1 เม.ย. เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

"ยูเออี"หอบ 2.5 ล้านล.ดอลล์ ลงทุนนอก 61 บริษัทลุยไทย รุกปิโตรฯ ถือหุ้นโรงแรม

ภาครัฐ-เอกชนยูเออี หอบเงินกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐลุยลงทุนต่างประเทศ เพิ่มความมั่นคงให้คนรุ่นใหม่ ปักหมุดไทยหนึ่งในประเทศเป้าหมาย 61 บริษัทการค้าลุยหาโอกาส ทั้งสำรวจผลิตปิโตรเลียม ท่าเทียบเรือคอนเทนเนอร์ ถือหุ้นโรงแรม ศูนย์การค้า
2
รายงานข่าวจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี) เผยว่า ยูเออี มีนโยบายกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยจะไม่ยึดอยู่กับอุตสาหกรรมน้ำมันเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป โดยแสวงหาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่น่าลงทุน เช่น นวัตกรรมเทคโนโลยี นวัตกรรมอาหารและสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีนโยบายดึงดูดการลงทุนต่างชาติ (FDI) ลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อพลิกโฉมยูเออี สู่เศรษฐกิจใหม่ และการลงทุนในต่างประเทศ
นาย Jamal Bin Saif Al Jarwan เลขาธิการสภานักลงทุนระหว่างประเทศของยูเออี (UAE International Investors Council : UAEIIC) เปิดเผยว่า ยูเออีได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของตน ในเศรษฐกิจโลก มีการลงทุนในต่างประเทศที่ดำเนินไปได้ดีแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะผันผวนก็ตาม
ในช่วงต้นปี 2567คาดว่ามูลค่ารวมของสินทรัพย์ของยูเออีในต่างประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน ประมาณ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยูเออีกำลังขยายพอร์ตการลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้คนรุ่นใหม่ในอนาคต ด้วยโครงการที่มีแนวโน้มสดใส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดการทางเศรษฐกิจที่ดี มีความมุ่งมั่นในความร่วมมือและการพัฒนา
ทั้งนี้ในด้านการลงทุนยูเออีสามารถครองอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาหรับและเอเชียตะวันตก เป็นอันดับที่ 15 ของโลก และอันดับที่สองของโลกในด้านการลงทุนในโอกาสใหม่ ๆ
ในส่วนของประเทศไทย ขณะนี้มีบริษัทการค้าของยูเออีมากกว่า 61 แห่งเข้ามาลงทุนในประเทศไทย อาทิ บริษัท Mubadala Petroleum เป็นบริษัทในเครือ 100% ของ Mubadala Development Company (MDC) จัดตั้งโดยรัฐบาลกรุงอาบูดาบี เป็นบริษัทสำรวจและผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ได้รับสัมปทานปิโตรเลียมในไทยหลายแปลง เป็นผู้สำรวจพบจนสามารถพัฒนาแหล่งน้ำมันดิบขนาดเล็กชื่อว่าแหล่งจัสมินและบานเย็น
บริษัท DP World Thailand (Laem Chabang International Terminal Co., Ltd.) ของรัฐดูไบ ได้รับสัมปทานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 30 ปี เพื่อ “สร้าง ดำเนินการ และบริหารจัดการ” ท่าเทียบเรือคอนเทนเนอร์ B5 และการท่าเทียบเรือ C3 ที่ท่าเรือแหลมฉบัง LCIT
กองทุนอาบูดาบี หรือ Abu Dhabi Fund for Development (ADFD) ที่มีการลงทุนใน 26 ประเทศทั่วโลก ร่วมกับบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) ประเทศไทย ลงทุน 104.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วมถือหุ้นโรงแรม 4 แห่ง ศูนย์การค้า 1 แห่ง ในประเทศไทย
ขณะที่การลงทุนของฝ่ายไทยในยูเออีมีธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางจนถึงนักลงทุนรายเล็กหลายราย อาทิ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับบริษัท Eni Abu Dhabi ในกรุงอาบูดาบี สำรวจทรัพยากรปิโตรเลียมนอกชายฝั่งของอาบูดาบี ในภาคบริการ มีโรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจค้าปลีกและส่ง บริการสุขภาพและความงาม และธุรกิจจัดงานแสดงสินค้า ในภาคการผลิตบริษัทไทยร่วมกับกลุ่ม Dubai Holdings ของรัฐบาลดูไบ ประกอบธุรกิจประเภท การผลิตทองแดงและผลิตภัณฑ์ทองแดง ในงานก่อสร้าง เป็นต้น
อย่างไรก็ดีในภาพรวมของโลก สหรัฐอเมริกาครองตำแหน่งการลงทุนมูลค่าสูงสุด โดยมีการลงทุนตราสารหนี้ 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการลงทุนทางตรง (Direct Investment) 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อียิปต์ตามมาอย่างใกล้ชิดด้วยมูลค่า 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่อังกฤษและอินเดียดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงประเทศละ 40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โมร็อกโกมูลค่า 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยุโรปกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางในอนาคตอันสดใสเนื่องจากเสถียรภาพของค่าเงิน
สำหรับยูเออีลงทุนใน 90 ประเทศ คาดว่าจะลงทุนในประเทศอินเดีย (ประมาณ 4-5 พันล้านดอลลาร์ญสหรัฐฯ ) อินโดนีเซีย ประเทศกลุ่มอาเซียน อียิปต์ โมร็อกโก กลุ่มประเทศในเอเชียกลาง อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา แคนาดา และบางประเทศในยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะเซอร์เบีย กรีซ และตุรกี ที่เป็นจุดสนใจของยูเออี
ในส่วนของการเป็นเจ้าของและผู้ถือทุน นาย Al Jarwan อธิบายว่ายูเออีลงทุนทั่วโลกแบ่งออกเป็น กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign wealth funds) ร้อยละ 72 ร่วมกับสำนักงานการลงทุนอาบูดาบี, Mubadala Investment Corporation, Dubai Investment Corporation, UAE Investment Agency และ Abu Dhabi Developmental Holding Company (ADQ)
ตามมาด้วยบริษัทที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ และองค์การกึ่งอิสระของรัฐบาล (Quasi-government companies) สัดส่วนร้อยละ 18 ธนาคารของยูเออี ร้อยละ 2.5 บริษัท ที่เจ้าของเป็นคนยูเออีและบริษัทเอกชนร้อยละ 7.5
กองทุนของรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อนำสภาพคล่องส่วนเกินของประเทศไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ที่เรียกว่า “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ยูเออีเป็นเจ้าของรวม 7 แห่ง มีมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทําธุรกรรมมากมาย ตัวอย่างสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่กองทุนยูเออีลงทุน คือ UniVar Solutions ศูนย์โซลูชันมุ่งส่งเสริมนวัตกรรมระดับโลก ด้วยมูลค่า 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การลงทุนของ Quebec Deposit and Investment Fund รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา เข้าซื้อกิจการของ DP World ใน Jebel Ali Port, Jebel Ali Free Zone และ National Industries Park มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยถือหุ้นร้อยละ 22
นอกจากนี้มีการลงทุนที่สำคัญของยูเออีอื่น ๆ ได้แก่ การเข้าซื้อกิจการโดย e& group และบริษัทในเครือ Atlas 2022 Holdings ซื้อหุ้นร้อยละ 9.8 ของกลุ่ม Vodafone group ในอังกฤษ ด้วยมูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการเข้าซื้อกิจาการโดยบริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี ( Adnoc ) ด้วยมูลค่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และซื้อหุ้นร้อยละ 24.9 ของบริษัทน้ำมันและก๊าซออสเตรีย OMV AG
การลงทุนข้ามพรมแดน
ยูเออีมีโครงการลงทุนข้ามพรมแดนในภูมิภาคตะวันอออกกลาง เช่น ประเทศอียิปต์ด้วยการพัฒนาเมือง Ras El-Hekma ด้วยเงินลงทุนของฝ่ายยูเออีและอียิปต์รวม 35 พันล้านดอลลาร์ญสหรัฐฯ คาดว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินงอกเงยจากการลงทุนได้ถึงมูลค่า 150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในส่วนของเงินหมุนเวียนการลงทุนข้ามพรมแดนของยูเออีในปี 2565 มูลค่า 24.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับในปี 2564 ที่มีมูลค่า 22.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โฆษณา