25 เม.ย. เวลา 07:39 • ท่องเที่ยว
ศรีลังกา

สวัสดีครับ พี่ๆทั้งหลาย ศรีลังกา EP3 มาแล้ววววว

ก่อนอื่นก็ สุขสันวันสงกรานต์ ย้อนหลังนะครับ หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการเล่นน้ำได้พบปะญาติพี่น้องกันอย่างสนุกสนานนะครับ
เรามาต่อกันเลยดีกว่าฮะ หลังจากจัดแจง ตัวเอง เช็คอิน พักผ่อน ช่วงบ่ายแก่ๆ เราก็พร้อมออก ตะลุยในเมืองกันอีกรอบ
วันนี้อากาศออกครึ้มๆ มีฝนปรอยๆ เล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ ปัญหาเลย ออกจะดีด้วยซ้ำครับ เพราะ อากาศในเมืองนี่ค่อนข้างร้อน อบอ้าว เหมือนเตา ย่าง เคบับเลยครับ ฮ่าๆ
ด้วยเวลาที่วันนี้เราจะไป วัดแขก กับ มัสยิดแดง ตลาดเพตรา และ เดินช้อปปิ้งซูเปอร์ มาร์เก็ต ที่ห้าง Colombo city center กัน
การเดินทางหลักของเราคือ Uber ตุ้กๆ กดผ่านแอฟ ได้เลย ง่ายหายห่วง
จาก รร ไป วัดแขก ใช้เวลาประมาน 15 นาทีได้ ค่าเดินทาง ไม่น่าเกิน 100บาท ถ้าผมจำไม่ผิด ถ้าผิดขอ อภัยด้วยครับ
ทางเข้าวัดจะดูเงียบๆ อาจจะเป็นเพราะ เย็นแล้ว เลย ไม่ค่อยมีคน ทางเดินเข้าไปในวัด เราจะต้องถอดรองเท้าไว้ที่หน้า ประตูใหญ่เลยครับ มีค่าฝาก รองเท้า นิดหน่อย
เราก็เดินเท้าเปล่าเข้าไป ทางเข้าวิหารก็จะเห็นการตกแต่ง แบบ ฮินดู ปกติ รูปทรง แหลมสูง มีสีเดียวตกแต่ง
พอเข้าไปด้านใน ก็ จะมีความ มืดๆ แต่ ก็ยังมีคน สักการะ เทพเจ้า กันประปราย ข้างในวิหารค่อนข้างกว้าง มี รูปปั้นเทพฮินดู ให้สักการะตลอดทาง ในรูปอาจจะไม่ชัดเลย ผมใช้ Insta 360 ถ่ายเป็น vdo แล้วนำมา แคปรูปอีกทีนึง เพราะผมเกรงใจถ้าจะเอามือถือมาถ่ายแบบโท่งๆ ครับ
หลังจากเดินชมภายในวัดเสร็จแล้วสถานที่ต่อไปที่เราจะไปคือ ตลาดเพตราครับ เป็นย่านค้าขายที่แสนจะคึกครื่นของ เมือง และยังเป็นที่ตั้ง ของ มัสยิดแดงที่เลื่องชื่อ ของโคลอมโบอีกด้วยครับ
จากวัดไป ตลาดเราใช้เวลาไม่เกิน 10นาทีครับ ตุ้กๆ ที่เราได้ เป็นคนค่อนข้างช่างพูด ชวนคุยตลอดทาง ลุงแกน่าจะรับนักท่องเที่ยวเยอะ เพราะแกเปิดราคามาสูงมาก แต่สามารถต่อรองได้ ฟิวเหมือนที่ไทยเลยครับ
พอมาถึงโซนตลาด เราจะเห็นผู้คนเดินจับจ่ายใช้สอยกันสนุกมือบ้างก็แบกของไว้บนหัวบ้างบ่าบ้าง
ของที่ขายที่นี่ส่วนมากที่ผมเห็นก็จะมีร้านรองเท้า เสื้อผ้า หรือ รถเข็นขาย ขนมของทานเล่น หรือ ผลไม้ ตลอดทาง ถือเป็นสีสันของ ตลาดนี้เลยหละครับ
มัสยิดแดง จะแบ่งเป็น 2ฝั่ง นะครับ ฝั่งในซอยกับฝั่งติดถนนใหญ่
