29 มี.ค. 2024 เวลา 05:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Wage - Price Spiral สถานการณ์เงินเฟ้อที่ไม่มีใครอยากได้ยกเว้น ญี่ปุ่น

ไม่กี่วันมานี้ มีข่าวด้านเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์มหภาคทั่วโลกเห็นแล้วต่างพากันตื่นเต้น ข่าวดังกล่าวคือ ข่าวที่ธนาคารกลางของประเทศญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ยและดีใจที่เศรษฐกิจของประเทศอาจจะเผชิญกับสภาวะ wage – price spiral เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปี ที่สหภาพแรงงานของญี่ปุ่นได้รับชัยชนะในการเจรจาขึ้นค่าจ้าง
ที่ว่าแปลกเพราะไม่มีประเทศใดในโลกนี้ (ยกเว้นญี่ปุ่น) อยากให้เกิดสภาวะนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงน่าสนใจสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการเศรษฐศาสตร์ว่า สภาวะนี้คืออะไร แล้วทำไมคนจึงต้องกลัว ผมจะลองอธิบายด้วยภาษาที่ไม่ใช่วิชาการ ในตัวอย่างแบบง่ายๆ (ซึ่งอาจไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่ง่ายต่อการสร้างความเข้าใจ) เพื่อสร้างความเข้าใจในเบื้องต้นให้กับผู้ที่ไม่ใช่ hard core economist ดังนี้
ปรากฏการณ์ wage – price spiral คือปรากฏการณ์ที่ระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้นทำให้แรงงานเรียกร้องค่าจ้างสูงขึ้น แต่เนื่องจากค่าจ้างเป็นต้นทุนที่สำคัญของธุรกิจ ดังนั้นเมื่อค่าจ้างสูงขึ้น ผู้ประกอบการก็ต้องขึ้นราคาสินค้าเพื่อรักษาระดับ margin หรือเพื่อไม่ให้ต้องขาดทุน
แต่เมื่อระดับราคาสูงขึ้นอีก แรงงานก็จะเรียกร้องขึ้นค่าจ้างอีก วนกันไปอย่างนี้ จึงถูกเรียกว่า wage – price spiral และความที่ไม่รู้ว่า spiral นี้จะไปหยุดลงที่ไหน จะทำให้ระดับราคาในประเทศวนสูงขึ้นไปจนคุมไม่อยู่หรือไม่ จึงเป็นเหตุให้ทุกประเทศกลัวสภาวะนี้กันอย่างมาก
คำถามคือ แล้วปรากฏการณ์นี้จะหยุดลงเมื่อไร
สมมุติว่า ระบบเศรษฐกิจเป็นระบบปิด และมีภาคการผลิตอยู่ 2 sectors คือ ภาคเกษตร และภาคนอกเกษตร และสมมุติต่อไปว่ามีสถานการณ์ดินฟ้าอากาศไม่ปกติทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายและทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้แรงงานในภาคเกษตรมีรายได้เพิ่มขึ้นไปโดยอัตโนมัติ แต่แรงงานนอกภาคเกษตรซึ่งไม่ได้มีรายได้จากราคาสินค้าเกษตรจะมีอำนาจซื้อ (purchasing power) ต่ำลงทันที เพราะค่าจ้างเท่าเดิมแต่สินค้าเกษตรซึ่งเป็นอาหารและเป็นสิ่งจำเป็นมีราคาสูงขึ้น เงินเท่าเดิมจึงซื้อได้น้อยลง
ด้วยเหตุนี้ แรงงานนอกภาคเกษตรจะเรียกร้องให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้างให้ ซึ่งหากแรงงานมีจำกัดและมีอำนาจต่อรอง (เพราะเป็นระบบปิด) นายจ้างก็จะต้องขึ้นค่าจ้างให้ และทำให้ margin ของธุรกิจลดลงทันที
เพื่อไม่ให้ margin ลดลงมากเกินไป นายจ้างของธุรกิจนอกภาคเกษตรก็จำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า แต่สินค้าใดจะขึ้นได้มากหรือได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับดีกรีของการแข่งขันในตลาดของสินค้านั้นๆ แต่ไม่ว่าจะขึ้นได้มากหรือน้อย โดยเฉลี่ยแล้วก็คือต้องขึ้น ซึ่งจะส่งผลสะท้อนกลับไปที่การทำให้ค่าจ้างที่แท้จริงของแรงงาน ทั้งในภาคนอกเกษตรและภาคเกษตรลดลงอีกครั้งนึงพร้อม ๆ กัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ประกอบการจะขึ้นราคาสินค้า แต่โดยธรรมชาติของระบบเศรษฐกิจ จะมีผู้ประกอบการหลายรายสำหรับสินค้าแต่ละอย่างที่ไม่ใช่ตลาดผูกขาด แม้ว่าระดับราคาสินค้าจะสูงขึ้นแต่อาจไม่สามารถทำให้ผู้ประกอบการทุกรายสามารถรักษา margin ไว้ได้เหมือนกัน เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นจะทำให้ผู้ประกอบการที่ประสิทธิภาพต่ำต้องออกจากตลาดไป ซึ่งก็จะส่งผลให้อุปทานของสินค้านั้นลดลง และมีแรงงานที่ต้องออกจากตลาดแรงงานไปเพราะนายจ้างปิดกิจการ ซึ่งทำให้มีอุปทานของแรงงานเพิ่มสูงขึ้น
การที่แรงงานต้องออกจากตลาดนั้น ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดมากขึ้น อาจจะต้องรวมถึงแรงงานภาคเกษตรบางส่วนที่ต้องออกจากตลาดเพราะผลผลิตเกษตรเสียหายจนไม่มีรายได้หรือรายได้น้อยลงเกินกว่าจะอยู่ได้ในภาคเกษตร ซึ่งหมายความว่า ดินฟ้าอากาศที่ไม่ปกตินี้ จะส่งแรงงานจำนวนหนึ่งให้ต้องออกจากภาคเกษตรไปเป็นอุปทานส่วนเพิ่มของแรงงานนอกภาคเกษตรด้วย
นอกจากนี้ การที่จำนวนสินค้าที่ผลิตได้ลดลงอันเนื่องมาจากมีผู้ประกอบการบางรายต้องออกจากตลาดไปก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น
และในทางกลับกัน การที่มีแรงงานส่วนเกินเพิ่มเข้ามาอันเนื่องมาจากมีผู้ประกอบการบางรายต้องออกจากตลาดไป (ทั้งภาคนอกเกษตรและภาคเกษตร) จะเป็นเหตุให้ค่าจ้างแรงงานลดต่ำลง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่เหลืออยู่ไม่ต้องขึ้นราคาสินค้าไปเรื่อย ๆ
สถานการณ์ที่กลับไปกลับมานี้ จะทำให้ในที่สุด ระดับราคาสินค้า และค่าจ้างแรงงาน จะไปหยุดอยู่ ณ จุดดุลยภาพจุดใดจุดหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากมีการเติมเงินใหม่เข้ามาในระบบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม สถานการณ์นี้อาจจะไม่ได้หยุดลงโดยง่าย เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับบางประเทศเช่น อาร์เจนตินา
สถานการณ์ข้างต้นเป็นกรณีของระบบเศรษฐกิจปิด (หรือเปิดน้อย)
มาดูกรณีของระบบเศรษฐกิจเปิด (หรือปิดน้อย) เช่นกรณีของประเทศไทย
ในกรณีของระบบเศรษฐกิจเปิด ผู้ประกอบการในประเทศไม่สามารถขึ้นราคาได้ตามใจชอบเหมือนในระบบเศรษฐกิจปิด เพราะหากขึ้นราคา ก็จะมีสินค้าประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงจากต่างประเทศที่ราคาต่ำกว่าไหลเข้ามาแข่งเพิ่ม
เราลองมาเริ่มต้นที่สถานการณ์เดียวกันคือ สมมุติว่าดินฟ้าอากาศแปรปรวนทำให้ผลผลิตภาคเกษตรเสียหาย โดยสมมุติต่อไปอีกหน่อยนึงว่า สินค้าเกษตรดังกล่าวเป็นสินค้าจำเป็นเฉพาะกับผู้บริโภคชาวไทย แต่ไม่ใช่สินค้าจำเป็นสำหรับต่างประเทศ และไม่มีสินค้าเกษตรประเภทเดียวกันจากต่างประเทศไหลเข้ามาทดแทน (หรือเข้ามาน้อย)
ผลที่เกิดขึ้นจะมีสองอย่างทำนองเดียวกันกับกรณีเศรษฐกิจปิด คือ ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มสูงขึ้น และมีแรงงานจำนวนหนึ่งในภาคเกษตรต้องออกจากภาคเกษตรไปทำงานนอกภาคเกษตรเพราะผลผลิตเสียหายจนไม่สามารถมีรายได้จากภาคเกษตรมากพอเลี้ยงตัวและครอบครัว
ระดับราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นทำให้แรงงานนอกภาคเกษตรมีอำนาจซื้อลดลง จึงเรียกร้องขึ้นค่าจ้างแรงงาน หากระบบเศรษฐกิจเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี อาศัยกลไกตลาดเป็นตัวปรับดุลยภาพโดยรัฐบาลไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการจะไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้เพราะถูกราคาสินค้าจากต่างประเทศกดไว้ ด้วยเหตุนี้ การขึ้นค่าแรงให้กับลูกจ้างจะทำให้มีผู้ประกอบการบางรายต้องออกจากตลาดไป เพราะไม่สามารถรับต้นทุนที่สูงขึ้นได้ แต่หากสินค้าใดอยู่ในตลาดผูกขาด อาจจะขึ้นค่าแรงให้กับลูกจ้างได้
การที่มีผู้ประกอบการบางรายต้องออกจากตลาดไป จะทำให้ supply สินค้านั้นๆ ในประเทศลดลง และต้องนำเข้าสินค้ามากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการเดิมที่อาจลดลงไม่มาก อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงิน หากปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในทุกสินค้าของทั้งระบบเศรษฐกิจ ประเทศจะเกินดุลการค้าลดลงหรือแม้แต่ขาดดุลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อค่าเงินทันทีและส่งต่อมายังราคาสินค้าที่เป็นบาทในที่สุด ซึ่งก็จะอาจจะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นตามค่าเงินที่อ่อนลง
การที่ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นตามค่าเงินที่อ่อนลงนี้ จะวนกลับมาทำให้แรงงานทั้งในภาคเกษตรและนอกเกษตรมีอำนาจซื้อที่แท้จริงลดลง อย่างไรก็ตาม การที่มีแรงงานส่วนเพิ่มจากแรงงานของกิจการที่ต้องปิดตัว จะทำให้เกิดแรงกดดันต่อค่าจ้างแรงงานไม่ให้สูงขึ้นมาก และในที่สุดอัตราค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นกับระดับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นจะหยุดลง ณ จุดดุลยภาพจุดใดจุดหนึ่ง
เช่นเดียวกัน หากมีการเติมเงินใหม่เข้ามาในระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ (เช่น อาร์เจนตินา) ก็จะทำให้ค่าเงินอ่อนลงเรื่อย ๆ และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด wage – price spiral ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
แล้วทำไมญี่ปุ่นจึงไม่กลัวและอยากให้เกิด
ในระดับจุลภาค การที่มีเงินเฟ้อที่ไม่มากเกินไป ระดับราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้นจะสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการและแรงงานที่รู้สึกว่ามีรายได้เป็นตัวเงินเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นเชื้อไฟอ่อนๆ ในการเร่งให้เศรษฐกิจมีการเติบโตได้ดี แต่ญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาวะระดับราคาหยุดนิ่งและเศรษฐกิจซึมมานานหลายปี การเจอกับสภาวะนี้จึงเปรียบเหมือนเจอยาชูกำลัง
ในระดับมหภาค ธนาคารกลางเปรียบเสมือนเจ้าของบ่อนที่เมื่อมีใครเข้ามาในบ่อนก็ต้องมาแลกชิบและเจ้าของบ่อนจะได้ค่าธรรมเนียมจากการแลกชิบนั้น ซึ่งในกรณีของธนาคารกลางก็คือดอกเบี้ย การมีภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ จะทำให้ธนาคารสามารถเก็บค่าต๋งได้ แต่ถ้าเงินเฟ้อติดลบอย่างที่ผ่านมา ก็ทำไม่ได้
นอกจากนี้ การที่ประเทศ A มีอัตราเงินเฟ้อมากกว่าประเทศ B ยังทำให้อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของประเทศ A ลดลงเมื่อเทียบกับประเทศ B ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศ A และนี่คือเหตุผลที่ทำไมญี่ปุ่นจึงอยากให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และ wage – price spiral ในประเทศของตน
โฆษณา