13 เม.ย. เวลา 12:43 • กีฬา

ประโยคอมตะตลอดกาล WE GO AGAIN สู่วันที่เศร้าที่สุดของหงส์แดง

13 เมษายน 2014 หรือวันนี้เมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก นัดตัดสินแชมป์ ระหว่างลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามแอนฟิลด์ ว่ากันว่า ในเกมนั้นใครเป็นผู้ชนะ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2013-14 ไปครอง
ส่วนตัวผม เกมนั้นอยู่ในความทรงจำจริงๆ เพราะผมเป็นคนพากย์ภาษาไทยทาง CTH ร่วมกับคุณอาบิ๊กจ๊ะ - สาธิต กรีกุล จึงจดจำได้แทบจะทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นในเกมเลยครับ
ย้อนกลับไป วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน ลิเวอร์พูลลงเล่นเกมที่ 34 ของฤดูกาล เจอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ลงเล่นนัดที่ 32 ของฤดูกาล
สถานการณ์ก่อนเกม มี 3 ทีม ที่แย่งแชมป์ในฤดูกาลนั้น คือ เชลซี, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยอันดับในตารางคะแนนเป็นแบบนี้ครับ
อันดับ 1 - เชลซี แข่ง 34 นัด มี 75 แต้ม
อันดับ 2 - ลิเวอร์พูล แข่ง 33 นัด มี 74 แต้ม
อันดับ 3 - แมนฯ ซิตี้ แข่ง 31 นัด มี 70 แต้ม
ความหมายคือถ้าในนัดนี้ ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนฯ ซิตี้ได้ พวกเขาจะขึ้นนำเป็นจ่าฝูงแต่เพียงผู้เดียว แล้วอีก 4 เกมที่เหลือ ถ้าหากชนะรวดก็คว้าแชมป์ไปครอง โดยไม่ต้องสนใจผลการแข่งขันของใครทั้งสิ้น
ฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูลคุมทีมโดยเบรนแดน ร็อดเจอร์ส พวกเขามีองค์ประกอบทีมที่ไม่เลวทีเดียว คู่หัวหอก มีหลุยส์ ซัวเรซ กับ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่ช่วยกันยิงประตูกระจาย จนเป็นดาวซัลโว และ รองดาวซัลโว ของลีกพร้อมกันในปีเดียว
ส่วนปีก และ มิดฟิลด์ตัวรุก ก็มีดาวรุ่งราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขณะที่แผงกองกลาง คู่ที่ร็อดเจอร์สใช้บ่อย คือสตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ถอยต่ำลงมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ใช้การวางบอลยาวสไตล์อันเดรีย ปิร์โล่ เล่นร่วมกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ทำหน้าที่เป็นกองกลางมดงาน คอยขับเคลื่อนวิ่งขึ้นลงตลอดเวลา
1
ในเกมเจอแมนฯ ซิตี้ ทั้ง 6 คนที่กล่าวมา ลงเล่นเป็นตัวจริงพร้อมกันทั้งหมด ทีมหงส์แดงเดินหน้าลุยแหลกตั้งแต่นาทีแรกเพื่อปิดบัญชีแมนฯ ซิตี้ให้ได้ และเพียงแค่ 6 นาทีแรกเท่านั้น ก็ขึ้นนำ 1-0 จากพรสวรรค์ของราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ล็อกหลบแวงซ็องต์ ก็องปานีจนหลังหัก แล้วยิงเข้าโกล์โล่งๆ เป็นประตู จากนั้นได้ประตูนำ 2-0 จากลูกเตะมุม มาร์ติน สเคอร์เทล โหม่งจ่อๆ เข้าไปตุงตาข่าย
แมนฯ ซิตี้ ณ เวลานั้น คุมทีมโดยมานูเอล เปเยกรินี่ ครึ่งหลังเล่นได้มีทรงขึ้น และคัมแบ็กกลับมาได้สำเร็จ นาทีที่ 57 ตีไข่แตกเป็น 2-1 ได้ประตูจากดาบิด ซิลบา ก่อนที่นาที 62 จะตีเสมอ 2-2 จากการทำเข้าประตูตัวเองของเกล็น จอห์นสัน
