24 เม.ย. เวลา 04:42 • ปรัชญา
Antarctica

‘เพนกวิน’ ยอดนักปรับตัว

บนทางเดินแห่งชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ เพนกวินคือสัตว์ปีกที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กลางมหาสมุทร ภายใต้ภูมิอากาศเยือกแข็งของทวีปแอนตาร์กติกอันเหี้ยมโหด พวกมันใช้วิธีใดจึงสามารถดำรงชีพอยู่ได้ ในโลกที่ธรรมชาติลงทัณฑ์
‘นกเพนกวิน’ เป็นยอดนักปรับตัว เนื่องจากพวกมันใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่ในท้องทะเล ซึ่งแปรปรวนและไว้ใจไม่ได้ แต่นั่นเป็นเพียงฉากหน้าของความทรหดแห่งชีวิตเท่านั้น เพราะเพนกวินจะต้องต่อสู้เกือบทั้งชีวิต เพื่อรักษาลมหายใจของตนเองเอาไว้ให้ได้
“การหายใจ” คือสิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต แต่เพนกวินต้องหายใจอย่างอึดอัดเมื่อพวกมันอยู่กลางท้องทะเล เพราะมีเวลาเพียงแค่ 5 เดือนสำหรับฤดูใบไม้ผลิของแอนตาร์กติก ซึ่งน้ำแข็งหลอมละลาย เผยให้เห็นพื้นดินอันอบอุ่น นกเพนกวินจะใช้เวลานี้ในการขึ้นฝั่งหาคู่ ผสมพันธุ์ วางไข่ และออกล่าด้วยเวลาที่จำกัด
เพนกวินจะปรับสภาพร่างกายให้เหมาะกับการใช้ชีวิตอยู่ในน้ำได้นานหลายเดือน มันมีเท้าเป็นพังผืดน้ำที่ทรงพลัง มีปีกรูปร่างเหมือนตีนกบ (ซึ่งผิดแปลกไปจากนกทั่วไป) ช่วยให้บินใต้น้ำได้เร็วถึง 15 ไมล์ต่อชั่วโมง อีกทั้งร่างกายของเพนกวินยังมีระบบให้ความอบอุ่นที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้สามารถทานทนกับสภาพอากาศอันหนาวสะท้านได้
แต่พฤติกรรมที่แปลกขั้นสุดของเพนกวินก็คือ พวกมันชอบชีวิตสันโดษ แต่จำเป็นต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มจนกลายเป็นสังคมขนาดใหญ่ เพราะจะช่วยให้พวกมันรู้สึกอบอุ่นขึ้น จากทุกสิ่งรอบตัว
ด้วยเพราะลูกนกเพนกวินที่ฟักในช่วงแรก จะต้องเผชิญหน้ากับนกสคัว (Stercorarius maccormicki) ซึ่งจะเข้ามาขโมยกินไข่กับลูกเพนกวินจากรังของมันได้อย่างหน้าตาเฉย นี้คือโศกนาฏกรรมซึ่งมีความอยู่รอดเป็นเดิมพัน ดังนั้นผู้ซึ่งมีจิตวิญญาณที่กล้าหาญเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
บนวินาทีแห่งความเป็นความตาย ความกล้าหาญคือสิ่งเดียวที่ขาดไม่ได้ เพนกวินจะต้องต่อสู้กับนกสคัวอย่างไม่คิดชีวิต แม้ว่ามันไร้กรงเล็บที่แหลมคม หรือจะงอยปากที่แข็งแกร่ง แต่เพื่อความอยู่รอดของลูกน้อย เพนกวินจำเป็นต้องหันหน้าเข้าต่อสู้เสมือนประหนึ่งว่านี่คือวาระสุดท้ายของชีวิต บนสังเวียนอันไร้ความปรานี กลยุทธ์หนึ่งที่มักใช้ได้ผลเสมอ คือการสยายปีกทั้งสองข้างออก ให้ดูเหมือนว่าลำตัวพองใหญ่ขึ้น และข่มขู่ให้นกสคัวกลัว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านกสคัวจะหลงกลทุกครั้ง เนื่องจากศัตรูตัวฉกาจของนกเพนกวินชนิดนี้รู้จักคู่ปรับของมันเป็นอย่างดี และด้วยความว่องไวกับความคล่องตัวที่เหนือกว่า นกสคัวจึงสามารถขโมยลูกเพนกวินได้สำเร็จ ดังนั้นโศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จะเห็นได้ว่าเพนกวินต้องอยู่ท่ามกลางความกลัว ไม่ว่าจากศัตรูต่างเผ่าพันธุ์ หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติซึ่งยิ่งใหญ่เกิดกว่าที่มันจะหลบหลีกได้
