26 เม.ย. เวลา 15:29 • หุ้น & เศรษฐกิจ
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ตอนนั้นชีวิตผมเจอกับมรสุมที่หนักมาก หนักจนผมมีความคิดอยากตายในทุกวัน
พ่อป่วยเป็น Stroke, ผิดหวังในความรัก, การเรียนปริญญาเอกก็ไม่ประสบความสำเร็จ, ชีวิตก็รู้สึกว่ามีแต่เรื่องติด ๆ ขัด ๆ
เหตุการณ์ในปีนั้น ทำให้ผมเข้าใจว่า ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถพาผมออกจากความทุกข์ทางใจได้เลย
ผมเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ทำไมบรรดาคนรวย เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร ที่มีชีวิตที่คนอาจจะเห็นว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ หน้าที่การงานดี รวยมาก มีครอบครัวที่ดี
ถึงบอกผมตอนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันว่า “เมื่อก่อนก็คิดว่ารวยแล้วจะมีความสุขมาก แน่นอนรวยแล้วก็หาสิ่งที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายมาได้ง่าย แต่ก็ยังมีความทุกข์ทางใจหนักมากอยู่ดี
พอเบื่อกับการเป็นทุกข์มาก ๆ ก็เลยแสวงหาทางออกจากทุกข์ เลยมาปฏิบัติธรรมนี่ไง”
ผมเข้าใจเมื่อผมเจอจากประสบการณ์ของตัวเองเลยว่า เงินสำคัญมากครับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
ตอนนั้นผมก็ทำได้แค่อดทน ฝันเฟื่องว่าอนาคตคงมีเรื่องดี ๆ เข้ามาบ้าง ชีวิตหมดเวลาหนักไปที่การดูดวง เพราะมันรู้สึกไม่เห็นหนทางที่ตัวเองจะทำอะไรได้อีกแล้ว
พอนึกย้อนกลับไป ผมดันรู้สึกขอบคุณนะ ที่เหตุการณ์เหล่านั้นมันเกิดกับผม เพราะมันทำให้ผมสำนึกว่า มนุษย์เราแม่งต่ำต้อยและกากแค่ไหน
“คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต”
พอทุกข์หนักมาก ๆ จนยอมรับมันได้ ไม่ดิ้นรน ไม่หนี แค่รับรู้ ก็แปลก อยู่ดี ๆ ชีวิตก็เริ่มเห็นทางออก
ผมนึกถึงคำท่านอาจารย์พุทธทาสเลยว่า
“ความทุกข์นี่มันดีนะ เพราะมันทำให้คนธรรมดากลายเป็นพระพุทธเจ้าได้”
พอเริ่มเห็นแสงสว่างของชีวิตอยู่รำไร มันก็เริ่มทำให้ผมกลับมากระเสือกกระสน พยายามทำให้ชีวิตกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
ในช่วงนั้น โชคดีที่ได้อ่านหนังสือค่อนข้างมาก หลัก ๆ ก็อ่านฆ่าเวลาให้มันหมด ๆ วันไป
ตอนนั้น ผมได้อ่านหนังสือของ John C. Bogle, JL Collins, อ่านหนังสือ The Psychology of Money ตอนที่เพิ่งออกมาใหม่, อ่าน Fooled By Randomness เลยทำให้อินเรื่องโชคชะตามากขึ้นไปอีก, อ่านหนังสือของ Ryan Holiday, หนังสือของ Robert Greene
แต่พออ่านหนังสือของ Jack Bogle มากเข้า ก็เลยทำให้ผมเข้าใจเรื่อง Concept ของกองทุนอิงดัชนีค่าธรรมเนียมถูกไปด้วย
ประกอบกับได้อ่านหนังสือ “Stocks for the Long Run” ก็ทำให้ผมได้เห็นสถิติย้อนหลังของผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของดัชนีหุ้นทั้งตลาดของอเมริกา
พอชีวิตเริ่มกลับมาดีขึ้น เริ่มมีหวังในการใช้ชีวิตอีกครั้ง ผมก็เริ่มวางแผนชีวิตในระยะยาว ไปไกลกว่าช่วงชีวิตของผมอีก
ผมเริ่มคิดสะสมความมั่งคั่งเอาไว้ให้ครอบครัว ไว้ให้ลูกให้หลานรุ่นถัด ๆ ไป ไปอีกเป็น 100 ปี
มันอาจจะดูเลอะเทอะนะ แต่ผมจริงจังกับมันมาก