โมเมนตั้มเหวี่ยงเป็นของแมนฯ ซิตี้ ที่เดินหน้าลุยแหลก บุกหนักในแอนฟิลด์ จนมีโอกาสชนะหงส์แดงคาบ้านได้เลย อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 78 จากโมเมนต์ที่ไม่น่าจะมีอะไรเลย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ วิ่งมายิงตามน้ำโป้งเดียวแบบไม่จับ บอลพุ่งผ่านมือโจ ฮาร์ทเข้าไป ให้ลิเวอร์พูลพลิกขึ้นนำเป็น 3-2
คูตินโญ่ คือนักเตะที่พิเศษจริงๆ เขาสามารถเสกบางอย่างขึ้นมาได้อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเหตุผลที่เขาถูกตั้งฉายาว่า "พ่อมด" นั่นเอง
1
ลิเวอร์พูลรักษาสกอร์ขึ้นนำ เอาไว้ได้จนถึงนาที 90+3 เกมจะจบอยู่แล้ว แต่วิคเตอร์ โมเสส ทำเสียบอลกลางสนาม บอลเด้งมาเข้าทางจอร์แดน เฮนเดอร์สัน เขาจับบอลยาว ทำให้ซามีร์ นาสรี่ วิ่งเข้ามาจะแย่งบอล เฮนเดอร์สันตัดสินใจชั่ววูบเสียบสองขา เพื่อสกัดนาสรี่ไม่ให้ถึงบอล แต่ประเด็นคือ กรรมการมาร์ก แคลทเทนเบิร์ก อยู่ตรงนั้นพอดี แล้วควักใบแดงไล่เฮนเดอร์สันออกจากสนาม โทษฐานทำฟาวล์รุนแรง ต้องโดนแบน 3 นัดเต็มๆ
1
นี่คือการกระทำที่ขาดความยั้งคิดของเฮนเดอร์สันอย่างมาก คือต่อให้โดนนาสรี่ตัดบอลได้ ก็ไม่เห็นเป็นไร อีกไม่กี่นาที เวลาก็จะหมดอยู่แล้ว แต่พอเขาโดนแบน 3 นัด มันส่งผลกระทบต่อทีมอย่างมหาศาล เพราะใน 3 จาก 4 เกมที่เหลือ ทีมต้องขาดมิดฟิลด์คนสำคัญไปเลย
หลังจากทดเวลาครบ 6 นาที กรรมการเป่าหมดเวลา ลิเวอร์พูลชนะ 3-2 อย่างสุดมันส์ ทำให้อันดับในตารางพลิกผันในชั่วข้ามคืน
5
อันดับ 1 - ลิเวอร์พูล แข่ง 34 นัด มี 77 แต้ม
อันดับ 2 - เชลซี แข่ง 34 นัด มี 75 แต้ม
อันดับ 3 - แมนฯ ซิตี้ แข่ง 32 นัด มี 70 แต้ม
ลิเวอร์พูลขึ้นมากุมความได้เปรียบ และถ้าชนะอีก 4 เกมที่เหลือ ได้แก่ เยือนนอริช, เหย้าเชลซี, เยือนคริสตัล พาเลซ และ เหย้านิวคาสเซิล พวกเขาก็จะได้แชมป์ทันที โดยไม่ต้องสนใจผลการแข่งขันของใครทั้งนั้น
พอจบเกมปั๊บ นักเตะลิเวอร์พูลทั้งหมด 10 คน วิ่งมากอดกันกลม กลางสนาม เพราะสามารถเอาชนะได้ในเกมที่ยากที่สุดแล้ว มามาดู ซาโก้, จอน ฟลานาแกน, ซิมง มิโญเลต์, หลุยส์ ซัวเรซ, วิคเตอร์ โมเสส, ลูคัส เลย์ว่า, โจ อัลเลน, มาร์ติน สเคอร์เทล, เกล็น จอห์นสัน ทุกคนมาล้อมวงกัน โดยมีสตีเว่น เจอร์ราร์ด อยู่ตรงกลาง
โมเมนต์นั้นเจอร์ราร์ดถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะมันเป็นเกมที่กดดันบีบคั้นมากๆ แต่ลิเวอร์พูลพลิกกลับมาชนะได้ ทะยานขึ้นเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จ โดยเหลือเกมให้แข่งอีกแค่ 4 นัดเท่านั้น
1
และในวินาทีนั้นเอง เจอร์ราร์ด พูดประโยคว่า "This does not f-ing slip now! This does not f-ing slip! Listen! We go to Norwich, exactly the same! We go again!"
แปลเป็นไทยว่า "จะไม่มีการลื่นสะดุดล้มอะไรตอนนี้! ฟังนะ เราจะไปที่นอริช แล้วเล่นให้ดีแบบนี้เป๊ะเลย เราจะลุยกันต่ออีกครั้ง!"
3
นี่เป็นประโยคปลุกใจที่ทรงพลังมาก แต่ความน่าสนใจคือ คำที่เจอร์ราร์ดเลือกใช้ คือ Slip หรือ สะดุดลื่นล้ม ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า มันจะกลายเป็นสิ่งที่มาหลอกหลอนเขาในภายหลัง
สาเหตุที่เจอร์ราร์ดมีอารมณ์ร่วมมากๆ เพราะ ณ เวลานั้น เขาอายุใกล้จะ 34 ปีแล้ว ว่ากันตรงๆ เขาเองไม่คิดฝันว่าจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแล้ว แทบจะตัดใจอยู่แล้ว แต่อยู่ๆ ทีมก็เล่นได้อย่างสุดยอดในฤดูกาล 2013-14 ทำให้ความหวังสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวของเขามีโอกาสเป็นจริงได้เสียที ไม่มีใครหรอก ที่อยากจะแขวนสตั๊ดไป โดยที่ไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองสักครั้ง
ในสัปดาห์ต่อมา ลิเวอร์พูลบุกไปชนะ นอริชได้ 3-2 ส่วนเชลซีแพ้ซันเดอร์แลนด์ 2-1 คาบ้าน ขณะที่แมนฯ ซิตี้ เล่น 2 นัด เสมอซันเดอร์แลนด์ 2-2 และ ชนะเวสต์บรอมวิช 3-1 ทำให้สถานการณ์ในตารางลิเวอร์พูลกุมความได้เปรียบสุดๆ
อันดับ 1 - ลิเวอร์พูล แข่ง 35 นัด มี 80 แต้ม
อันดับ 2 - เชลซี แข่ง 35 นัด มี 75 แต้ม
อันดับ 3 - แมนฯ ซิตี้ แข่ง 34 นัด มี 74 แต้ม
แปลง่ายๆ คือ อีกสามนัดที่เหลือของลิเวอร์พูล เหย้า เชลซี, เยือน คริสตัล พาเลซ และ เหย้า นิวคาสเซิล พวกเขาสามารถ ชนะ 2 เสมอ 1 ก็เพียงพอต่อการเป็นแชมป์แล้ว ไม่ต้องชนะรวดทั้งหมดก็ได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น คงไม่มีแฟนลิเวอร์พูลคนไหนลืมลง วันที่ 27 เมษายน 2014 ลิเวอร์พูลเปิดบ้านลงเล่นนัดที่ 36 ของฤดูกาลเจอกับเชลซี
1
โดยโชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมเชลซี พักนักเตะตัวจริง "แทบทั้งทีม" ขนสำรองลงยกเซ็ต เพราะพวกเขาตัดใจจากการลุ้นแชมป์ลีกไปแล้ว ไปโฟกัสที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่กำลังจะลงแข่งในรอบรองชนะเลิศกับแอตเลติโก้ มาดริด ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เชลซีดร็อป จอห์น เทอร์รี่, ดาวิด ลุยซ์, แกรี่ เคฮิลล์, เอแด็น อาซาร์, รามิเรส, วิลเลียน, เฟร์นันโด ตอร์เรส แล้วส่งกลุ่มที่ไม่ค่อยได้ลงเล่น ลงสนาม เช่น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เดมบ้า บา และ โทมัส คาลาส เป็นต้น
ในเกมนั้นเชลซี ตั้งใจมาเล่นเกมรับเต็มรูปแบบ คือการส่งสำรองลงเยอะขนาดนั้น ก็ชัดเจนว่าพวกเขาหวังแค่ผลเสมอออกจากแอนฟิลด์
ถ้าหากลิเวอร์พูลคิดอ่านอย่างรอบคอบ เลือกดึงเกมนี้ให้จบด้วยการเสมอ แล้วค่อยไปเอาชนะ 2 เกมหลังกับพาเลซ และนิวคาสเซิล พวกเขาก็ได้แชมป์เหมือนกัน
แต่ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจว่า จะไม่มีการดึงเอาเสมอ แต่จะเล่นเต็มสูบเอาชนะเชลซีให้ขาดลอยไปเลย ทั้งๆ ที่ไลน์อัพผู้เล่นก็ไม่ค่อยพร้อม แดเนียล สเตอร์ริดจ์ไม่ฟิต ส่วนจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ติดโทษแบน ความมั่นใจของร็อดเจอร์สพุ่งสูงติดเพดานมาก ว่ายังไงก็ชนะเชลซีได้แน่
1
เจอร์ราร์ดเล่าเรื่องนี้ในภายหลังว่า "ผมกังวลนะ กับแนวทางที่เราจะใช้กับเชลซี ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณชนมาก่อน แต่ผมกังวลใจมากจริงๆ ที่เราคิดว่าจะถล่มเชลซีให้กระจุย ผมรู้สึกได้ว่าเบรนแดน มีความมั่นใจมากเกินไป เขาอยากให้เราบุกใส่เชลซีสุดตัว เหมือนที่ทำกับแมนฯ ซิตี้ และ นอริช แต่มันจะกลายเป็นว่า เราไปเล่นฟุตบอลเข้าทางของมูรินโญ่หรือเปล่า?"