แม้จะเป็นสัตว์ที่รักความสันโดษ แต่เพนกวินจำเป็นต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่เพื่อความอยู่รอด และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้มันเป็นสัตว์ยอดนักปรับตัวที่หาตัวจับได้ยากยิ่ง
การอยู่เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย มันคือรูปแบบสังคมที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย บางครั้งเพนกวินก็ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาหาร แต่บางครั้งพวกมันก็ร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู
เพนกวินจึงไม่สามารถทำตามใจปรารถนาได้ทั้งหมด มันจำเป็นต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำในบางกรณี เพื่อให้ฝูงสามารถเดินหน้าต่อไป
วิถีแห่งเพนกวินจึงเป็นเรื่องของการพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เนื่องจากมันเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างแปลกพิสดาร เป็นนกที่บินไม่ได้ เป็นปลาที่มีลำตัวอ้วนใหญ่ และมีปีกที่ใครเห็นแล้วต่างก็ตลกขบขัน
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือมันสามารถใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณขั้วโลกได้ บนพื้นที่ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นรุนแรงที่สุด จนแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดดำรงชีพอยู่ได้ แต่เพนกวินผู้อ่อนแอกลับสามารถปรับตัวเองให้อยู่รอดได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพนกวินแสดงให้เราเห็นว่าศิลปะของการใช้ชีวิต บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับการรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
คล้ายกับคำกล่าวของชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ที่ว่า
“ไม่ใช่สายพันธุ์ที่แข็งแกร่ง หรือฉลาดที่สุด แต่กลับเป็นสายพันธุ์ที่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงให้มากที่สุด จึงจะอยู่รอดได้”
ดังนั้นหากจะกล่าวว่า เพนกวินคือนักปรัชญาที่เข้าใจกฎธรรมชาติของโลกเป็นอย่างดีก็คงไม่ผิดนัก มันรู้ดีว่าวิถีแห่งโลกคือความเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด
ปีแล้วปีเล่า ที่น้ำแข็งขั้วโลกเกาะตัวเป็นภูเขาสูงใหญ่ แต่ทว่า ก็กลับพังทลายลงมาได้ง่าย ๆ มันเห็นท้องทะเลแปรปรวน มีปลาน้อยใหญ่ถือกำเนิดแล้วตายจากไป บนแนวปะการังอันสวยงาม มันได้เห็นความเหี้ยมโหดของมหาสมุทรซึ่งกลืนกินสรรพชีวิตอย่างไรความปรานี มันได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล จากแสงสีส้มของดวงตะวัน แต่เมื่อราตรีกาลมาถึง ก็ไม่มีสิ่งใดจะการีนตีได้ว่า ในเช้าวันของถัดไปมันยังจะมีโอกาสได้ชำเลืองมองรุ่งอรุณที่สวยงามอีกครั้งหรือไม่
เพนกวินรู้ดีว่า เมื่อพายุพัดมา มันต้องเรียนรู้ที่จะเต้นรำกลางสายฝน
ชีวิตเป็นอย่างนี้ เราต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นธรรมชาติคงไม่สร้างมหาสมุทรให้กว้างใหญ่กว่าแผ่นหิน เนื่องจากมหาสมุทรนั้น เอนอ่อนลู่ลมไปตามสถานการณ์ ซึ่งต่างจากแผ่นหินที่แข็งกระด้าง รอคอยเพียงวันที่จะพังทลายลงมาเท่านั้น
Author: ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด
โฆษณา