาน เขาย้ายไป New York ตามฝัน ทำงานด้านการเงินใน Wall street ได้จับงานดีลใหญ่ ๆ มากมาย อยู่ 4 ปี เป็นช่วงที่ชีวิตได้รับโอกาสและเงินทองมากมาย เขาลงทุนในตลาดหุ้นมาตั้งแต่อายุยังไม่ 20 ปี เพราะอยากมีเงินใช้เพื่อ hang out กับเพื่อน ๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบรายได้จากงาน part time กับการลงทุน จึงเห็นว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนได้มากกว่า
เขาลงทุนในหุ้นของ Amazon Apple Google Facebook และเติมเงินลงทุนเข้าไปเรื่อย ๆ (2009-2012) ด้วยความโชคดีที่เขาเข้ามาตลาดลงทุนช่วงนั้นพอดี จึงทำให้รายได้ผ่านเข้ามามหาศาล แต่เขาไม่มีเวลาในการใช้ชีวิตและใช้เงินนั้นเลย บริษัทใช้งานเขาหนักเเหมือนทาส แลกกับเงินเดือนที่สูงลิบ
เหลือเพียงอีก 1 ปีหลังจากทำงานมาได้ 4 ปี เขาก็จะได้สัญชาติอเมริกันที่เคยวาดหวัง แต่เขาได้พบเหตุการณ์ที่กระทบและสะเทือนใจอย่างหนักก็คือ การเข้ามา Take over ของบริษัทใหญ่ต่อบริษัทหนึ่ง ซึ่งเขารับตำแหน่งเป็นผู้ประเมินราคาให้กับบริษัทใหญ่
หน้าที่ของเขาคือเข้าไปคลุกคลีอยู่กับบริษัทที่เขาต้องประเมิน และพบว่าเมื่อปิดดีลมูลค่ามหาศาล บริษัทใหญ่เข้ามาซื้อบริษัทนั้นสำเร็จและไล่พนักงานออกครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของธุรกิจ แต่การเห็นเพื่อน ๆ ที่ผูกพันกันตลอดสองปีที่หอบของออกจากบริษัท ทำให้เกิดคำถามที่ผุดขึ้นในใจว่า
“ผมเรียนหนักทั้งชีวิต ตั้งใจทำงานทั้งชีวิต แต่หน้าที่ของผมคือทำให้คนรวย ๆ ขึ้น และคนชั้นกลางยากจนมากขึ้น เท่านั้นเหรอ?? นี่คือเหตุผลที่ผมหายใจอยู่ทุกวันนี้เหรอ?? ผมเป็นแค่เครื่องมือของคนรวยเหรอ??”
เขาจึงลาออก และรู้สึกรังเกียจสังคม New York ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
——————————
connection does not matter
——————————
ซีเคกลับมาประเทศไทยเพื่อเริ่มธุรกิจปล่อยรถเช่า เริ่มแม้จะไม่รู้จักใคร “คุณไม่จำเป็นต้องมีคอนเนคชั่น เพื่อต้องการคอนเนคชั่น” เขาสร้างคอนเนคชั่นทั้งหมดด้วยตนเองโดยการเดินเคาะทุกประตูกับทุกบริษัทที่เขาคาดว่าจะเป็นคู่ค้าหรือลูกค้า
เดินเคาะประตูเพื่อขอเข้าพบและเสนอธุรกิจตั้งแต่ตึกออฟฟิซใหญ่สูงเสียดฟ้าไปจนถึงเต็นท์รถมือสองทั่วกรุงเทพโดยไม่รู้จักใครมาก่อน โดนปฏิเสธมากกว่า 70% แต่เขายึดหลักว่าประตูแรกกับประตูที่ร้อย ต้องยังคงความมุ่งมั่นตั้งใจเท่ากัน จนเขาสามารถสร้าง Network ของบริษัทที่ใหญ่มาก แต่ซีเคกับผู้ร่วมหุ้นมีความเห็นไม่ตรงกันในแง่การบริหารธุรกิจ ทำให้เขาขายหุ้นทิ้งและแยกตัวออกมา
เขาเริ่มธุรกิจใหม่อีกครั้งในชื่อ Fast work ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มตัวกลางระหว่าง Freelance และลูกค้า เขาเอาเงินที่ชนะจากตลาดหุ้นมาสร้างบริษัทที่มุ่งหวังเพียงเพื่อทำให้ประเทศไทยดึขึ้น ไม่แคร์ว่าใครจะมองว่าสิ่งที่ทำคือการสร้างภาพหรือโฆษณาให้ตัวเอง เพราะเห็นเป้าหมายของตัวเองชัดว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นทำไปเพื่ออะไรและเพื่อใคร โดยไม่ต้องให้ใครมาเชื่อ หวังเพียงให้ตัวเองเห็นเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง ว่าสิ่งที่ยึดมั่นทำทั้งชีวิตนั้นทำได้จนวันสุดท้ายจริง ๆ
ดังนั้นเขาจึงสร้างบริษัท Fast work ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการทำงานของ Freelance เพื่อให้ประเทศไทยเจริญมากกว่านี้ และขยายความเจริญไปนอกกรุงเทพโดยให้ Freelance กลับไปบ้านเกิดของตนเอง ไปกินไปอยู่ไปจับจ่ายที่นั่น เพราะ Freelance สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ที่มี Internet
1
นอกจากบริษัท Fast work เขาสร้างขึ้นมาเพื่อต้องการผลักดันทุกอาชีพเป็น Freelance และทำงานได้ทุกที่แล้ว เขาก็ยังหวังให้ SME บริษัทขนาดเล็กสามารถหาบริการได้ทุกอย่างได้ในแพล็ตฟอร์มนี้ โดยไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานประจำ และประหยัดค่าใช้จ่ายขึ้น
—————————
ทำในสิ่งที่ควบคุมได้
—————————
ซีเคอยากเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ และไม่อยากเป็นคนที่บ่นและด่าสิ่งอื่น ๆ นอกตัว อะไรที่ทำได้ทำ อะไรที่ทำไม่ได้ควบคุมไม่ได้ก็วางและไม่ใส่ใจ เขาตั้งความหวังใหญ่ที่สุดก็คืออยากเปลี่ยนให้คำว่า “ต่างจังหวัด” ตายไปพร้อมกับตัวเขา เพราะ Fast work จะผลักดันให้ Freelance กลับบ้านเกิดมากขึ้นและไปทำให้การเงินหมุนเวียนในจังหวัดต่าง ๆ มากขึ้นจนความเจริญไม่ต้องกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพอีกต่อไป
โฆษณา