พอถึง มัสยิดแดงฝั่งในซอยตรงข้ามมัสยิด ก็จะมีรถขายของว่างที่ว่าใครๆมาก็ต่องทาน นั่นก็คือ ซาโมซ่าไก่ และ ป่อเปี๊ยะไข่ รสชาติไม่จืด ถือว่าจัดจ้านถุกปากคนไทยที่ชอบเครื่องเทศแน่นอนครับ
พอทานเสร็จก็ได้เวลาหาทางเข้า มัสยิดกันแล้วครับ มัสยิดจะมีหลายประตูมาก มีระบุไว้ชัดเจนมากว่า ประตูนี้สำหรับ ผู้หญิง ประตูนี้ ผู้ชาย และ ประตูนี้สำหรับนักท่องเที่ยว
Red masjid หรืออีกชื่อ ที่เรียกว่า Jami Ul-Alfar Masjid เป็นสถาปัตยกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ ของเมือโคลอมโบด้วย สีแดงตัดขาวเป็นเกลียวขึ้น ที่เด่นเป็นสง่า หรือแม้กระทั่ง ดีไซน์ที่สวยโดดเด่นในย่านนั้น มาสยิดแดงตั้งตระหง่านอยุ่ที่ตลาดเพตรา มัสยิดแห่งนี้เคยเป็น แลนมาร์คที่สำคัญ ให้ นักเดินเรือที่มาท่าเรือที่โคลอมโบต้องแวะชม
ในอดีต ด้วยรูปแบบอันแปลกตาของ มัสยิดแดงที่ ไม่เหมือน กับมัสยิดทั่วไป ด้วย ทรงหลังคาโดมที่ออกแบบคล้ายๆกับ หัวหอม และยังเป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองโคลอมโบอีกด้วยครับ
มัสยิดนี้สร้างเสร็จในปี 1908 ด้วยการออกแบบแบบ เป็นรุปแบบการออกแบบ สถานที่ในอินเดียโดย อานาณิคมอังกฤษใรช่วง ศตวรรษ19
ก่อนเข้าไปชมภายในมัสยิด ก็จะมี คนของทางมัสยิด เป็นอาสาสมัคร ที่จะมาอธิบายเรื่องเล่าต่างๆ ระหว่างเดินชมด้วยครับ แต่ก่อนเข้าไปนั้น หากใครที่แต่ตัวไม่สุภาพ เช่นเสื้อกล้าม ขาสั้งเหนือเข่า ทางมัสยิดเค้าจะให้เราใส่ชุดคลุม ยาวๆ เพื่อเป็นการให้เกียตรแก่สถานที่ ครับ
ระหว่างการชมภายในนั้น ก็จะมีการเล่าถึงความเป็นมา การจุจำนวนคนที่สามารถมาร่วมกิจกรรมของศาสนาได้ ครับ ส่วนตัวผมรู้สึกประทับในกับความเป็นมา ความเฟรนลี่ของ คนที่เล่าเรื่อง แกมีความตั้งใจที่จะ อธิบาย เรื่องราวต่างๆ
จนเราเดินทะลุออกมาถึง อีกฝั่งของมัสยิดที่เป็นฝั่งติดถนนใหญ่ซึ่ง เราสามารถออกมาดูและถ่ายรูปได้แต่ไม่สามารถ ออกมานอกรั่วภายนอกได้ครับ ต้องกลับออกทางเดิมเท่านั้น
พี่ๆท่านไหนอยากทราบข้อมูลเพิ่ม ผมแปะลิ้งให้นะครับ
หลังจากเยี่ยมชมเสร็จก็ทำการของคุณอาสาสมัคร และผมก็พร้อมเดินช้อปปิ้ง ซื้อของฝากกลับไทยละครับสถานที่ซื้อของฝาก ของผมก็คงไม่พ้น Supermarket ของที่นี่ครับ สถานที่ที่เห็นส่วยใหญ่ จะเป็น supermarket ในปั้มน้ำมันที่ชื่อ Cargrils กับ ซูเปอร์ในห้างเป็นต้น
