4 เม.ย. เวลา 05:00 • สุขภาพ

สธ.เฝ้าระวังโรค "แบคทีเรียกินเนื้อ" ไทยยังไม่พบอุบัติการณ์ติดเชื้อเพิ่มขึ้น

สธ.เฝ้าระวังโรคแบคทีเรียกินเนื้อ กลุ่มเสี่ยงคือเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ยันไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ ไม่พบการระบาดรุนแรงในไทย ขออย่าตื่นตระหนก
กรมควบคุมโรค เผยแพร่เอกสารข่าวชี้แจงกรณีพบการเพิ่มขึ้นของโรค “แบคทีเรียกินเนื้อ” ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ ในประเทศญี่ปุ่น ที่ทางการญี่ปุ่นกำลังสืบค้นหาสาเหตุของการเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิดร่วมกับสาเหตุอื่นๆ
กรมควบคุมโรค ระบุว่า โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย “สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ” เป็นเชื้อก่อโรคที่มีมานานแล้ว และมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ก่อให้เกิดอาการแสดงของโรคได้หลายรูปแบบ
สธ.ติดตามโรค "แบคทีเรียกินเนื้อ"
ตั้งแต่อาการน้อยหรือปานกลาง เช่น ติดเชื้อของคอหอย ต่อมทอนซิล และระบบทางเดินหายใจ หรืออาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง
ส่วนหนึ่งของผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรง (ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย) ได้แก่ มีการอักเสบอย่างรุนแรงของผิวหนังชั้นลึก หรือเกิดภาวะช็อกที่อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
หนึ่งในอาการแสดงของโรค และอยู่ในระบบเฝ้าระวังของประเทศไทยคือ “โรคไข้อีดำอีแดง” หรือ Scarlet fever ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เกิดได้ทุกช่วงอายุ แต่มักเป็นในเด็กวัยเรียน
ติดต่อจากคนสู่คนโดยการใกล้ชิดและหายใจรับละอองฝอยของเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ที่มีเชื้อ หรือละอองเชื้อโรคสัมผัสกับตา จมูก ปาก หรือสัมผัสผ่านมือ สิ่งของเครื่องใช้ เช่น จาน ชาม แก้วน้ำ เป็นต้น
กลุ่มเสี่ยงโรค
  • 1.
    เด็กวัยเรียน อายุ 5 - 15 ปี ที่อยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น เด็กนักเรียนในโรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก ฯลฯ
  • 2.
    ผู้สูงอายุ
  • 3.
    ผู้ป่วยเบาหวาน
  • 4.
    ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นผู้ที่มีรอยโรคที่ผิวหนังมาก่อน
อาการที่พบ
  • เจ็บคอ
  • ปวดศีรษะ
  • เป็นไข้
  • อาจมีผื่นนูนสากๆ ตามร่างกาย (จากเชื้อสร้างสารพิษ) สัมผัสแล้ว มีลักษณะคล้ายกระดาษทราย
หากพบอาการข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะถ้าหลังกลับจากต่างประเทศ ภายในช่วง 1 สัปดาห์แรก เพื่อรับการวินิจฉัย รักษา และแยกโรคอย่างถูกต้อง การเดินทางไปต่างประเทศ ยังคงต้องรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอ
สธ.ติดตามโรค "แบคทีเรียกินเนื้อ"
การติดเชื้อนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ดังนั้นการไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ การได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง รวดเร็ว เหมาะสม จะช่วยให้ลดความรุนแรงของโรค และช่วยลดการแพร่เชื้อสู่คนรอบข้างได้ ในรายที่อาการเป็นมากอาจต้องร่วมกับการผ่าตัดเนื้อตายออก
จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปี 2562 ถึงวันที่ 16 มีนาคม 2567 พบผู้ป่วย 4,989 ราย ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต สำหรับปี 2567 ยังไม่พบรายงาน
กรณีอาการรุนแรงนั้น จากระบบโครงสร้างฐานข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (43 แฟ้ม) ของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2562 - 2566 กรณี Toxic Shock Syndrome พบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล จำนวน 204 ราย เฉลี่ยปีละ 41 ราย และมีแนวโน้มลดต่ำลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ปี 2566 พบผู้ป่วย จำนวน 29 ราย
ส่วนกรณีโรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือโรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) ซึ่งอาจเกิดได้จากแบคทีเรียหลายชนิด โดย 1 ในเชื้อสาเหตุคือ “สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ”
สธ.ติดตามโรค "แบคทีเรียกินเนื้อ"
จากการติดตามใน พ.ศ. 2562 - 2566 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งสิ้น 106,021 ราย มีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยภาวะดังกล่าว 1,048 ราย คิดเป็นอัตราป่วยตายประมาณร้อยละ 1 แนวโน้มการรายงานผู้ป่วยคงที่และลดลงในปี พ.ศ. 2566 โดยมีอัตราป่วย 27.35 ต่อแสนประชากร จากเดิมร้อยละ 32.5 ต่อแสนประชากร พบรายงานผู้ป่วยตลอดทั้งปีแต่สูงสุดในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมของทุกปี
จากการติดตามข้อมูลดังกล่าว ยังไม่พบว่าอุบัติการณ์การติดเชื้อนี้มีการเพิ่มขึ้น หรือรุนแรงขึ้นในประเทศไทย
การป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด สามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อนี้เช่นกัน การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก
โดยกรมควบคุมโรคยังคงติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อ “สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ” ในญี่ปุ่นนี้ อย่างต่อเนื่อง ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก
หากมีข้อสงสัยประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา