23 เม.ย. เวลา 04:36 • สิ่งแวดล้อม
กรุงเทพมหานคร

อธิบายสาเหตุของอุณหภูมิโลกที่ร้อนจัดทั้งทางวิทยาศาสตร์และเหนือวิทยาศาสตร์

อาจารย์เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยอธิบายไว้ชัดเจนว่า สาเหตุที่อากาศในไทยร้อนเหมือนซ้อมตกนรกแบบนี้เป็นเพราะ
๑. อุณหภูมิเฉลี่ยภาคพื้นโลกร้อนสะสมมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตลอดระยะเวลา ๕๐ ปีที่ผ่านมาก็ได้เพิ่มมาอีกเกือบจะ ๕ องศาเซลเซียส(จากอุตสาหกรรมที่ดำเนินมาไม่หยุดหย่อน ธุรกิจปศุสัตว์ รวมถึงการใช้รถน้ำมันก็มีส่วนปล่อยมลพิษเป็นอย่างมาก)
2
๒.ไทยได้ก้าวเข้าสู่ปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะเกิดถี่ขึ้น ยาวนานขึ้นและรุนแรงขึ้น ซึ่งนี่เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ เพราะเมื่อ 3 - 4 ปีก่อน เราเจอกับลานีญา และปีนี้เป็นหน้าที่ของเอลนีโญนั่นเอง(คือสภาวะลมโลกเปลี่ยนทิศ ส่งผลให้มหาสมุทรร้อนขึ้น มวลอากาศและลมก็เลยร้อนระอุไปหมด ซึ่งปกติเอลนีโญจะเกิดขึ้นทุกๆ 5 ปีอยู่แล้ว แต่ปีนี้ร้อนผิดปรกติ อุณหภูมิบางแห่งสูงทะลุ 50 องศา)
๓. คลื่นความร้อนที่เพื่อนบ้านในทวีปเอเชียเผชิญอยู่ ไทยเองก็โดนด้วย ซึ่งตอนนี้ความร้อนสูงสุดของแต่ละประเทศในเอเชียเจอ ถูกเรียกเหมารวมว่า Monster Asian Heatwave แปลไทยคือ ปีศาจคลื่นความร้อนแห่งเอเชีย เพราะเพื่อนบ้านเราทุบสถิติอุณหภูมิสูงสุดในปีนี้นั่นเอง
๔. ต้นเหตุของคลื่นความร้อนและปรากฎการณ์เอลนีโญที่ยาวนาน และรุนแรงมีต้นเหตุมาจาก ภาวะโลกรวน(ไม่ใช่แค่ร้อน) หรือ Climate Change อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ในแวดวงอุตสาหกรรมเป็นหลัก เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ปรากฎการณ์ด้านสภาพอากาศทั่วโลกแปรปรวนและรุนแรงขึ้น
4 ข้อข้างต้นจะทำให้เกิดผลอะไรตามมาบ้าง มาดูกัน.. คำตอบคือ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายน - พฤษาคม 2567 จะมีมวลความร้อนทวีความรุนแรงขึ้นถึงขีดสุด แต่หลังจากนั้นฝนก็จะตกติดต่อกันเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ภัยแล้งที่ยาวนานกว่าทุกปี การขาดแคลนน้ำจะโหมกระหน่ำยิ่งขึ้น
ผู้เขียนได้เขียนข้อเท็จจริงและหวังว่าผู้อ่านจะไม่มงคลตื่นข่าวจนก่อเกิดความโกลาหลสติแตก เนื่องจากสิ่งนี้คือธรรมของโลกเราที่เป็นวัฏจักรแห่งผลกรรมมวลรวมที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเกิดขึ้น เหตุต้นของสภาวะนี้มีมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่เกิดอุตสาหกรรมขึ้นบนโลก ตั้งแต่ที่พวกเรารู้จักพลาสติก นับแต่บัดนั้นมาสภาพของโลกเราก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมทีละนิดทีละน้อยจนเริ่มมองเห็นชัดเจนในปัจจุบันขณะ
สิ่งที่จะแก้ไขได้ในประเทศไทยตอนนี้ อ.เสรีแนะนำว่า คือการปรับตัว รัฐบาลจะต้องส่งเสริมสภาพเมืองให้กับประชาชน เช่น การเพิ่มต้นไม้ในเมืองให้เกิดความร่มรื่นแบบสิงคโปร์ พื้นที่ว่างที่ไม่ได้ใช้งานอย่างดาดฟ้าและหรือพื้นที่รกร้างควรมีต้นไม้เล็กใหญ่สลับกันไป
{ในอนาคตสภาพอากาศจะแปรปรวนมากกว่านี้และจะร้อนกว่าเดิม(ของเดิมก็แย่พอแล้วนะ) ถ้าหากเราไม่เปลี่ยนแปลงกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกและประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขภาวะโลกร้อนได้ แต่ประเทศมหาอำนาจจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ด้วย}
