11 เม.ย. เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

SCB EIC มอง กนง. จะลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้ง ตั้งแต่การประชุมรอบ มิ.ย.

กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี โดย 2 เสียงเห็นว่าควรลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% โดยกรรมการเสียงส่วนใหญ่ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน พร้อมระบุความกังวลหนี้ครัวเรือนสูง และให้ความสำคัญของกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ (Debt deleveraging) ที่ควรมีอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเปราะบางของเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว
ขณะที่กรรมการเสียงส่วนน้อยเห็นว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้นและจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้บ้าง
กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นจากปีก่อนที่ 2.6 % และ 3.0 %
ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ
โดยระบุชัดว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ลดลงช่วงหลังวิกฤต COVID-19 สำหรับด้านเงินเฟ้อ กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.6% และ 1.3% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ ตามราคาอาหารสดที่ปรับลดลงและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ (รูปที่ 1) โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นกลับเข้ากรอบเป้าหมายภายในปลายปีนี้
นอกจากนี้ กนง. มองภาวะการเงินโดยรวมทรงตัว แต่ธุรกิจขนาดเล็กและครัวเรือนรายได้น้อยบางส่วนเผชิญกับภาวะการเงินตึงตัว ในระยะข้างหน้า กนง. เห็นว่ายังมีความไม่แน่นอนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก การเบิกจ่ายงบประมาณ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ยังเป็นประเด็นต้องติดตาม
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากราคาอาหารสดบางกลุ่มและพลังงาน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผลผลิตออกมามากและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ
SCB EIC ยังคาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้
แม้รอบการประชุมนี้ กนง. จะยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.5% แต่การมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ติดต่อกันอีกครั้งหนึ่งยังเป็นการส่งสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า หากพิจารณาผลการประชุมในอดีตพบว่า กนง. มักจะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อส่งสัญญาณต่อตลาดการเงินก่อนจะเปลี่ยนทิศทางอัตราดอกเบี้ย
โดยในการประชุมครั้งนี้ กนง. ยังสื่อสารเน้นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำลง โดยเฉพาะภาคการส่งออกและภาคการผลิตที่เผชิญความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงและภาวะสินค้าล้นตลาด ประกอบกับกรรมการเสียงส่วนน้อยเห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจที่ต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างดังกล่าวและจะช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้ด้วย
ผลการประชุม กนง. ในอดีตก่อนมีการปรับทิศทางอัตราดอกเบี้ย
มุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะสั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากครั้งก่อนมากนัก อย่างไรก็ดี กรรมการเสียงส่วนน้อยได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมในการลดดอกเบี้ยจากรอบก่อนว่า “จะช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้บ้าง” ดังนั้น SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. มีแนวโน้มใช้ผลการ “Recalibrate” นโยบายการเงิน
โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมครั้งต่อไป เพื่อรักษาสถานะความเป็นกลางของนโยบายการเงิน (Neutral stance) กล่าวคือ เป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะไม่กระตุ้นหรือฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจจากระดับศักยภาพที่ประเมินใหม่ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ปรับลดลง
ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินระดับของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว (Neutral rate) สำหรับเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 2.13% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันหากประเมินด้วยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ใน 1 ปีข้างหน้ากำลังจะเข้าสู่ระดับที่สูงกว่าในอดีตแล้ว เป็นสัญญาณสะท้อนถึงความตึงตัวของนโยบายการเงิน
อัตราดอกเบี้ยแท้จริงของไทยกำลังเข้าสู่ระดับที่สูงกว่าในอดีต
หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูง
บทวิเคราะห์โดย...
โฆษณา