4
ในครึ่งแรกเกมไม่มีอะไร เชลซีก็เล่นประคองไปเรื่อยๆ แต่แล้ว ในนาทีที่ 45+3 ก็เกิดเหตุการณ์คลาสสิคตลอดกาล เมื่อมามาดู ซาโก้ จ่ายบอลธรรมดาๆ ให้เจอร์ราร์ดเล่น แต่เขาจับบอลพลาด แล้วลื่นล้มในช็อตต่อมา จนโดนเดมบ้า บา แย่งบอลไปดื้อๆ แล้วยิงผ่านมิโญเล่ต์เข้าไปง่ายๆ เชลซีนำ 1-0
จังหวะลื่นของเจอร์ราร์ดนั้น ไม่ใช่แค่ลื่นปกติ แต่มีความซับซ้อนอยู่ คือตอนที่ซาโก้ส่งบอล เจอร์ราร์ดละสายตาออกจากบอล แต่กวาดสายตามองเพื่อน ว่าจะส่งให้ใครต่อ วินาทีนั้น เขาลืมตัวว่าบอลมาถึงแล้ว จึงจับบอลพลาด และโดนฉกไปยิง
น่าคิดว่าถ้าเบรนแดน ร็อดเจอร์สใส่ Mindset ให้นักเตะในเกมนี้ ด้วยความระวังตัวที่สุด เน้นเพลย์เซฟเข้าไว้ สนใจเกมรับก่อนเกมรุก บางทีจังหวะนั้นเจอร์ราร์ดอาจมีสมาธิกับลูกบอลมากกว่านี้ ไม่ใช่มองแต่หนทางที่จะสร้างโอกาสทำประตู
1
อย่างไรก็ตาม ไปโทษโค้ชอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะยังไงเจอร์ราร์ด ก็ทำพลาดอยู่ดีที่จับบอลไม่อยู่ในลูกนั้น จนนำมาสู่การลื่นล้ม มันคือความผิดที่ร้ายแรงมาก จนทีมอาจพังได้เลย
ประเด็นคือ การลื่น ในภาษาอังกฤษคือ Slip ถ้าย้อนกลับไป ตอนเจอร์ราร์ดพูดปลุกใจเพื่อนๆ หลังเกมชนะแมนฯ ซิตี้ เขาใช้คำว่า This does not f-ing slip now! คือคำว่า "ลื่น" ที่เจอร์ราร์ดใช้พูดปลุกใจวันนั้น มันดันมาเกิดกับเขาจริงๆ ในวันนี้ ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง
1
พอลิเวอร์พูลโดนเชลซีนำ 1-0 ทั้งทีมลนลานทันที เพราะทั้งฤดูกาลแทบไม่เคยโดนนำมาก่อนเลย จะยิงนำคู่แข่งตลอด ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น เมื่อโชเซ่ มูรินโญ่ สั่งให้ลูกทีมทั้งหมดถอยรับมาลึกมาก เล่น Low Block เต็มรูปแบบเพื่อรักษาสกอร์ 1-0 ไว้ให้ได้ จนหลุยส์ ซัวเรซ ถึงกับงง แล้วเดินไปถามกองหลังเชลซีว่า "ทำไมพวกนายเล่นเกมรับลึกขนาดนี้"
สุดท้ายลิเวอร์พูลได้แต่ยิงไกลนอกเขตโทษอย่างไร้จุดหมาย ไม่ใกล้เคียงกับการได้ประตู และช่วงทดเจ็บของครึ่งหลัง นาที 90+4 เชลซีโต้กลับเร็ว แล้วได้ประตูที่สองจากวิลเลียน จบเกมชนะ 2-0 แบบที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
ร็อดเจอร์สให้สัมภาษณ์หลังเกมโจมตีเชลซีว่า "พวกเขามาที่นี่เพื่อขอผลเสมอ มีแต่เราทีมเดียวที่ต้องการคว้าชัยชนะ"
