22 มี.ค. เวลา 14:00 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] eternal sunshine - Ariana Grande >>> (อดีต)รักนิรันดร์

-อัลบั้ม post-divorce หรือ post-breakup (whatever) ที่อาจไม่มอบความ depress หม่นๆในรสแห่งโศกนาฎกรรมได้เท่ากับอัลบั้ม thank u, next แต่การข้ามผ่านความสัมพันธ์ฉันท์สามี-ภรรยากับ Dalton Gomez แทบทำให้เธออยากจินตนาการถึงเทคโนโลยีลบความจำในภาพยนตร์เรื่อง Eternal Sunshine Spotless of Mind อันเป็น reference หลักของอัลบั้มนี้
-การเลิกราในครั้งนี้ช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจนเป็นความปกติที่ถูกรับรู้ผ่านสื่อแทบลอยด์ไม่รู้จักกี่รอบ แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความเป็นศิลปินในตัวเธอถูกลดทอนไปโดยง่าย เพราะการเลิกราครั้งนี้ยังคงได้มาซึ่งอัลบั้มเต็มอยู่ดี
-กาากลับมาคราวนี้มาพร้อมกับการเล่นคอนเซ็ปท์ที่เป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุดเท่า Ariana เคยทำมาเลยครับ แถมเป็นการย่อยหนัง high concept ออกมาได้เข้าใจง่ายโดยที่ไม่จำเป็นต้องดูหนัง คุณก็เก็ตคอนเซ็ปท์ได้ไม่ยาก เพียงแค่ทำการบ้านนิดหน่อยด้วยการดูเอ็มวี we can’t be friends (wait for your love) เพราะในเอ็มวีแทบจะ tribute ฉากสำคัญของหนังมาพอสมควร
-ในขณะที่กลิ่นความไซไฟนั้นแทบจะแซมอยู่ในอัลบั้มแค่นิดเดียวเท่านั้น ซึ่งมีแค่การยกทฤษฎีของดาวเสาร์ใน Saturn Return Interlude ก็เท่านั้น เป็นการเปรียบเปรยการเติบโตที่ยาวนานพอๆกับการที่ดาวเสาร์ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ 29 ปี
ทั้งนี้ยังเป็นการย้อนแย้งกับเพลงที่ว่าด้วยความฟุ้งฝันอย่าง r.e.m ในอัลบั้ม sweetener ราวกับเป็นการบอกโดยนัยว่า วันเวลาแห่งความเพ้อฝันได้สิ้นสุดลงแล้ว ถึงเวลาแห่งการตื่นเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริง และนำมาซึ่งคำถามปลายเปิดที่สำคัญต่ออัลบั้มนี้คือ การค้นหาตัวเองว่าจะเติบโตเป็นคนแบบไหนกันแน่?
-ในอินโทร (end of the world) สาวอาริได้มีการตั้งข้อสงสัยถึงความสัมพันธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นว่า เป็นการเลือกที่ถูกที่ควรหรือไม่? เป็นการเปิดอัลบั้มในสไตล์ดุ่มๆอันแสนคุ้นเคย ใน era ใหม่ที่เพิ่มเติมด้วยความครุ่นคิด และ self doubt
-รันความคุ้นชินอย่างต่อเนื่องด้วยดิสโก้สุดแช่มชื่น bye ที่ต่อให้เนื้อเพลงจะไร้การประดิษฐ์ประดอยมากที่สุด ใช้คำง่ายๆ เน้นคล้องจอง boy bye - bye bye แต่เธอระบุว่าเพลงนี้ยากที่สุดในแง่ของการแปรเปลี่ยนอารมณ์ที่ค่อนข้าง emotional ทำใจยากกับการบอกลาให้กลายเป็นเพลงให้กำลังใจกับการเลือกที่จะปฎิเสธคนที่ไม่ใช่ ตัดช้อยส์ออกจากชีวิต
เป็นการ keep it simple ที่ดันสอดรับกับอินโทรได้อย่างลงล็อคและมีแนวโน้มซื้อใจตั้งแต่แรกฟังด้วยความง่ายเข้าสู้นี่แหละ don’t wanna break up again ก็รับไม้ต่อจาก bye ที่ยังคงสภาวะทำใจไม่ได้ที่เพิ่มเติมด้วยการถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่ต้องทำให้ประสาทเสีย
-อย่างที่ผมบอกว่า นี่คืออัลบั้มที่อาริใส่ใจในคอนเซ็ปท์มากกว่าครั้งไหนๆ อาจจะไม่ได้คราฟต์อย่างดีเลิศในแง่ของการใส่ easter egg ส่งไม้ต่อ transition เพลงต่อเพลงอย่างรัดกุม แต่อย่างน้อยก็เห็นความพยายามในหลายแง่มุม
