13 เม.ย. 2024 เวลา 06:50 • ธุรกิจ

สมองไหล ? ไหลไปไหน ?

สมองไหล คืออะไร ?
สมองไหลเป็นคำสแลง ใช้เรียกอย่างไม่เป็นทางการของการย้ายถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องของบุคคลต่าง ๆ เพื่อไปหาโอกาสที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี หรือหน้าที่การงานที่ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าในประเทศอื่นรวมถึงเกิดความเบื่อหน่ายกับปัญหาคอรัปชันและความรุนแรงต่าง ๆ
คำว่าสมองไหลนอกจากจะเกิดขึ้นในระดับบุคคล เช่น วิศวกรคนหนึ่งหากทำงานที่ไทยจะได้รับเงินเดือนคร่าว ๆ ราว 50,000 บาท ต่อเดือน แต่หากไปทำงานคล้าย ๆ กันที่สหรัฐฯ โดยสอบผ่านเกณฑ์มาตรฐานของสหรัฐฯแล้ว ก็อาจจะได้รับค่าตอบแทนราว 120,000 บาทต่อเดือน
นอกจากสมองไหลจะเกิดขึ้นในระดับบุคคลแล้ว หากเป็นในระดับองค์กร เช่น ซีอีโอคนนี้ย้ายไปทำงานกับอีกบริษัทหนึ่งในต่างประเทศ หรือโรงงานอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิต ซึ่งนอกจากจะสมองไหลแล้วไส้ยังไหลอีกด้วย เพราะดึงเม็ดเงินการลงทุน การจ้างงานผู้คนจำนวนหนึ่งออกไปอีกด้วยและแน่นอนว่าย่อมส่งกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ไม่มากก็น้อย
สมองไหล ไหลไปไหน ?
ก็ต้องไหลไปในที่ที่ได้รับผลตอบแทนดีกว่า คุณภาพชีวิตดีกว่า ปัญหามลภาวะน้อยกว่า สิ่งแวดล้อมดีกว่า น่าอยู่กว่า อาชญากรรมต่ำกว่า ซึ่งปัจจัยที่ว่ามา โดยมากแล้วเงื่อนไขปัจจัยดังกล่าวจะมีอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
เราใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการระบุว่าประเทศไหนพัฒนาแล้ว กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ?
ไม่มีคำนิยามที่จำเพาะเจาะจงว่าประเทศที่พัฒนาแล้วต้องมีลักษณะแบบไหน แต่นักเศรษฐศาสตร์ต่างเห็นพ้องต้องกันโดยให้คำจำกัดความคร่าว ๆ ว่า คือการที่ประเทศนั้นๆ มี GDP ต่อหัวตั้งแต่ 20,000 เหรียญฯ ต่อปีขึ้นไป เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง มีตลาดที่ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลไกลตลาดดำเนินไปด้วยความเสรีและยุติธรรม รวมทั้งได้คะแนนในส่วนของดัชนีการพัฒนามนุษย์ human development index (HDI) อยู่ในขั้นที่ดี
ส่วนผสมของปัจจัยที่ว่ามานี้ล้วนมีความสำคัญ นั่นจึงทำให้ IMF ได้จัดให้ประเทศสเปนอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนบรูไนนั้นยังไม่ใช่ ทั้ง ๆ ที่ GDP ต่อหัวของบรูไนนั้นสูงกว่าของสเปนถึง 50%
ต้นทุนของประชากรวัยเด็ก
เรามาเริ่มต้นกันจากวัยเด็ก ในประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศที่พัฒนาแล้วก็จะมีสวัสดิการที่เริ่มตั้งแต่ให้เงินอุดหนุนเป็นค่าเลี้ยงดูต่อเดือน ค่าเล่าเรียนฟรีรวมถึงสวัสดิการอื่น ๆ ที่ภาครัฐมีให้กับประชากรวัยเด็กเหล่านี้ จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ แต่แน่นอนว่านี่เป็นเงินที่ดึงมาจากระบบเศรษฐกิจของประเทศเพื่อมาดูแลเด็ก ๆ โดยที่เด็ก ๆ นั้นได้รับเงินอุดหนุนจากระบบเศรษฐกิจมากกว่าที่พวกเขาได้จ่ายคืนเข้าระบบเศรษฐกิจ
พวกเขาจะเริ่มจ่ายคืนเข้าระบบเศรษฐกิจได้ก็ต่อเมื่อได้เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ดังนั้นการลงทุนในเด็กจากทั้งฝั่งรัฐบาลและครอบครัวของเด็กเองย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้น พ่อแม่ของพวกเขาก็เริ่มเข้าสู่วัยผู้สูงอายุซึ่งก็จำเป็นต้องใช้เงินจากระบบเศรษฐกิจเข้าไปดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่ทำรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจลดลง
หากประชากรวัยเด็กที่เติบโตขึ้นนี้มีคนเก่ง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เป็นกลุ่มคนที่มีประสิทธิภาพก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นคนกลุ่มที่เสียภาษีมากที่สุด สร้างมูลค่าให้ประเทศชาติมากที่สุดและยังมีโอกาสสูงที่จะผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาเพื่อทำให้ประเทศมีรายได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
