27 เม.ย. เวลา 06:30 • ข่าว

ทางออกสุดยั่งยืน!!

'ดร.ก้องเกียรติ' แง้ม!! ทางออกแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่
ผลักดันเกษตรกรเข้าสู่ระบบนิเวศโครงการ 'หยุดเผา เรารับซื้อ'
จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ 'ดร.ก้องเกียรติ สุริเย' ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต และประธานกรรมการ บริษัท จีอาร์ดี เทค จำกัด ในประเด็น 'ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เชียงใหม่ อะไรคือทางออก?' เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้ ว่า...
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งส่อเค้ารุนแรงขึ้นในปัจจุบัน มีผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 เข้ารับการรักษาแล้วกว่า 3 หมื่นราย หลังพบปัญหาสภาพอากาศต่อเนื่อง
คำถาม คือ ปัญหาที่แท้จริงของฝุ่น PM 2.5 คืออะไร?
ผมได้มีโอกาสอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพื่อหาสาเหตุว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดจากอะไร โดยได้ลงพื้นที่และเข้าไปพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นปัญหาหลัก ๆ อยู่ 3 ประการ ได้แก่...
1.การเผาจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งนิยมเผาตอซังและฟางข้าว เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย คุ้มค่า ใช้เวลาน้อย สะดวกสบาย และต้นทุนต่ำ
2.วัฒนธรรมการบริโภคของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ดเผาะ ทำให้เกิดการเผาป่าตอนหน้าร้อนเพื่อเก็บของป่าตอนหน้าฝน
และ 3. เกิดการจ้างเผาจากบุคคลภายนอกหรือบุคคลที่ 3 เพื่อเอาเบี้ยเลี้ยงในการจ้างดับไฟ
ทั้งนี้ หากมองในส่วนของการแก้ไขปัญหานั้น ดร.ก้องเกียรติ ยกตัวอย่าง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ไว้ว่า เมืองเหล่านี้เคยประสบปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 อย่างมาก แต่ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาได้ โดยหยุดกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศทั้งหมด เช่น อุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหิน โรงไฟฟ้าถ่านหิน
โดยหันมาใช้กระบวนการทางกฎหมายและใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเข้าไปแก้ไขในการกรองฝุ่นก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย อาจใช้วิธีนี้แก้ปัญหาได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องมีการบูรณาการในหลายภาคส่วน
ดร.ก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกวิธี คือการปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชน รณรงค์สร้างการรับรู้ถึงภัยร้ายของฝุ่น PM 2.5 ที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น หรือการนำธุรกิจเข้ามาแก้ไข โดยใช้กลไกคาร์บอนเครดิตและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาในด้านนี้ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก
อย่าง 'โครงการหยุดเผา เรารับซื้อ' ที่เกิดจากความร่วมมือภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ร่วมใจขจัด PM 2.5 และลดโลกร้อน ด้วยการรับซื้อซังข้าวโพดจากเกษตรกร แล้วนำมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งส่งไปสู่ระบบคาร์บอนเครดิต ที่เป็นโครงการต่อเนื่องจากปี 2566 ก็กำลังได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดี
โดยมีแผนงานจัดตั้งโรงงานในภาคเหนือประมาณ 10 แห่งในอนาคต เพื่อรองรับการแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ปัจจุบันขยะทางการเกษตรในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีรวมกันประมาณ 600,000 ตัน/ปี ซึ่งหนึ่งโรงงานสามารถแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่งได้ประมาณ 30,000 ตัน/ปี จึงต้องจัดตั้งโรงงานให้ได้อย่างน้อย 10 แห่ง
ขณะที่ในระดับโลก มีความต้องการชีวมวลอัดแท่งประมาณ 10 ล้านตันต่อปี แต่ถ้าเผาขยะทางการเกษตร 600,000 ตันจะทำให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) จำนวน 800,000 ตัน/ปี เรียกได้ว่าถ้าหยุดเผา ก็จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตสร้างเม็ดเงินได้เป็นหลักร้อยล้านบาท และสามารถนำขยะทางการเกษตรมาขายคืนสร้างเงินกลับไปสู่เกษตรกรได้อีก
"สำหรับระบบนิเวศ (Ecosystem) 'หยุดเผาเรารับซื้อ' มีรูปแบบดังนี้ เมื่อเกษตรกรนำขยะทางการเกษตรมาขายให้กับโรงงาน ได้เงินกลับไป ตันละ 700 บาท ทางโรงงานก็จะนำขยะทางการเกษตรนั้นมาแปรรูปเป็นชีวมวลอัดแท่ง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อขายให้กับโรงไฟฟ้านำไปทดแทนถ่านหินซึ่งเป็นตัวการใหญ่ทำลายอากาศโลก โดยการใช้ชีวมวลอัดแท่งช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศได้ โรงไฟฟ้าก็จะกลายเป็นโรงไฟฟ้าสีเขียว ผลิตพลังงานสะอาดกลับสู่ประชาชน และยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย" ดร.ก้องเกียรติ ขยายความในช่วงท้าย
โฆษณา