อย่างที่ผมเกริ่นใน Ep ก่อนหน้านี้นะครับ ใบชา คือ ของที่ขึ้นชื่อของที่นี่ และ มีให้เลือกหลากหลายมากๆ เช่น ชาเบลน กับ ผลไม้ต่างๆ หรือ เครื่องเทศ ถ้าหากใครชื่นชอบ ผลไม้ก็แนะนำชาสตรอเบอรี่ หรือไม่ก็ชา ผลไม้รวม ส่วน ท่านไหนชอบ แบบ ละมุนๆ หอมเครื่องเทศก็แนะนำเป็นชาเบลนกับซินนามอน ครับ ชาที่ซูเปอร์มาเก็ต มีให้เลือตั้งแต่ชาดำสำหรับทำ Chai จนถึงชาแบบ afternoon tea แบบไลต์ๆ
จะแบบ ออแกนิก หรือ คาโมมาย ก็มีให้เลือกสันแบบละลานตาเลยหละครับ
ระหว่าเดินชมของต่างๆ ผมก็มา ติดในตัว เหมือน น้ำมันนวด ออกเย็นๆ อยู่ในขวดแก้วมีหัวโรล อยู่ หน้ากล่องเขียนไว้ว่า แก้ปวด Quick relief ประมาณนั้นครับ ด้วยความอยากลอง ก็เลยจัดมา 1 ขวด
ซึ่งถ้านำมาทาที่ท้ายทอย หรือขมับนะ ผมบอกเลย ผมยกนิ้วให้ เย็นสบาย จนลืมอาการปวด เลย แต่ผมขอเตือนนะครับ ห้าม เข้า ตา!!!!!!
ผมก็เลยทำการ กลับไปหยิบเพิ่มอีก สี่หลอด ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หลอดเดียวยังไม่หมดเลยครับ แหะๆ
หน้าตาแบบนี้ครับ
ในห้างต่างๆ แบรนเสื้อผ้าของที่นี่ก็ไม่ได้ด้วยไปกว่าประเทศอื่นเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้า หรือ ราคา ก็ตาม
สำหรับคนชอบช้อปปิ้ง ผมก็แนะนำ ให้เป็นที่เมืองที่ ช้อปปิ้ง สนุกมาก เวลา หารค่าเงิน ออกมาแล้ว ก็จะคิดในใจว่าทำไม ถูกแบบนี้
สำหรับวันสุดท้ายก่อนกลับไทย ผมก็แพลนไว้หลวมๆ เน้น ชิวๆ ไม่เน้นหนักมาก
เริ่มวันมาด้วยการ ทานอาหารเช้า เช็คเอ้า เอาของขึ้นรถ แล้วก็ ไปเดินเล่นในเมืองกันครับ
สถานที่แรกที่เราจะไปก็คือ วัดคงคาราม หรือ Gangarama sima Malaka ซึ่งวัดนี้จะมีทั้งหมด สองฝั่ง ฝั่งติดน้ำ และฝั่งติดถนน ห่างกันประมาณ 200เมตร ได้ ทางวัดจะมีเก็บค่าเข้า จ่างครั้งเดียวเข้าได้สองฝั่ง ครับ ฝั่งแรกที่เราจะไป คือ ฝั่งติดน้ำ เป็นเหมือน ฝั่งให้เราเดินชม มากกว่า สักการะ บรรยากาศ ค่อนข้างเย็นสบาย มี พระพุธรูปเรียงราย
วัดนี้ตั้งกลางน้ำตั้งอยู่กลางทะเลสาป ประกอบด้วยโบสถ์ 3 หลัง หลังแรก ประดิษฐานต้นโพธิ์ หลังที่สอง ประดิษฐานพระพุทธรูป หลังที่สาม เป็นที่เก็บคัมภีร์พระไตรปิฎก
ส่วนอีกฝั่งที่เป็นฝั่งวัด ฝั่งนี้ค่อนข้างน่าสนใจเลยครับ มี โบราณวัตถุ ค่อนข้างเยอะ และมี ผู้คนกราบไหว้เป็นจำนวนมาก ก่อนทางเข้า เราสามารถ ซื้อ ดอกไม้ บริเวรหน้าวัด เพื่อนำเข้าไปไหว้สักการะ ภายในได้ ครับ จุดน่าสนใจของวัดนี้ คือ ทุกๆวัน อาทิตย์จะเปิด สอน เรื่อง พระพุธศาสนาให้กับคนทั่วไปอีกด้วยครับ
