4 เม.ย. เวลา 10:08 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Gate of Hell (1953) กวาดทั้งหนังเยี่ยมเมืองคานส์และออสการ์หนังต่างประเทศ

หนังญี่ปุ่นที่มีการใช้สีได้อย่างตระการตาที่สุด
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ช่วงทศวรรษ 1950 ได้กลายเป็นยุคทองของหนังญี่ปุ่น กวาดทั้งรางวัลประดังวงการมากมาย คุโรซาว่าทำราโชมอนออกฉายในปี 1950 ไปคว้ารางวัลสิงโตทองจากเทศกาลหนังเวนิซ หลังจากนั้นไม่นาน ในปี 1953 หนัง Gate of Hell ของผู้กำกับ เทโนะสุเกะ คินุกาสะ ไปคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์(ชื่อเดิมของปาล์มทองคำ)จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ และคว้าออสการ์หนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 1954 พ่วงด้วยรางวัลออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมออสการ์อีกรางวัล
ทั้งสองเรื่องนี้สร้างและจัดจำหน่ายโดยบริษัทไดเอะ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในช่วงนั้น แต่ปัจจุบันไดเอะล้มละลายไปในปี 1971 แล้ว (ไดเอะสร้างหนังระดับโลกมากมาย ทั้งหนังรางวัล และหนังตลาด เรื่องดังๆของไดเอะก็มาก อย่างไอ้บอด ซาโตอิชิ และหนังสัตว์ประหลาดกาเมร่า )
ในประวัติศาสตร์หนังญี่ปุ่นนั้น เริ่มทำหนังสีเรื่องแรกในปี 1951 ส่วนหนังสีญี่ปุ่นเรื่องแรกที่ออกไปฉายนอกประเทศก็คือ Gate of Hell เรื่องนี้นั่นเอง ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ไดเอะทำหนังสีด้วย ถ่ายทำด้วยสีอีสต์แมนคัลเลอร์ สีสันจัดจ้านมาก เป็นหนังที่เล่นกับสีได้สวยงามทั้งสีสันของเครื่องแต่งกาย ธรรมชาติ ฯลฯ เรียกว่าแค่เริ่มทำหนังสี Gate of Hell ก็ใช้ประโยชน์จากสีได้คุ้มค่ามาก
Gate of Hell เปิดเรื่องด้วยม้วนหนังสือแบบโบราณอันงดงาม และการบรรยายบอกเราว่านี่คือปี ค.ศ. 1160 ยุคเฮจิที่กำลังเกิดเหตุการกบฏเฮจิที่กินเวลาประมาณเดือนกว่าๆ ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นการประลองกำลังชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างตระกูลไทระกับตระกูลมินาโมโต
กองกำลังกบฏบุกเข้าปราสาทซันโจ ซามูไรที่ยังคงภักดีต่อองค์จักรพรรดิพยายามต้านทานและออกอุบายใช้ตัวปลอมแต่งกายเป็นเจ้าหญิงหลอกล่อกลุ่มกบฏให้ไปผิดทาง เพื่อซื้อเวลาให้ฝ่ายจักรพรรดิ เลดี้เคสะ(มาชิโกะ เคียว)อาสาปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงหนีไปใต้การอารักขาของโมริโตะ (คาซึโอะ ฮาเซกาวะ) ซามูไรผู้ภักดี เขาพาเคสะหลบหนีไปได้อีกทั้งยังไปแจ้งเตือนคิโยโมริผู้เป็นไดเมียวจนปราบกบฏได้
หลังจากนั้นคิโยโมริมอบรางวัลให้ผู้มีความชอบ โมริโตะดันไปขอรางวัลเป็นขอแต่งงานกับเลดี้เคสะ โดยหารู้ไม่ว่าเธอแต่งงานอยู่แล้วกับวาตารุ ซามูไรผู้เป็นองครักษ์จักรพรรดิ
คราวนี้ก็วุ่นเลย เพราะพอรู้ความจริง แทนที่โมริโตะจะวางมือ เพราะสาวเจ้ามีเจ้าของแล้ว โมริโตะดันดึงดันจะแต่งงานกับเธอให้ได้ ท่ามกลางความขบขันของขุนนางและซามูไรคนอื่นๆ
Gate of Hell อาศัยสงครามกลางเมืองเป็นฉากหลังเพียงเล็กน้อยแค่สักประมาณ 20 นาทีเท่านั้น หลังจากนั้นหนังเข้าสู่ประเด็นความหลงใหลจนขาดสติของมนุษย์จนไม่สามารถมองเห็นเหตุผลได้ ผู้กำกับคินุกาสะทำ Gate of Hell ออกมามีลีลาแบบหนังเมโลดราสุดๆ โดยเฉพาะความดื้อดึงของโมริโตะที่พาให้เห็นถึงความเสื่อมทรามของมนุษย์จนเหมือนพาตนเองเข้าสู่ประตูนรก ประตูที่แขวนศรีษะประจานพวกก่อกบฏ
Gate of Hell พูดถึงความหลงใหล การหลงลืมคุณธรรม ที่แม้จะเป็นเรื่องสากล แต่สิ่งที่หนังแฝงไว้จริงๆ คือการวิพากย์สังคมญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สงครามเมื่อเกือบพันปีที่แล้วได้สะท้อนให้มีการสำรวจอาการป่วยไข้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่นอย่างเข้มข้น Gate of Hell จึงมีความหมายอย่างมากต่อชาวญี่ปุ่นในขณะที่ออกฉาย การตัดสินใจหาทางออกของปัญหาต่างๆของตัวละครจึงสะท้อนกลับไปสู่สังคมที่กำลังฟื้นตัวไม่นาน บนความรู้สึกไม่ไว้วางใจต่อกัน
สุดท้ายต้องมอกว่า Gate of Hell คือหนังญี่ปุ่นที่มีการใช้สีได้อย่างตระการตาที่สุด
ใครสนใจลองเอาชื่อหนังตามด้วยปีไปค้นในยูทูปได้เลยครับ เป็นฉบับสีสันสดใสมาก เพราะบูรณะเป็นดิจิตัล 2k เมื่อปี 2011 พร้อมซับอังกฤษพร้อม
โฆษณา