19 เม.ย. เวลา 07:18 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

หากตกงานเพราะ AI Robot

AI ไม่ได้ทำให้คนตกงาน หากแต่คนที่ใช้ AI ทำให้คนที่ใช้ AI ไม่เป็นตกงาน
ณ วันนี้ เราอยู่ในกรอบเวลาของการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของเรา วิถีการใช้ชีวิตและแม้แต่สิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เราเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ Artificial intelligence (AI) 3D printing หุ่นยนต์ Big data วิทยาศาสตร์ชีวภาพในระดับพันธุกรรม การวิเคราะห์จากภาพถ่ายทางการแพทย์ เป็นต้น
การนำเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมาปรับใช้ร่วมกันซึ่งไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องใช้เฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ผลิตเทคโนโลยีดังกล่าวขึ้นมาเท่านั้น ทำให้เกิดประโยชน์และความก้าวหน้าทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งก่อนหน้าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการผลิตสิ่งต่างๆ ส่วนมากจะเป็นในบริบทของโรงงานอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมหนัก แต่ทว่าครั้งนี้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ทั่วไปไม่เพียงแต่ในภาคอุตสาหกรรมแต่ยังรวมถึงภาคบริการ มีการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนรวมถึงสิ่งที่ผู้คนเข้าใจกันมาตลอดว่ามีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะทำงานดังกล่าวได้ซึ่งมันไม่จริงอีกต่อไป….
จุดสำคัญของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 นี้ก็คือปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นความสามารถของเครื่องจักร มันเป็นการนำมนุษย์ออกไปจากงานที่ครั้งหนึ่งเราเคยคิดมาตลอดว่ามีเพียงความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เท่านั้นที่จะทำหน้าที่วิเคราะห์ได้ แต่เราก็ค้นพบได้ทันทีว่าอัลกอริธึมก็ทำได้เช่นกัน เครื่องจักรก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งตอนนี้มันอาจจะยังเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นหรือว่ายุคบุกเบิกของปัญญาประดิษฐ์เพียงเท่านั้นแต่ศักยภาพของมันส่งผลดีออกไปอย่างกว้างขวาง
ลองนึกถึงรถยนต์ไร้คนขับ พาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ AI ว่ามันจะส่งผลอย่างไรต่อวิถีชีวิตของผู้คนมากมาย
ผู้สูงอายุที่พวกเขาไม่สามารถขับรถยนต์ได้เอง ถูกบังคับทางอ้อมให้ต้องอยู่กับบ้าน ในตอนนี้ต้องพึ่งพาการขนส่งแบบอื่นอย่างรถยนต์ไร้คนขับที่จะทำให้พวกเขาสามารถไปไหนก็ได้ในชีวิตประจำวัน หรืออย่าง Big data ที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการผลิตยา มียาใหม่ ๆ หลายตัวที่กำลังถูกพัฒนาด้วยกรอบระยะเวลาที่สั้นลงเพราะว่าคอมพิวเตอร์สามารถช่วยค้นคว้าข้อมูลและเลือกข้อมูลที่เกี่ยวข้องมานำเสนอได้อย่างรวดเร็วและรอบด้าน
สำหรับในเรื่องสุขภาพแล้ว ประโยชน์ที่ได้จากการที่คอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองหรือที่เราเรียกว่า Machine Learning นั้น โดยอาศัยการประมวลผลจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสในการระบุโรคที่หายากหรือโรคที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนที่แตกต่างกันออกไปตามพันธุกรรมได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้น
Photo by Gerard Siderius on Unsplash
… ….. …..
แต่ขณะเดียวกันก็มีด้านมืดของการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยีในครั้งนี้
การปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยีนั้นจะส่งผลต่อตำแหน่งงานในแง่ที่เราจะเห็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่สุด เราจะมีรถบรรทุกที่ขับด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องมีคนขับรถบรรทุกจำนวน 3.5 ล้านคนที่มีอยู่ในสหรัฐฯ ตอนนี้
เมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจก็มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง มีการเปิดตำแหน่งงานใหม่ๆ แต่ประเด็นก็คือผู้คนที่ตำแหน่งงานของพวกเขาถูกแทนที่ด้วย AI ไปแล้วนั้น มีทักษะหรือถูกฝึกให้มีทักษะใหม่เพื่อที่จะสามารถไปทำงานในตำแหน่งใหม่ได้หรือไม่ ถ้าหากเราทำให้คนว่างงานไป 3.5 ล้านตำแหน่งในภาคอุตสาหกรรมหนึ่ง แล้วเราจะสร้างตำแหน่งงานในจำนวนที่เท่ากันหรือมากกว่าในภาคอุตสาหกรรมอื่นได้อย่างไร ?