พอตกเที่ยง ร้านอาหารที่เล็งไว้ คือ ร้าน Café on the 5th เป็นร้านอาหาร ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ ทองหล่อเลย จอดรถริมถนน ร้านอาหารอยู่ในรั้วบ้าน
เมนูหลักที่เราจะ ทานก็คือ Egg hopper ครับ เป็น เหมือน แป้งกรอบทรงครึ่งวงกลม เห็นว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อ ของที่นี่ครับ ตัวegg hopper นี่ผมได้ ไอเดียยมาจาก คุณ มาร์ค จากคลิปนี้ นาทีที่ 10 เป็นต้นไปครับ
พอมาถึงร้านที่นี่คนค่อนข้างเยอะ เนื่องจาก ที่นี่จะเป็นทั้งร้านอาหาร และ คาเฟ่ ที่นั่งก็จะแบ่งเป็นสองโซน โซนแรกร้านอาหาร สามารถนั่ง และ ขอเมนู เพื่อสั่งอาหารได้เลย ส่วน โซนคาเฟ่นั้น ต้องเดินไปสั่งและจ่ายเงิน จึงจะนำมาทานที่โต๊ะได้
เนื่องจาก เมนูเค้ามีเวลากำกับ egg hopper จะไม่ขายหลังเทียง ทางผมก็เลยอด ทางไปโดยอัตโนมัติ
Egg hopper คนที่นี้เค้าเน้นทานเป็น อาหารเช้า จึงหาทานในเวลาอื่นค่อนข้างยาก ครับ
แต่ไม่เป็นไรเพราะอาหารที่สั่งเนี่ย อร่อยไม่แพ้กันเลย
สิ่งหนึ่งที่ผมสั่งมาคือ butter chicken with rice in Clay pot
เป็น ข้าวที่หุงใน หม้อดินเผาราดด้วยแกงไก่ เป็นเมนูแกงที่ เบสิกมากสำหรับ คนอินเดีย แต่ สินที่ไม่เบสิกคือ ข้าวที่หุงสุกในหม้อนี่หละครับ ข้าวนี่จะหอม มีความเกรียมกรอบที่ข้างใต้ แกงกะทีก็ทำมาได้ละมุน พอดิบพอดี เครื่องแกงไม่ฉุนเกินไป ไม่เลี่ยนเกิน ไป เสริฟในหม้อดินที่น้ำไปเผาไฟ มาแบบเดือดๆ หากพี่ๆ คนไหนได้ไป ผมขอ แนะนำร้านนี้เลยครับ ราคาอาจจะ Pricy เล็กน้อย แพงกว่าร้านอาหารปกติใน Colombo แต่เชื่อผมเถอะว่าร้านนี้อาหารอร่อยครับ
หลังจาก ทานอาหารเสร็จ เราก็หา ห้างเดินเล่น กับ นอนนวดฝ่าเท้า สบายๆ ก็ได้มาจบที่ ห้าง One galle Face mall ซึ่งเป็นทางผ่านไปร้านอาหารตอนเย็นที่เล็งไว้นั่นคือ ร้าน Ministry of Crab
ห้างนี้กว้างใหญ่มีชั้นบนเป็น ร้านอาหารที่มีเทอเรส มีโรงหนัง และ มี Error ของที่จอดรถครับ เนื่องจาก ที่จอดรถในห้างมีการเก็บค่าจอด
ตอนออกไปชำระเงิน ผมนี่ ตกใจเลยครับ คิดผมมา เก้าแสนสอง รูปี ฮ่าๆๆๆ พี่ยามนี่อึ้งเลย บอกให้ผมไปติดต่อเค้าเตอเพื่อชำระเงิน
พอไปติดต่อ เค้าเตอร์ก็แจ้งว่าเป็นที่ระบบเออเรอ เลย ไม่คิดค่า บริการให้ครับ
ตกเย็นก็ขับรถมาที่ ร้านอาหาร Ministry of crab ที่เลื่อชื่อเรื่องความสดของปู ครับ
