28 มี.ค. เวลา 12:16 • หุ้น & เศรษฐกิจ

วิธีทำผลตอบแทนการลงทุนให้สูงขึ้น ลดความเสี่ยง ทำได้จริง เห็นผลในระยะยาว

1/7 คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าวิธีเพิ่มผลตอบแทนทำได้โดยการรับความเสี่ยงมากขึ้น เช่นใช้ Leverage, ใช้ Margin หรือเล่นหุ้นที่เสี่ยงสูงขึ้น เช่นหุ้น Small Cap, หุ้นต่ำบาท แต่ในความเป็นจริงแล้วมีอีกวิธีที่ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว แถมเสี่ยงต่ำกว่า
2/7 วิธีนั้นคือการ Hedge หรือการลด Drawdown ของพอร์ตลงทุนเรา
ซึ่งสถิติย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 1950 - 2020 บนดัชนี S&P500 พบว่า หากเราสามารถ Hedge ปิดความเสียหาย เมื่อตลาดตกลงมากกว่า -15% จะทำให้พอร์ตของเราให้ผลตอบแทนมากขึ้น 10 เท่า ซึ่งวิธีนี้ยังใช้ได้ต่อเนื่องในปัจจุบัน
ดังนั้นอย่างน้อยทุกครั้งที่ตลาดปรับฐาน มากกว่า -15% เราควรปรับพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง
นอกจากนี้ การ Hedge ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจได้ด้วยทำให้ความเครียดในการลงทุนน้อยลงลงด้วย
3/7 การ Hedge Concept ก็คล้าย ๆ การทำประกัน
คือการที่เรานำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยง เมื่อเราเกิดความกลัวว่าอาจจะเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นกับเรา
กรณีที่เราคาดเดาผิด เหตุการณ์ร้าย ๆ ไม่ได้เกิดขึ้น
เราก็จะเสียเงินการทำประกันไป
แต่กรณีที่เกิดเหตุร้ายขึ้นประกันก็จะช่วยเราได้มากทีเดียว
(ในมุมการลงทุนก็คือเดาผิดขาดทุน เดาถูกได้กำไร)
4/7 โดยการ Hedge สามารถทำได้หลายวิธี ส่วนใหญ่คือหาทรัพย์สินที่เคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่สัมพันธืกับทรัพย์สินหลักของพอรืตลงทุนเรา เช่นใช้ Option, Future, Inverse ETF หรือแม้แต่ DW ที่คนไทยนิยมก็สามารถใช้ได้ (ถ้าใช้อย่างถูกวิธี)
แต่ละผลิตภัณฑ์ก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
ไม่มีวิธีใช้ตายตัว ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์และเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม และความถนัดของบุคคล
5/7 แต่วิธีที่เราแนะนำคือ การซื้อ “Buy Put” Option เนื่องจากใช้เงินจำนวนที่น้อย เมื่อเทียบกับความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงได้มาก รวมถึงจำกัดการขาดทุน
#ตัวอย่างการใช้งาน
ถ้าคุณมีหุ้น แต่กลัวว่าหุ้นจะปรับฐาน พักตัวช่วงสั้น ปกติเราก็จะต้องขาย
แล้วรอหุ้นตก ค่อยไปซื้อใหม่ แต่ปัญหาที่ตามมาทันทีคือ
ต้นทุนครั้งใหม่จะสูงขึ้น ส่งผลต่อสภาพจิตใจ