ผมลองคำนวณดูว่า ถ้าสมมติง่าย ๆ ผมจะ DCA ในกองทุนอิงดัชนีค่าธรรมเนียมถูก ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท ไปอีก 100 ปี โดยให้รุ่นลุกรุ่นหลานผมอดทนทำต่อเนื่องไปจนครบกำหนด หรืออยากจะทำต่อจากนั้นไปอีกก็ได้ ถ้ายังคงความคิดจะสะสมความมั่งคั่งพอร์ตกองทุนดัชนีนี้ให้รุ่นถัดไปต่อ
ผมลองใช้ Nominal Return ของผลตอบแทนตลาดหุ้นอเมริกาย้อนหลัง 200 ปีดู คิดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นอยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปี
ในอีก 100 ปีให้หลัง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตระกูลผมน่าจะมีความมั่งคั่งจากพอร์ตกองทุนอิงดัชนีค่าธรรมเนียมถูกนี้ ประมาณ 4,352 ล้านบาท
ผมว่า ในอีก 100 ปีข้างหน้า ถ้าระดับเงินเฟ้อยังรักษาไว้ที่ 2-3% ต่อปีอยู่ ลูกหลานผมในตอนนั้นถ้าไม่ได้ใช้ชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อเกินไป ความมั่งคั่งระดับนี้ ก็น่าจะเป็นตัวช่วยประกันให้พวกเค้ายังสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเลือกใช้ชีวิตของตัวเองได้โดยไม่ลำบาก แบบสมัยรุ่นปู่รุ่นพ่อผม ล่ะมั้งนะ
พิมพ์มาซะยาว ที่จะบอกก็คือ ผม DCA กองทุนนี้อยู่ทุกเดือน ควบคู่ไปกับ SCBWORLDSSFE ด้วย เพราะเป็นกองที่ค่าธรรมเนียมถูกสุดในประเทศแล้ว
นอกจากนี้ ตัวกองทุนอิงดัชนีค่าธรรมเนียมถูก ที่ในกรณีไม่ได้ใช้ลดหย่อนภาษี ที่ผมเห็นว่าเรียบง่าย ค่าธรรมถูก ก็คือ
1. KUS500X ตัวนี้ค่าธรรมเนียมถูกมาก แต่ไม่มี SSF กับ RMF
2. KWORLDX ลงทุนใน MSCI WORLD ETF
3. VOO คือ กองทุนอิงดัชนีที่ลงทุนใน S&P500 ของ Vanguard ซื้อผ่านแอป Dime ได้
4. iShares MSCI World Index ETF ซื้อผ่านแอป Dime ได้เหมือนกัน
5. VTI คือ Vanguard Total Stock Market Index Fund ETF ซื้อผ่าน Dime ได้
ผมทำแบบนี้มา 3 ปีแล้ว แต่มีกองทุนอิงดัชนีประเทศอื่น ๆ ด้วย เช่น NKKY225, STOXX600, Hang Seng Enterprise Index (แต่ไอ้ตัวนี้ลงหนักจนท้อ), VN30, จริง ๆ ตอนนี้กำลังมอง ๆ อินเดียอยู่
ถ้าใครที่อดทนอ่านมาจนจบ ผมก็ขออภัยด้วยครับ เพราะที่ผมเขียนมา เหมือนเป็นการแชร์ประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวมากกว่าเขียนเรื่องหุ้น
ผมอาจจะแค่เหงาเลยพิมพ์ไปเรื่อย 555
แต่ผมขอยืนยันนะว่า กว่าผมจะมาได้มีความคิดและการมองโลกแบบนี้ สิ่งที่ผมได้แลกออกไปในชีวิต มันมีราคาแพงมากครับ
เพราะทุกวันนี้พ่อผมก็ยังไม่เหมือนเดิม ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนเดิมก่อนที่จะเจอความทุกข์
มีสิ่งหนึ่งที่พ่อบอกผมตอนที่ครอบครัวเรามีความคิดสิ้นหวังว่า แกอาจจะต้องนอนติดเตียงไปตลอดชีวิต (ตอนนั้นแกยังพอพูดได้นะ แต่กลืนอาหาร กับเดินไม่ได้)
“ชีวิตคนเรามันสั้นนะ แล้วเวลาก็ผ่านไปเร็วมาก พ่อยังรู้สึกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน พ่อยังเป็นเด็กอยู่เลย ตอนนี้ก็แก่ ป่วย จนไม่รู้ว่ามีเวลาเหลืออยู่เท่าไร
ฉะนั้น อย่าปล่อยเวลาให้มันสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะชีวิตเราอาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาแบบนี้อีกก็ได้ หากอยากทำอะไรที่สำคัญ ๆ ให้รีบทำตอนที่ยังมีโอกาส
เพราะเมื่อวันที่โชคชะตาทอดทิ้งเราไป วันนั้นอาจจะไม่มีโอกาสให้เราได้ทำในสิ่งที่เราปรารถนาที่สุดอีกแล้วก็ได้..”
ปล พ่อผมไม่ได้พูดประโยคที่สวยงามขนาดนี้หรอก แต่ผมเกลาให้มันดูมีพลังเองแหละ
โฆษณา