ข้อความในปีกกาเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเพราะเรื่องเหล่านี้รณรงค์กันมายาวนานนับสิบปี แต่ก็ดูเหมือนว่า{ความมั่งคั่ง}มันก็ทำหน้าที่เป็นมารชั้นดีที่ทำให้นายทุนและผู้ผลิตในประเทศมหาอำนาจไม่อาจจะหยุดเสพสมความมั่งคั่งอลังการที่พวกเขาสร้างขึ้นได้ เรียกได้ว่ารณรงค์เช่นไรก็แทบไม่เห็นผล รถยนต์และรถไฟฟ้า รวมทั้งโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกลแปลกๆใหม่ๆถูกผลิตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ผลิตถี่ถึงขนาดว่าปีต่อปี ชนิดที่Non-Stopกันเลยทีเดียว
ทีนี้ลองย้อนกลับมาภาพกว้างในเชิงพลังงานด้านจิตวิทยา-จิตวิญญาณอีกทอดหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่าผู้คนในยุคหลังต่างมีความดิ้นรนทนทุกข์มากกว่าเดิม ด้วยค่าครองชีพที่แพงขึ้น เศรษฐกิจที่ฝืดเคืองและความไม่สำเร็จในชีวิตอันดารดาษด้วยเหตุที่โอกาสดีๆเข้าไปไม่ถึงพวกเขา สิ่งเหล่านี้เป็นตัวสะสมโทสะชั้นดี โทสะคือความโมโหโทโส โกรธเกรี้ยว ขุ่นเคือง หงุดหงิดไม่พอใจ
ลองสังเกตเวลาเราโมโหโกรธา ตัวของเราจะร้อนวาบๆด้วยโลหิตที่สูบฉีดจนกลายเป็นปฏิกิริยาที่ร้อนรุ่มดั่งไฟสุมทรวง ความร้อนนี้เองก็เป็นอีกประเภทย่อยของเตโชธาตุ หรือธาตุไฟ
ในทางพุทธศาสนา ธาตุไฟเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรูป(รูปคือหนึ่งในขันธ์ ๕) รูปแปลว่ารูปร่าง-กายเนื้อของเรานั่นเอง ธาตุไฟในกายของเรามักจะสำแดงเป็นความอุ่นในโลหิต หรือสำแดงเป็นไข้สูงเมื่อเราป่วย ความร้อนจะช่วยสร้างภูมิในการกำจัดเชื้อโรคออกไปจากร่างของเรา
เวลาติดเชื้อ ร่างกายจะมีการสร้างpyrogenที่จะทำให้สมองส่วนlimbic(ควบคุมอุณหภูมิ)ตั้งset pointของอุณหภูมิให้เพิ่มขึ้น เพราะเชื้อที่มาโตในตัวเรามักจะแบ่งตัวได้ดีที่อุณหภูมิร่างกายปกติ แค่เพิ่มอุณหภูมิร่างกายอีกนิดสภาพแวดล้อมจะไม่ค่อยเหมาะสม เชื้อโรค-เชื้อไวรัสมันก็จะโตได้ช้าลง และยังคงระบบภูมิคุ้มกันของเรายังทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ตัวเราจึงจำต้องร้อนตอนป่วยไข้นั่นเอง
ในอีกมิตินัยหนึ่ง อารมณ์ที่ร้อนระอุด้วยโทสะของคนเราก็มีส่วนเป็นอย่างมากที่ก่อให้เกิดความร้อนสะสมออกทางกาย(แม้จะน้อยก็ตาม) ในระหว่างที่เราเกิดอารมณ์โมโหโทโส ร่างกายก็จะร้อนระอุขึ้นอย่างรับรู้ได้ชัด อย่างที่ภาษาปากเปรียบเปรยว่าหัวร้อนนั่นแหละ แต่ในความเป็นจริงก็คืออุณหภูมิกายของเราจะสูงขึ้นตามโลหิตที่สูบฉีดขณะเกรี้ยวกราด(เลือดร้อน)
ในสมัยปัจจุบัน ความไม่สมหวัง ความคึกคะนอง ความกร่าง ความเหนื่อยล้า ความเครียด การถูกเอารัดเอาเปรียบ ความข้นแค้นแสนเข็ญ ความท้อและความคาดหวัง ไม่ได้ดั่งใจหวัง(ไม่ว่าจะหวังดีหวังเลว) เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้อารมณ์ของมนุษย์คุกรุ่นได้ง่าย ในพระไตรปิฎกบอกว่าเมื่อมวลมนุษย์คุกรุ่นไปด้วยอารมณ์โทสะโมโห ก็จะทำให้โลกร้อนระอุขึ้นด้วยอัคคีพิบัติภัย ทีแรกผู้เขียนก็ไม่ได้เชื่อเรื่องที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎกเพราะดูจะเหนือธรรมชาติไปหน่อย แต่จริงๆแล้วเปล่าเลย...
