24 เม.ย. เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

EGCO Group เปิดประตูสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ในอินโดนีเซีย

อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง โดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 16 ของโลกและเป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงยังมีการคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของอินโดนีเซียในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะเติบโตต่อเนื่องในระดับ 4.7-5% ช่วยผลักดันให้ขนาดเศรษฐกิจขึ้นไปอยู่ในลำดับที่ 4 ของโลก ในปี ค.ศ. 2045
แนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูงทำให้ความต้องการพลังงานในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับรัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศนโยบายส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน โดยตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศเป็น 25% ของกำลังผลิตทั้งหมด ภายในปี ค.ศ. 2030 จากความโดดเด่นทั้งหมดนี้ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่น่าสนใจในสายตานักลงทุน
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ผู้ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานที่เกี่ยวเนื่องระดับสากล เป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่เล็งเห็นศักยภาพและขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ในเครือบริษัท พีที จันทรา อศรี แปซิฟิก ทีบีเค หรือ CAP ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านไฟฟ้า เคมี และสาธารณูปโภคแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย
การเข้าลงทุนในครั้งนี้ บริษัท ฟีนิกซ์ เพาเวอร์ บี.วี. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ EGCO Group ถือหุ้นทั้งหมดและจดทะเบียนในประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นเพิ่มทุนกับบริษัท พีที จันทรา ดายา อินเวสตาสิ หรือ CDI ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในเครือ CAP เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 30% โดยมีมูลค่าการลงทุน 194 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,800 ล้านบาท และปิดดีลเรียบร้อยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566
CDI ได้ลงทุนในธุรกิจผลิตและขายไฟฟ้า ธุรกิจผลิตและส่งจ่ายน้ำ และธุรกิจบริหารจัดการคลังเก็บผลิตภัณฑ์เคมีและท่าเทียบเรือ โดยธุรกิจดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ยุทธศาสตร์และนิคมอุตสาหกรรม เมืองซีเลกอน (Cilegon) และเมืองเซรัง (Serang) จังหวัดบันเต็น (Banten) เกาะชวาตะวันตก ซึ่งเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมหลักขนาดใหญ่ ที่มีอุปสงค์ทางอุตสาหกรรมสูงและเติบโตอย่างรวดเร็ว
ธุรกิจของ CDI สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. ธุรกิจผลิตและขายไฟฟ้า ซึ่งมีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 2 แห่ง รวมกำลังผลิตที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 147 เมกะวัตต์ โดยมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนเชื้อเพลิงจากสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และยังเป็นเจ้าของระบบส่งในพื้นที่ โดยได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียวในนิคมอุตสาหกรรมกรากาตัวเมืองซีเลกอน (Krakatau Industrial Estate Cilegon)
ขณะเดียวกันยังมีแผนขยายการเติบโตของธุรกิจผลิตและขายไฟฟ้าในอนาคต ทั้งการขยายกำลังผลิตของโรงไฟฟ้าเดิม เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเหล็ก รวมถึงยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์รูฟท็อป และโซลาร์แบบลอยน้ำอีกด้วย
2.ธุรกิจผลิตและส่งจ่ายน้ำครบวงจรในนิคมอุตสาหกรรมกรากาตัวเมืองซีเลกอน โดยมีสัญญาระยะยาวกับลูกค้าอุตสาหกรรมที่หลากหลายในนิคมฯ และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างอ่างเก็บน้ำ โรงบำบัดน้ำ และโรงผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเหล็กที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3.ธุรกิจบริหารจัดการคลังเก็บผลิตภัณฑ์เคมีและท่าเทียบเรือแบบครบวงจรในพื้นที่ยุทธศาสตร์เมืองเซรัง โดยสินทรัพย์ส่วนนี้ประกอบด้วยท่าเทียบเรือ 2 แห่ง และคลังเก็บผลิตภัณฑ์เคมี ซึ่งธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตจากความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและปิโตรเลียม
สำหรับทิศทางการเติบโตของ CDI จะมุ่งเน้นขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการภายในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบการร่วมทุนกับพันธมิตรและการควบรวมกิจการ โดยมุ่งเน้นธุรกิจในกลุ่มโรงไฟฟ้า น้ำ คลังเก็บผลิตภัณฑ์เคมีและท่าเทียบเรือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนการขยายฐานลูกค้าและรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นแพลตฟอร์มการลงทุนด้านสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำในประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับ EGCO Group การลงทุนใน CDI เป็นการเปิดประตูสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจและพลังงานสูง รวมถึงเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งเข้ามาได้ยาก นอกจากนี้ EGCO Group ยังสามารถรับรู้รายได้จากการลงทุนทันที ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะสั้นของบริษัท ที่มุ่งเน้นลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพสูงและสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเริ่มรู้รายได้เต็มปี ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
ประโยชน์ที่สำคัญอีกด้าน คือ การสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับ CAP ผู้ดำเนินธุรกิจด้านไฟฟ้า เคมี และสาธารณูปโภคแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีผู้หุ้นใหญ่เป็นบริษัทชั้นแนวหน้าของอินโดนีเซีย คือ กลุ่มแบริโต แปซิฟิก (Barito Pacific Group) และยังมีผู้ถือหุ้นเป็นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไทย ได้แก่ SCG และ TOP จึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นและมีศักยภาพในการต่อยอดความร่วมมือกันทั้งในประเทศอินโดนีเซียและภูมิภาคอาเซียนในอนาคต เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน และโซลาร์ฟาร์ม เป็นต้น
โฆษณา