สำหรับประเทศด้อยพัฒนา รัฐบาลไม่มีสวัสดิการหรือมีสวัสดิการเพียงแค่ในบางเรื่อง การมีลูกในประเทศเหล่านี้ยังคงมีภาระค่าใช้จ่ายที่น้อยมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมีต้นทุนค่าแรงที่ต่ำได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศยากจนส่วนใหญ่ถึงมีประชากรวัยหนุ่มสาวที่มีลูกกันมาก ตรงข้ามกับในประเทศที่ร่ำรวยที่ผู้คนมีรายได้ต่อหัวมาก แต่ต้นทุนการเลี้ยงลูกนั้นก็มีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงตาม พ่อแม่ต้องหยุดงานเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อมาดูแลลูกที่ยังเล็ก
นอกจากนั้นแล้วในประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่มีกฏหมายคุ้มครองการใช้แรงงานเด็กแม้จะเป็นธุรกิจในครอบครัวก็ตาม การที่จะมีลูกแล้วให้มาช่วยงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก ต่างจากประเทศด้อยพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเกษตร เด็ก ๆ สามารถช่วยครอบครัวทำงานได้ นอกจากนั้นแล้วยังเติบโตขึ้นมาเพื่อรับช่วงต่อจากรุ่นพ่อแม่ได้รวมถึงคาดหวังว่าจะช่วยเหลือพ่อแม่จุนเจือครอบครัวได้ยามท่านแก่ชรา
ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยแรงงาน
ประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาทั่วโลก ต่างเผชิญกับเรื่องของประชากรหดตัว มีอัตราการเกิดต่ำ พวกเขาไม่มีเด็กมากเพียงพอที่จะเติบโตขึ้นมาสู่กลุ่มประชากรวัยแรงงานทดแทนผู้สูงอายุ ถ้าหากคนส่วนใหญ่แก่เกินไปที่จะทำงานได้แล้ว ก็จะสร้างภาระหนักต่อประชากรวัยทำงานที่พวกเขาต้องทุ่มเททำงานให้หนักขึ้นเพื่อดูแลผู้สูงอายุหรือในทางกลับกัน คนวัยทำงานถูกบังคับให้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะให้เพียงพอกับต้นทุนการดูแลประชากรวัยสูงอายุ
ก็ต้องมองหาแรงงานที่มีศักยภาพ
แต่แรงงานที่มีศักยภาพที่จะเข้ามาทดแทนแรงงานที่หายไปนั้น จะเลือกไปที่ไหนกัน ? แน่นอนว่าก็ย่อมต้องเลือกไปในที่ที่ให้ค่าแรงสูงกว่า สภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยดีกว่า มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีกว่า คอรัปชั่นต่ำ มลภาวะต่ำ ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วย่อมเป็นตัวเลือกแรก ๆ
ภายหลังการระบาดของโควิด 19 มีอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นมากบวกกับมีแรงงานในภาคการผลิตต่ำ รัฐบาลประเทศต่าง ๆ เปิดให้มีการรับผู้อพยพที่มีทักษะความสามารถเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่แรงงานเหล่านี้จะเข้าช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมผู้สูงอายุแล้ว พวกเขายังเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย
การที่ผู้คนย้ายมายังประเทศใหม่นั้น พวกเขาจำเป็นต้องซื้อสิ่งของมากมายเพื่อเริ่มต้นชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรถคันใหม่ เฟอร์นิเจอร์ใหม่ โทรศัพท์ใหม่ อินเตอร์เน็ตรายเดือนรวมถึงอาจจะซื้อบ้านใหม่ ค่ากิน ค่าอยู่อื่น ๆ อีกมากมายเป็นต้น ซึ่งไม่ว่าพวกเขาจะซื้อหรือว่าเช่าก็ตาม แรงงานที่มีทักษะเหล่านี้ก็จะต้องนำเงินจากประเทศแม่เข้ามายังประเทศใหม่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศใหม่
ประเทศพัฒนาแล้วสามารถเลือกได้ว่าพวกเขาต้องการคนทำงานที่มีทักษะหรือคนเก่ง ๆ จำนวนเท่าไหร่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มหรือลดจำนวน VISA แต่นี่ทำให้ประเทศที่แรงงานสมองไหลจากมาเจ็บปวดไม่ใช่น้อย
เพราะหมายถึงการที่ประเทศเพิ่งจะเสียคนเก่ง ๆ ทำงานมีประสิทธิภาพไป โดยที่พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะเสียภาษีให้ประเทศมากที่สุด สร้างมูลค่าให้ประเทศมากที่สุดและมีโอกาสสูงที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาเพื่อทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นกว่าเดิม แล้วยังเป็นการดึงเอาศักยภาพของแรงงานออกไปจากสังคมผู้สูงอายุ ประเทศที่ลงทุนไปกับการฟูมฟักเด็กเล็ก ๆ แต่แล้วพวกเขาก็ไม่ได้รับอะไรกลับมาจากการลงทุนนั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
…. …… …… อ่านเนื้อหาเต็มได้ที่ https://herothailand.com/6buz
โฆษณา