แต่หากคุณซื้อ Put Option แทนการขาย เป็นการล็อคกำไร จะได้ประโยชน์อย่างมาก ตัวอย่างเช่น คุณมีหุ้น A ราคา 100 บาท 100 หุ้น คิดเป็นเงินมูลค่า 10,000 บาท จึงเข้าซื้อ Put Option ที่ราคาใช้สิทธิ์ 100 บาท หมดอายุใน 3 เดือน
(สมมุติ อัตรา 1 สัญญา ต่อ 100 หุ้น อิงตาม US) เป็นจำนวน 1 สัญญา เท่ากับว่า คุณได้ขายซื้อสิทธิ์ในการขายหุ้น A ที่ราคา 100 บาท เอาไว้แล้ว
หากหุ้น A ลงไป 90 บาท ลดลงไป 10 บาท
มูลค่า Put Option นี้ควรจะขึ้น 10 บาท โดยประมาณ เพราะว่ากระดาษใบนี้เขียนเอาไว้ว่า ขายที่ราคา 100 แต่ตอนนี้ 90 บาท เกิดส่วนต่าง 10 บาทชัดเจน
ซึ่งแน่นอน ก็คล้าย call option คือ ของดีขนาดนี้มันไม่ฟรี มันมีค่าต๋ง ที่เราเรียกกันว่า premium
ในกรณีแบบนี้ ต๋งหรือต้นทุนอาจจะอยู่ที่ 5 บาท ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย แต่คุณอาจจะเห็นมันขึ้นจาก 5 ไป 13 14 หรืออาจจะ 16 เลยก็ได้ (ขึ้นกับ the greeks (เป็นเรื่องขั้น Advance ที่เราจะทยอยเล่าให้ฟังทีหลัง))
ดังนั้นหากเราถือหุ้น A และถือ Put option สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
หุ้น A เหลือ 90*100 = 9,000 บาท
Put Option ราคาทุน 5*100 = 500 บาท สมมติว่าขึ้นเป็น 1500 บาท
ได้กำไร = 1000 จะเห็นว่าเงินคุณ ไม่ได้ลดลงเลย
และเมื่อใดก็ตามที่อยากหยุด hedge ความเสี่ยง ก็สามารถ ขาย Put Option นี้ทิ้งไป
หากต้องการขายครึ่งนึง ก็ คำนวน แล้วซื้อ Put Option แค่ครึ่งเดียวแทน
6/7 #วิธีคำนวนว่าต้องซื้อเท่าไหร่แบบง่าย ๆ
ซื้อ Put ดัชนีมันตรงๆไปเลย
ถ้าต้องการ Hedge แบบง่ายๆเลยก็คือ ถ้าเรามีมุมมองว่าตลาดหุ้นกำลังจะตกเราก้ซื้อสัญญา Put option SPY(S&P 500) ตรงๆไปเลยง่ายดีครับ เช่น ถ้าเราถือหุ้นอยู่ 70% ของพอร์ต ก็กดซื้อสัญญา Put SPY ที่ at the Money หรือ strike price ราคาตลาด ใน Exposure ที่เท่ากัน
เช่น พอร์ตเรา 1 ล้านเหรียญ ถือหุ้น 70% = 7 แสนเหรียญ ถ้าเราต้องการ Hedge พอร์ตด้วย Exposure ที่เท่ากัน เราต้องซื้อ Put Option SPY ที่ Strike Price $443 จำนวน 16 สัญญา
วิธีคำนวณคือ Strike Price $443 * 100 = 44,300 ต่อสัญญา ต้องการ cover 700,000 เหรียญ
700,000 / 44,300 = ~16 สัญญา
7/7 แต่ในความเป็นจริงนั้น ซับซ้อนกว่าเนื้อเรื่องนี้ค่อนข้างมากครับ มี delta hedge, gamma hedge ด้วย หากต้องการให้เป๊ะ และต้องคำนวนเรื่องของ เวลา time decay และค่าความผันผวน ซึ่งแนะนำให้ศึกษาให้ดีๆก่อนครับ
สำหรับใครที่ต้องการ Shortcut ตอนนี้เรามีคอร์สสอนใช้ 4กลยุทธ์พื้นฐานใน Option อยู่ รวมถึงมีเรื่องการ Buy and Hedge อยู่ในวันสุดท้าย
ตอนนี้มี Final Call ราคาโปร ต้องสมัครก่อน 15 เม.ย. นี้ ดูรายละเอียด หรือสมัครได้ในลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ
โฆษณา