หากมองไปในอนาคตให้ไกลพอสักระยะหนึ่ง จะพบว่าไม่มีงานใดในระบบเศรษฐกิจของเรา ที่มั่นคงปลอดภัยอย่างที่สุด แม้แต่ศิลปิน นักเขียน งานอะไรที่ในตอนนี้เราคิดว่ามันยากเกินกว่าที่ AI จะทำได้ เราอาจต้องคิดใหม่ งานนับล้าน ๆ ตำแหน่งจะหายไปและมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะสร้างตำแหน่งงานที่เท่ากันมารองรับด้วยเพื่อซึมซับแรงงานเหล่านั้น
ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากขึ้นเท่าไหร่ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ อัลกอริธึมที่ชาญฉลาด ต่างก็เข้ามาทดแทนแรงงานคนเพิ่มขึ้นทุกที ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดแล้วเทคโนโลยีจะทำในสิ่งที่คนเราทำได้หลายอย่างซึ่งจะทำให้ผู้คนตกงาน บีบให้ผู้คนออกจากตลาดแรงงาน หลายคนอาจจะไม่สามารถปรับตัวได้เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถมากกว่าที่เครื่องจักรทำได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งสังคมและเศรษฐกิจ
เราอาจจะเริ่มต้นเห็นผลกระทบวงกว้างต่อเศรษฐกิจ ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษนี้
สิ่งที่เราเห็นได้ในสหรัฐฯ คือสิ่งที่เราเรียกว่าการฟื้นคืนของการว่างงาน ส่วนหนึ่งเกิดจากตำแหน่งงานที่หายไปเนื่องจากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยและหลังจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว บริษัทต่าง ๆ ก็หาทางนำเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานคนเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าจ้างแพง ๆ เงินประกันสังคมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับคน โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องใช้คนจำนวนมาก นั่นหมายความว่ามันก็ต้องใช้เวลานานมากขึ้นกว่าจะมีตำแหน่งงานว่างหรือตำแหน่งงานแบบใหม่เกิดขึ้นมา
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เทคโนโลยีมักส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเสมอ ในตอนปลายศตวรรษที่ 19 แรงงานจำนวน 50% ของสหรัฐฯ เป็นแรงงานภาคเกษตร เมื่อถึงปี 2000 แรงงานภาคเกษตรลดลงเหลือเพียง 2% แรงงานที่เหลือได้หลั่งไหลไปสู่ภาคแรงงานอื่น
สิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้เทคโนโลยีใหม่มีความแพร่หลายนั่นก็คือการพัฒนา Big data สำหรับ Big data แล้วนั้นจะมีความจำเป็นอย่างมากในอนาคต เนื่องจากเป็นที่สะสมข้อมูลปริมาณมาก
องค์กรหรือว่าหน่วยงานขนาดใหญ่หลายแห่ง ต่างก็กำลังรวบรวมข้อมูลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการจัดการธุรกิจ ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่พนักงานกำลังทำ ข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมไว้นี้ จะทำหน้าที่เป็นเป็นคลังข้อมูลคอยป้อนให้กับอัลกอลิธึมอันชาญฉลาด ซึ่งสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการเรียนรู้และหาทางว่าจะทำอย่างไรให้เกิดการพัฒนาต่อไป ซึ่งมันเป็นการดิสรัปที่เกิดขึ้นเร็วมาก
ข้อมูลทั้งหมดที่เก็บรวบรวมไว้ในคอมพิวเตอร์บนโลกใบนี้ถึงตอนนี้เชื่อกันว่ามีมากกว่า หนึ่งล้านล้านกิกะไบต์!! และนี่เองที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการดิสรัป ส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด นำไปสู่การทำให้เครื่องจักรสามารถคิดได้เอง
……..