ต้องรอคิวเล็กน้อย เพราะเป็นร้านที่ค่อนข้างดังและต้องจองล่วงหน้า แต่ทางผมโชคดีที่มีที่ว่าง สำหรับ Table for two พอดีเลยครับ
อาหารของร้านนี้ เน้นไปที่ปู ทะเลครับ Mud Crab เป็นของขึ้นชื่อของศรีลังกา เป็นปูทะเล ที่จะเน้นตัวใหญ่ ขนาดเล็กสุดจะเป็น 5ขีด และใหญ่สุดน่าจะหลาย กก โดยชื่อที่ทางร้านเรียกขนาดปูตัวใหญ่ที่สุดจะเรียกว่า Crabzilla
ชื่อเรียกนี้น่าจะให้ความรู้สึกฟิว ก๊อตซิลล่ามั้งครับ
การตกแต่งร้านเป็น แบบ indoor open air เป็นโต๊ะไม้สีเข้ม ทุกอย่างจะมีโลโก้ของทางร้านประทับ ไม่ว่าจะเป็นผ้ากันเปื้อ จาน ทิชชู่ แม้กระทั่งถาดเก็บเงินครับ
วันนี้เราสั่งกัน สี่อย่าง มี อโวคาโดเนื้อปูกับ สลัด เป็นออเดิฟ กุ้งแม่น้ำผัดกระเทียมพริกไทยดำ ปูผัดกระเทียมพริกไทยดำเป็นจานหลักครับ อาหารอร่อยมากครับ สำหรับ พี่ๆคนไหนอยากลอง ทางร้านมีหลายสาขามาก ไม่ว่าจะในจีน ในไทย ย่าน สุขุมวิทก็มีนครับ
พอทานเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องเอารถไปคืนที่ ร้าน ซึ่งอันนี้หากพี่ๆคนไหนต้องคืนตอนกลางคืน อาจจะต้องนัดเวลากับทางร้านเช่ารถนิดนึง เพราะ ตอนผมไปถึงคือร้านปิดแล้ว จอดอยู่หน้าร้าน บีบแตร ก็แล้ว โทรหาก็แล้ว คิดในใจ จะได้ไป สนามบินไหมเนี่ยผม
พยายามกว่า 20นาที ก็เหมือนจะมีคนออกมาดู จึงบอกว่ามาคืนรถ ทางพี่แกก็เหมือนพึ่งตื่น ไม่ตรวจรถอะไรทั้งนั้น บอกแค่ว่า โอเคเดี๋ยวไปส่งที่ สนามบินนะ แค่นั้นเลย ครับ ฮ่าๆๆ
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของทริปนี้
ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนที่อ่านจนจบ
ศรีลังกาเป็นประเทศ ที่คนเป็นมิตรมาก อาหารก็อร่อย ค่าครองชีพก็ถูก การเดินทางไปต่างเมืองก็ไม่ถึงกับยากลำบากแต่ก็แนะนำให้เดินทางตอนสว่าง
ผมขอฝากสรุปของแต่ละเมืองไว้แบบนี้นะครับ
แคนดีเป็นเมืองที่อากาศดีมีวัดใหญ่ให้เดินเที่ยวได้
เอลล่า อากาศดี วิวสวย นักท่องเที่ยวเยอะ
แกล เมื่อป้อมปราการติดทะเล อาหารอร่อย ลมเย็น ที่พัก คือดี
และโคลอมโบ เมืองหลวง คนเยอะ ช้อปปิ้งสนุก
ส่วนหลังจาก เหตุการณ์ Covid 19 ผมมองว่า สถานการณ์ไม่ค่อยดี ร้านค้าไม่ได้เปิด อย่างครึกครื้น แต่ผมก็หวังว่า ในอนาคต ทุกอย่างจะกลับมาครึกครื้นเหมือนเดิม
ส่วนตัวผมประทับใจกับที่นี่มาก เเล้ววันนึงเราจะเจอกันใหม่นะ ศรีลังกา
ขอบคุณที่ติดตามครับ
ด้วยรัก
อิสระ หน้าฝน
โฆษณา