2 เม.ย. เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สรุปวิธี ชำแหละกำไรบริษัท สไตล์ Mark Minervini พ่อมดตลาดหุ้น

คาถาศักดิ์สิทธิ์ในตลาดหุ้น คือ กำไร กำไร และกำไร
เพราะปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดที่ช่วยผลักดันราคาหุ้น
ก็คือ ความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัท
แล้วรู้หรือไม่ว่าคุณ Mark Minervini เทรดเดอร์ชื่อดัง เจ้าของฉายา “พ่อมดตลาดหุ้น”
ผู้ชนะรางวัล U.S. Investing Championship ในปี 2540 ด้วยผลตอบแทน +155% และปี 2564 ด้วยผลตอบแทน +334%
ที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดเซียนหุ้นสายกราฟเทคนิค
แต่เขาก็ยังให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคุณภาพกำไรของบริษัท เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเสมอ
แล้วคุณ Mark Minervini มีการตรวจสอบคุณภาพกำไรของบริษัทอย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
การตรวจสอบคุณภาพกำไรของคุณ Mark Minervini นั้น สามารถสรุปออกมาได้ดังนี้
1. ไม่ให้ความสำคัญกับ กำไรพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว
1
ตัวเลขกำไรสุทธิ ในงบกำไรขาดทุน คือสิ่งที่นักลงทุนทุกคนให้ความสำคัญ
แต่ในบางครั้ง กำไรสุทธิ ก็สามารถเติบโตได้หลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า กำไรพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์ หรือขายบริษัทย่อย
เพราะฉะนั้น ถ้ามีกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ให้เราตัดออกก่อน แล้วจากนั้นค่อยคำนวณกำไรสุทธิใหม่ เพื่อให้ได้กำไรที่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานหลักของบริษัทเท่านั้น
2. ระวังกำไรที่มาจากการลดต้นทุน
ปัจจัยหลัก 3 อย่างที่ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น
คือเพิ่มปริมาณการขาย เพิ่มราคาสินค้า และลดต้นทุน
1
เราควรให้ความสำคัญกับกำไรที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขาย และการเพิ่มราคาสินค้า มากกว่ากำไรที่เพิ่มขึ้น
จากการลดต้นทุนเพียงอย่างเดียว
1
เพราะบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
ควรจะมีรายได้ที่เติบโต ไปพร้อม ๆ กับการควบคุมต้นทุนให้ลดลง
ซึ่งเราสามารถตรวจสอบศักยภาพของบริษัทได้
จากการตั้งคำถามต่อไปนี้
- มีสินค้าและบริการใหม่ หรืออุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลง ในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่ ?
- บริษัทได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นไหม ?
- บริษัทกำลังเพิ่มรายได้และขยายส่วนต่างผลกำไร
อย่างไร ?
- บริษัทกำลังลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
อย่างไร ?
1
3. วัดอัตรากำไร
จุดประสงค์ของบริษัท คือ การรักษาเงินที่ได้จากการหารายได้ให้เหลือมากที่สุด นั่นหมายความว่า บริษัทต้อง
พยายามทำอัตรากำไรให้สูงที่สุด
1
โดยสิ่งที่คุณ Mark Minervini ใช้ดูความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ก็คือ
- อัตรากำไรขั้นต้น ซึ่งเป็นตัวสะท้อนการควบคุมต้นทุน และความสามารถในการกำหนดราคาของบริษัท
1
- อัตรากำไรสุทธิ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนความสามารถในการทำกำไร ให้กับเจ้าของบริษัท
ซึ่งคุณ Mark Minervini ได้บอกไว้ด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวล คือ การที่บริษัทมีอัตรากำไรลดลง เพราะอาจหมายความว่า ลูกค้าสนใจสินค้าน้อยลง จนต้องปรับราคาขายลง
4. วิเคราะห์สินค้าคงคลัง
โดยปกติแล้วสินค้าคงคลังที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปรอขาย ควรเพิ่มขึ้น หรือลดลง ในทิศทางที่สอดคล้องกับยอดขาย
สิ่งที่น่ากังวล คือ หากสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นเร็วกว่ายอดขาย เพราะอาจจะชี้ได้ว่ายอดขายอ่อนแอ หรือผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดเกี่ยวกับความต้องการสินค้า
ยกตัวอย่างเช่น สินค้าที่เสื่อมราคา หรือสามารถตกรุ่นได้อย่างรวดเร็ว เช่น คอมพิวเตอร์ เพราะถ้าบริษัทมีสินค้าคงคลังค้างจำนวนมาก แล้วขายไม่ทัน
 
ก็จะต้องนำสินค้าออกมาขายลดราคาครั้งใหญ่ เพื่อระบายสินค้าออกไป ซึ่งการทำแบบนี้ จะส่งผลให้กำไรของบริษัท ลดลงในอนาคต
1
ในทางกลับกัน หากบริษัทมีวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นแปลว่า บริษัทเชื่อว่าแนวโน้มธุรกิจกำลังจะดีขึ้น
แต่สิ่งสำคัญคือ ยอดขายต้องเพิ่มขึ้นตามมาด้วย
เพื่อยืนยันว่ามีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นจริง ๆ
5. วิเคราะห์ลูกหนี้การค้า
ตัวเลขลูกหนี้การค้า คือ ตัวเลขยอดขายที่บริษัท
ได้ขายสินค้าไปแล้ว แต่ลูกค้ายังไม่จ่ายเงิน ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับเงินในอนาคต หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ จำนวนเงินที่ลูกค้าของบริษัท “เซ็น” ไว้นั่นเอง
1
สิ่งที่น่ากังวล คือ หากลูกหนี้การค้าเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า
ยอดขาย เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า บริษัทกำลังจะมี
ปัญหาในการเรียกเก็บเงินจากลูกค้า ซึ่งจะกระทบกับสภาพคล่องของบริษัทในอนาคต
เพราะการเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้ ก็จะทำให้บริษัทเหลือเงินสดน้อยลง สำหรับการชำระหนี้ หรือใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ
จะเห็นได้ว่า การตรวจสอบข้อมูล กำไร และอัตรากำไรจากงบกำไรขาดทุนนั้น จะช่วยให้เราเข้าใจผลประกอบการของบริษัทมากขึ้น
แต่การตรวจสอบข้อมูล สินค้าคงคลัง และลูกหนี้การค้า จากงบแสดงฐานะทางการเงิน หรืองบดุล จะเป็นตัวช่วยให้เรามองเห็นถึงความผิดปกติได้ ก่อนที่บริษัทจะมีปัญหา
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าคุณ Mark Minervini เทรดเดอร์ชื่อดังระดับโลก มีวิธีการตรวจสอบคุณภาพกำไรของบริษัทอย่างไร
แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบคุณภาพกำไรที่เขียนไปข้างต้น เป็นหลักการเพียงบางส่วนเท่านั้น
1
เพราะนอกจากตัวเลขต่าง ๆ ในงบการเงินแล้ว คุณ Mark Minervini ยังย้ำเตือนให้สนใจเรื่อง ปัจจัยทางด้านคุณภาพ เช่น ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท รวมถึงความสามารถ และธรรมาภิบาลของผู้บริหาร
เพราะสิ่งเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุน ควรจะต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นสักตัวเช่นกัน..
1
References
-หนังสือ เทรดอย่างพ่อมดตลาดหุ้น (2563)
โดย มาร์ก มิเนอร์วินี
โฆษณา