สิ่งที่เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ แม้แต่ในทุกวันนี้ก็คือ คอมพิวเตอร์ทำงานได้ตามที่ถูกโปรแกรมไว้ ซึ่งมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว เหตุผลที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นต่อไปก็เพราะว่า machine learning ในตอนนี้เรามีเทคโนโลยีที่ยอมให้อัลกอริธึมอัญชาญฉลาดของซอฟท์แวร์สามารถค้นข้อมูลและเรียนรู้หาทางทำสิ่งต่าง ๆ ออกมา หรือทำการพยากรณ์ ซึ่งมันหมดยุคที่คนจะนั่งเก้าอี้ป้อนคำสั่งเข้าไปให้คอมพิวเตอร์ทำสิ่งที่ต้องการออกมาทีละขั้นตอน ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการค้นหาคำตอบด้วยตัวมันเอง
IBM กำลังทำโครงการวิจัยในชื่อ Watson Augment สติปัญญาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้รักษาโรคที่ร้ายแรงที่สุดได้อย่างเช่นมะเร็งผิวหนัง
เมลาโนมา melanoma เป็นมะเร็งผิวหนังที่ร้ายแรงที่สุด หากสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก็สามารถรักษาได้ทัน ดังนั้นประเด็นสำคัญก็คือแพทย์โรคผิวหนังต้องเจอกับผู้ป่วยที่มีรอยโรคที่ผิวหนังแล้วทำการประเมินเกี่ยวกับแนวโน้มของรอยโรคว่าจะพัฒนาเป็น melanoma ได้หรือไม่
ในปัจจุบันแพทย์ผิวหนังยังมีข้อมูลเพื่อวินิจฉัยเคสของผู้ป่วยบางรายไม่เพียงพอ จึงทำให้วินิจฉัย melanoma ผิดไป ส่วนรอยโรคที่ผิวหนังบางอย่างก็เป็นเพียงเนื้องอกซึ่งเราไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมันก็ได้ สิ่งที่ IBM ทำอยู่ตอนนี้ก็คือให้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ภาพถ่าย ซึ่งบางภาพคอมพิวเตอร์ก็จะบอกเราว่ามีแนวโน้มสูงที่รอยโรคนั้นจะพัฒนาเป็นมะเร็งผิวหนัง
เมื่อดูผลการวิจัยย้อนหลังของระบบ AI ดังกล่าวนี้พบว่าคอมพิวเตอร์สามารถบอกได้แม่นยำ 95% ซึ่งเทียบเท่ากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดในตอนนี้ที่ความแม่นยำจะอยู่ระหว่าง 75% ถึง 84% ในการวินิจฉัยอย่างถูกต้องว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง มันไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาทดแทนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่จะเป็นผู้ช่วยแพทย์ในการให้ข้อมูลสำหรับวิเคราะห์เพิ่มเติมโดยอาศัยการเข้าถึงฐานข้อมูลของรอยโรคที่คล้ายคลึงกันได้อย่างรวดเร็วและหลากหลายครอบคลุม
ลองจินตนาการว่าในอนาคต อุปกรณ์ทุกอย่าง เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด อุปกรณ์ทุกชนิดในอุตสาหกรรม ทุก ๆ สิ่งสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ สิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือ ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างและจะเกิดการพัฒนาให้มีความฉลาดมากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาเราพบเห็นการใช้หุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนภาคแรงงานบางส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือในโรงงานที่ใช้ระบบสายพานการผลิตที่ต้องทำงานซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานาน แต่การดิสรัปครั้งใหม่นี้กำลังคืบคลานเข้าไปสู่การแทนที่คนทำงานในระดับบริหารด้วยเช่นกัน
เมื่อเครื่องจักรต้นแบบเรียนรู้ในการทำงานได้คล่องแล้ว เราก็จะได้อัลกอริธึมที่ลงตัวกับเครื่องจักรอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็ขยายต้นแบบจากเครื่องดังกล่าวไปสู่เครื่องจักรอีกมากมายได้ เหมือนเราฝึกพนักงานกลุ่มหนึ่งให้มีทักษะทำงานได้คล่องแล้วก็ให้พนักงานกลุ่มนั้นไปสอนงานพนักงานกลุ่มใหม่ได้ต่อไป นี่คือการเทียบเคียงเพื่อให้เห็นภาพว่า machine learning สามารถเพิ่มลดสเกลของการทำงานได้ แต่ในอัตราเร็วที่ชั่วข้ามคืนไม่ได้เป็นหลักเดือน หลักปี เหมือนการเพิ่มจำนวนคนที่มีทักษะ
ในอนาคตประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของข่าวสาร บทความจะถูกเขียนขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์
จำนวนของงานที่ถูกแทนที่จะเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงบริบทของเศรษฐกิจ หาก AI เข้ามาแทนที่คน แล้วเราไม่สามารถจัดหาตำแหน่งงานใหม่เพื่อรองรับพวกเขาเหล่านั้น เราจะเห็นการก่อตัวของปัญหาสังคมเพิ่มสูงขึ้น อาจจะได้เห็นเศรษฐกิจขาลงครั้งใหญ่ เพราะว่าไม่มีผู้บริโภค ไม่มีผู้คนที่สามารถจับจ่ายใช้สอยในระบบเศรษฐกิจ ความไม่เท่าเทียมรุนแรงขึ้น คนที่รวยมาก ๆ ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีก็จะยิ่งรวยไปกว่าเดิม
……. ……..
ในแง่ดี หุ่นยนต์รวมทั้ง AI จะเข้ามาแทนที่งานที่เป็นกิจกรรมซ้ำ ๆ ที่ผู้คนกำลังทำอยู่ หุ่นยนต์จะมีผลอย่างมากต่อภาคแรงงาน ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดต้นทุนการผลิต คนจะเริ่มตระหนักว่างานที่ใช้แรงกายหลาย ๆ อย่างในที่สุดจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ ไม่มีใครต้องมาทำงานเสี่ยงอันตรายหรืองานที่พวกเขาไม่ชอบ งานที่น่าเบื่ออีกต่อไปเพราะเทคโนโลยีได้เข้าไปจัดการแทนหมดแล้ว
โฆษณา