-ตั้งแต่ความเข้าใจคิดในการรังสรรค์แทร็คที่เป็น centerpiece ของจริง ซึ่งก็คือไตเติ้ลแทร็ค eternal sunshine ตอนผมฟังครั้งแรกถึงขั้นขนลุกในแง่ความเอาจริงเอาจังและท่วงทำนองอันลุ่มลึกของเพลงนี้เอามากๆเลยครับ ไม่ใช่แค่การพรรณนาถึงคอนเซปท์ลบความทรงจำที่เคลียร์ชัด แต่ยังคงซึ่งความ emotional ที่พอดิบพอดี เอาความหนักแน่นเข้าสู้ และดราม่าที่ไม่เลี่ยนด้วย ยกให้เป็น best track
-เพลงนอกสายตาที่ผมดันชื่นชอบเป็นพิเศษขอยกให้ i wish i hated you ใส่บัลลาดหนักแน่น ไร้ซึ่งความโฉ่งฉ่างแห่งการเค้นเสียงสูง หันมาเล่นกับความนิ่งเงียบที่ค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ที่ได้จบลงไปแล้ว แต่ก็ยังมูฟออนไม่ได้โดยสนิทใจด้วยความคิดที่ว่า “เขาก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายเสียทีเดียว”
และแน่นอนว่าการที่ความรักมันไปต่อไม่ได้ แทบจะไม่ใช่ความผิดของใครเลยด้วยซ้ำ ถือเป็นการหยอกล้อความจริงอันขมขื่นที่เรียลใช้ได้เลยฮะ มันคงจะเกลียดเพื่อมูฟออนได้ง่าย ถ้าถ้าหากไอ้คนรักเก่าเป็นคนที่เลวหรือชั่วช้าจริงๆ ทั้งนี้ยังเป็นเพลงที่อาริระบุว่า นี่คือพาร์ทร่ำไห้ประจำอัลบั้มจนไม่สามารถทำใจฟังและร้องสดออกไปได้จริงๆ
-ความพยายามในการรังสรรค์เพลงคู่พี่สาวน้องสาวก็มีให้เห็นเหมือนกันในเพลง true story และ the boy is mine ที่เป็นการตอบโต้(โดยนัย)ถึงข่าวลือข่าวฉาวที่เธอเป็นคนที่โดนสื่อใส่ไข่ว่า “ผู้สาวทำบ้านแตก” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยเพลงแรกมาในสไตล์ถมึงทึงกับบีทสุดรัดติ้ว ถ้าอยากให้เป็นนางมารร้ายก็จัดมาได้เลย ทั้งๆที่มันไม่จริง ส่วนเพลงที่สองออกแบบมาเพื่อเป็น bad girl anthem ที่มาในแนวทางสุดเฟียสที่สอดรับยุคสมัยของ TikTok ที่จำเป็นต้องมีลีลาท่วงท่า
-we can’t be friends (wait for your love) ซิงเกิ้ลที่สองไม่ได้มีหน้าที่แค่การเป็นวลีปลอบใจหนุ่มจืดหรือสาวจืดที่ข้ามผ่านเฟรนด์โซนไม่ได้ หรือความรักที่ไม่ได้ไปต่อจบลงที่สัญญาหย่าร้าง แต่(โดยนัย)แล้วสาวอาริพยายามส่งสาสน์ถึง Arianator ที่เคยตีตัวออกห่าง รับไม่ได้กับการที่เธอตกเป็นข่าว “ผู้สาวทำบ้านแตก” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ให้ทำความเข้าใจเสียใหม่แล้วกลับเข้าด้อมอีกครั้ง บรรยากาศบีทเพลงที่ค่อนข้างขมุกขมัว ผมก็แอบสัมผัสได้ถึงพลังงานความตรอมตรมในเพลงนี้พอสมควร
-ด้วยความที่เป็น conceptual album (ของแทร่) ก็มีแทร็คที่ออกแบบมาเพื่อเน้นฮิตถนอมความแฟนเซอร์วิสบ้างบางที โดยเฉพาะ yes, and? ซิงเกิ้ลนำร่องที่น่าจะเป็นซิงเกิ้ลแยกออกมาเอกเทศมากกว่าที่จะนำมารวมในอัลบั้มที่ว่าด้วยคอนเซปต์ post-breakup เสียอีก เนื่องด้วยเป็นเพลงเน้นเอาใจชาว LGBTQIA+ พอเอามารวมในอัลบั้มก็ไม่ต่างจากเพลงเบรคโฆษณา “พักชมสิ่งที่น่าสนใจซักครู่”
ถ้าลองมโนถึงมุมมองของเจ้าตัว ก็เป็นไปได้ว่า สังคมความหลากหลายทางเพศยังคงเป็นเซฟโซนฮีลใจให้ตัวเธอได้ดีเสมอมา นั่นอาจเป็น purpose ที่เธอเลือกจะแทรกเพลงนี้กลางคัน