สิ่งที่จาระไว้ในพระไตรปิฎกคือธรรมชาติล้วนๆ การสะสมความร้อนไม่ว่าจะด้วยเหตุใด จากควันมลพิษ จากการเผาป่าเผาไร่ จากการสร้างมลพิษNonstop จากการทิ้งกากอุตสาหกรรมอันตราย หรือแม้กระทั่งฝูงปศุสัตว์ที่เบ่งลมตดขณะขับถ่ายอุจจาระก็มีผลต่อGlobal Warming(แต่ไม่ถึงขั้นClimate Change) รวมไปถึงความร้อนที่ระบายออกจากร่างกายของมนุษย์ และที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คืออุณหภูมิความร้อนที่ปะทุขึ้นจากความเลือดร้อนด้วยโทสะของผู้คนนั่นเอง
อุณหภูมิความร้อนต่างๆนานาที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลข้างต้นนั้น ทั้งที่มาจากแหล่งต้นกำเนิดเล็ก กำเนิดกลาง หรือกำเนิดใหญ่ ต้นกำเนิดทางตรง หรือต้นกำเนิดทางอ้อม ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ไปละล่องรวมตัวกันในมิติของบรรยากาศโลกทั้งนั้น สุดท้ายก็ส่งผลให้กลายเป็นภาวะโลกรวนร้อนอันหนักหนาสาหัส
ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนมองว่าตอนนี้มันออกจะสายไปแล้วที่เราจะช่วยกันคนละไม้ละมือ รณรงค์สรรสร้างกิจกรรมลดภาวะโลกร้อน,โลกรวน ตราบใดที่นายทุนใหญ่และต้นหนตลาดโลกในประเทศมหาอำนาจยังไม่คิดที่จะหยุดพฤติกรรมของพวกเขา พฤติกรรมการเสพความมั่งคั่งโดยแลกกับการทิ้งสภาพเสื่อมโทรมผุพังสับปะรังเคไว้บนดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าดาวโลก
นี่คงเป็นข้อพิสูจน์อันชัดเจนว่ามนุษย์ในชมพูทวีปมีความกล้ามากที่สุดในบรรดามนุษย์จากทุกทวีป ทั้งกล้าที่จะทำดีสุดๆ และกล้าที่จะทำเลวสุดขีด โดยไม่สนเหนือสนใต้สนออกสนตก สนเฉียงทแยงอีร้าค่าอีรมใดๆ ทั้งหมดก็มาจากความไม่รู้โดยล้วน ไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งนี้ ไม่ใส่ใจว่าจะเกิดสิ่งนั้น แม้จะเริ่มมาจากการมิเจตนา แต่พอรู้แล้วก็ยังจะจบลงด้วยการปล่อยปละผ่านเลยสืบเนื่องนานมาจวบปัจจุบัน
ตอนนี้เราก็ทำได้แค่ไม่เพิ่มภาระให้กับโลกด้วยการตั้งตนเป็นคนใจเย็น ไม่เลือดร้อน อารีอารอบประนอมประนี ตั้งตนเป็นคนยึดมั่นที่จะไม่ทำลายธรรมชาติ ทิ้งขยะให้ถูกที่ถูกทาง โดยห้ามหยุดเป็นอันขาด แม้จะรู้ว่าพวกมหาอำนาจจะไม่ยอมลดตัวลงมาช่วยเหลือสรรพสัตว์ หรือพอช่วยก็ช่วยแบบพอเป็นมารยาทธรรมเนียมให้ดูดี แต่เราอย่าเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความพังพินาศของโลกใบนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นลม เราจะได้ไปในที่ที่ดีกว่าพวกเขานั่นเอง
(บทความนี้เขียนโดยแอดมยุรคันธัพ สามารถคัดลอกบทความนี้ไปใช้ได้ฟรีโดยไม่ต้องขออนุญาตแต่กรุณาให้เครดิต เพจเฟซบุ๊ค {ธรรมะแฟนตาซี} ทุกครั้งเพื่อจะได้ไม่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์นะครับ)
โฆษณา