คือคำพูดของร็อดเจอร์ส ถือว่าผิดเพี้ยนอย่างมาก เพราะถ้าเชลซีต้องการมาแอนฟิลด์เพื่อเอาผลเสมอ แล้วทำไมลิเวอร์พูลถึงไม่รับเอาผลเสมอนั้นไว้ล่ะ เพราะแค่เสมอก็เพียงพอที่จะกุมความได้เปรียบในการลุ้นแชมป์อยู่แล้ว แต่นี่เขาเลือกจะบุกเต็มสูบเพื่อให้เอาชนะโดยเด็ดขาด จนไปเข้าทางของมูรินโญ่
1
การแพ้เชลซีคาบ้านนัดนั้น ทำให้เกิดผลเสียหายอย่างรุนแรงมาก เพราะมันเป็นการปลุกผีแมนฯ ซิตี้ ให้กลับคืนชีพมาทันที โดยแมนฯ ซิตี้ เอาชนะได้ในเกมตกค้างที่เหลือทั้งหมด ทำให้อันดับในตารางคะแนนพลิกผัน
อันดับ 1 - แมนฯ ซิตี้ แข่ง 36 นัด มี 80 แต้ม (ลูกได้เสีย +59)
อันดับ 2 - ลิเวอร์พูล แข่ง 36 นัด มี 80 แต้ม (ลูกได้เสีย +50)
อันดับ 3 - เชลซี แข่ง 36 นัด มี 78 แต้ม (ลูกได้เสีย +43)
ขอแค่ลิเวอร์พูลไม่แพ้เชลซีในเกมนั้น ขอแค่จบด้วยผลเสมอ พวกเขาจะยังนำเป็นจ่าฝูงอยู่ แต่ร็อดเจอร์สก็ทำไม่ได้ เขาวางแท็กติกผิดพลาดจนทีมพัง และแน่นอน การเสียจอร์แดน เฮนเดอร์สันไป 3 เกม ก็ส่งผลเลวร้ายกว่าที่คิดเยอะ
ใน 2 เกมที่เหลือของฤดูกาล ต่อให้ลิเวอร์พูลจะชนะทั้งพาเลซ และ นิวคาสเซิล ก็แทบไม่มีหวังเลย เพราะลูกได้เสียต่างกับแมนฯ ซิตี้ ถึง 9 ลูก ต้องแช่งแมนฯ ซิตี้ ให้ทำแต้มหลุดมือ แต่มันก็ยากมาก เพราะ 2 นัดสุดท้าย แมนฯ ซิตี้ ได้เล่นในบ้านตัวเอง เจอแอสตัน วิลล่า กับ เวสต์แฮม ที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว
1
ตอนจบของฤดูกาล 2013-14 แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองด้วยการถล่มวิลล่า 4-0 และ ชนะเวสต์แฮม 2-0
ส่วนลิเวอร์พูลอีกสองนัดที่เหลือ เสมอคริสตัล พาเลซ 3-3 และ ชนะนิวคาสเซิล 2-1 ยังไงก็ไม่เพียงพอที่จะไปถึงแชมป์อยู่ดี
บทสรุปของเรื่องนี้ คือแชมป์ที่เหมือนจะอยู่ในมือของลิเวอร์พูลอยู่แล้ว กลับ Slip ลื่นหลุดไป อย่างน่าเสียดายจริงๆ และสุดท้ายสตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็ไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แม้แต่หนเดียว จนถึงวันแขวนสตั๊ด
เหตุการณ์ "WE GO AGAIN" เป็นเรื่องราวที่โลกฟุตบอล ยากที่จะลืม เพราะวินาทีนั้นที่ชนะแมนฯ ซิตี้ได้ เหมือนแชมป์จะเป็นของหงส์แดงแน่ๆ แต่เพราะความผิดพลาดแค่นิดเดียว ทำให้แชมป์หลุดมือไปได้เฉยเลย
จากวันนั้น จนถึงวันนี้ เรื่องราวก็ผ่านมาแล้ว 10 ปี เต็มพอดี ทีมหงส์แดงกลับมาอยู่ในจุดที่ "ลุ้นแชมป์" อีกครั้ง
แต่คำถามคือ ตอนจบของเรื่องนี้ แฟนหงส์แดงจะลงเอยด้วยความสุข หรือด้วยน้ำตา อีกแค่ 7 นัดเท่านั้น ทุกคนก็ได้จะคำตอบแล้วครับ
1
#WEGOAGAIN
โฆษณา