-supernatural เป็นความปล่อยจอยพร้อมเปิดใจให้กับรักใหม่ที่เปรียบเหมือนความผีเข้าผีออกที่ให้ความรู้สึกดีชั่วคราว และไม่ขอถือสาอีกต่อไปหากมันจะจบได้แย่ในอนาคต มีความขี้เล่นลดความตึงในอัลบั้มพอๆกับ yes, and? นั่นแหละ ในอัลบั้มเวอร์ชั่น slightly deluxe ที่ได้ Troye Sivan มาร่วมแจม เป็นอันที่รู้แกวถึงความสนุกทีเล่นประจำอัลบั้มนี้ แทร็คที่ผมตะหงิดใจมากที่สุดกลับกลายเป็น imperfect for you ที่ฟังก์ชั่นอคลูสติคป็อปสูตรสำเร็จของเพลงนี้กลับเป็นความเบาบางที่ไม่ช่วยเสริมความน่าค้นหาให้กับอัลบั้มนี้ได้มากนัก
-การปิดท้ายด้วย ordinary things ก็เรียบง่ายจริงๆ แต่ก็แฝงด้วยไลฟ์สไตล์แพง (สไตล์คนรวยอ่ะเนอะ) มีทั้งเปิดขวดแชมเปญ และบอกรักญี่ปุ่นแบบออกนอกหน้าด้วยการแย้ปชวนเล่นๆไปว่า อยากไปกินโอมากาเสะที่โตเกียว ทั้งนี้คุณย่า Nonna ก็ได้ให้คำปรึกษาที่เป็นคำตอบของคำถามที่เธอสงสัยมาโดยตลอดเกี่ยวกับการเลือกคนที่ใช่ตอนเกริ่นนำในอินโทร (end of the world)
โดยคำตอบของคุณย่าก็คือ ถ้าหากการจูบคนรักก่อนนอนทุกคืนเกิดความรู้สึกเริ่มฝืนๆ แสดงว่านั่นไม่ใช่คนรักที่เราไฝ่หาแล้ว เพราะฉะนั้นจงก้าวออกจากความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่เถอะ เป็นการปิดอัลบั้มแบบสรุปสิ่งที่เธอตกตะกอนได้ตามปกติเลยครับ
-ยังดีที่การกลับมาคราวนี้สามารถหนีออกจากหล่มแห่ง safe zone แบบที่เคยติดแหง่กอยู่ในอัลบั้ม positions นี่อาจเป็นนิมิตรหมายที่ดีอีกรอบในการได้เห็นการคราฟต์อัลบั้มป็อปให้มีฟังก์ชั่นความเป็นอัลบั้มเนื้อเดียวกันมากกว่าอัลบั้มรวมเพลงฮิตที่มีโอกาสตัดเป็นซิงเกิ้ลจนไม่สนความต่อเนื่องของตีมหรือคอนเซ็ปท์ใดๆด้วยเหตุผลที่ใครต่างก็รู้แกวว่า “เชิงพาณิชย์”
-สำหรับ eternal sunshine มีรอยต่อในเรื่องเผื่อเหลือเผื่อขาดเชิงพาณิชย์พวกนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เสียหายในแง่ของความบันเทิงที่สะดุดออกไปทะเลไกลโพ้น ยกประโยชน์ของความยาวของอัลบั้มที่มาแบบพอดิบพอดีแค่ 36 นาทีเศษๆที่ทำให้ไอ้รอยต่อที่ผมระบุไปประมาณ 3-4 เพลงก็ไม่เป็นอุปสรรคให้เกิดความจำเจพลางให้กด skip ไปมากกว่านี้
-เหมือนได้เห็นแสงที่เปล่งประกายพอๆกับตอนที่เข้าสู่ยุค sweetener เนี่ยแหละ (หรือจะไม่นับรวมก็ได้) เพราะเธออนุญาตให้ Pharrell Williams เข้าไปสร้างอิทธิพลแทรกซึมในผลงานจน Arianator บางคนบ่นถึงความไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง อย่างน้อยเธอก็ selected เพื่อหาทางเปลี่ยนผ่านหลีกหนีภาพจำเดิมใน 3 อัลบั้มแรก ส่วน thank u, next เธอเริ่มคราฟต์แนวทางเป็นของตัวเองแล้วจริงๆ เหมือนคนที่ทำสมาธิได้นิ่งพอ
-eternal sunshine ใช้คอนเซ็ปท์ครอบไปเลย chapter ใหม่ ท่วงทำนองเฉพาะตัวพอที่จะเอามารวมกัน เอามาฟังแยกอาจรู้สึกไม่อินเท่ากับการฟังในชุดเพลง นั่นก็ทำให้เกิดความใจชื้นขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ positions ทำผมหวั่นใจพอสมควร และที่สำคัญการรับมือปัญหาชีวิตรักส่วนตัวที่ต่อให้ผ่านชีวิตแต่งงาน เธอก็เหมือน handle ได้สะดวกกว่าเดิม สังเกตได้ mood and tone ที่ถูกลดทอนความหม่นจาก thank u, next ให้ผ่อนปรนขึ้นด้วย
ประหนึ่งแสงสว่างเริ่มคาตา
Top Tracks: bye, eternal sunshine, true story, the boy is mine, we can’t be friends (wait for your love), I wish I hated you
Give 7/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา