28 เม.ย. เวลา 08:09 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว...
มีนักเขียนชาวรัสเซียคนหนึ่ง ที่งานเขียนของเขามีอิทธิพลต่อความคิดของผมมากที่สุด งานเหล่านั้นผมมีโอกาสได้อ่านในช่วง 7-8 ปีมานี้ ซึ่งผมชอบมันมาก ประกอบไปด้วย พี่น้องคารามาซอฟ, อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์, บันทึกจากบ้านคนคุก, บันทึกจากใต้ถุนสังคม, ความฝันของคนวิกลจริต
1
นักเขียนท่านนั้น ชื่อ Fyodor Dostoyevsky อดีตนักโทษทางการเมือง ที่เกือบถูกประหารชีวิต และต้องใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในคุก
งานเขียนของ Dostoyevsky มีอิทธิพลต่อความคิดและการใช้ชีวิตของผมมาก (พอ ๆ กับนักปรัชญาที่ผมรัก อย่าง Immanuel Kant และ พระพุทธองค์ เลย)
งานเขียนของเขามันสื่อสันดานดิบ ความเป็นมนุษย์ ชีวิตที่มันเรียล ๆ ความวิกลจริตในจิตใจของผู้คน ออกมาได้อย่างถึงแก่น ในแบบที่ผมอ่านงานของนักเขียนรางวัลโนเบลคนอื่น ก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้เท่ากับงานเขียนของ Dostoyevsky เลย
มีประโยคหนึ่งของเขา ที่ไม่ว่าผมจะฟังจะอ่านกี่รอบ ผมก็ขนลุกทุกครั้ง
“When I look back at the past and think of all the time I squandered in error and idleness, lacking the knowledge I needed to live; when I think of how I sinned against my heart and my soul, then my heart bleeds. Life is a gift, life is happiness … Every minute could have been an eternity of happiness! If youth only knew. Now my life will change, now I will be reborn for the better.”
สำหรับผม แนวทางการลงทุนที่ผมใช้ก็มาจากปรัชญาการใช้ชีวิตส่วนตัว มาจากกฎศีลธรรมที่ผมหล่อหลอมขึ้นจากการศึกษาปรัชญามาหลายปี
ผมไม่อยากหลอกตัวเองที่ต้องมาทนทำในสิ่งที่ผมไม่อยากจะทำ ต่อให้มันจะทำให้ผมรวยมากกว่านี้อีกหลายเท่าก็ตาม
แน่นอน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมน่าจะพลาดโอกาสที่จะรวยมากกว่านี้ไปเยอะ
แต่ถ้าผมเลือกทำในสิ่งที่ขัดกับหลักการของตัวเอง ผมก็คงไม่ได้เป็นผม และคงเป็นคนที่ไร้ซึ่งความเคารพในตัวเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น ขอผมตายดีกว่าจะต้องกลายเป็นคนที่หลอกลวงต่อตนเอง
ในช่วงที่ผ่านมา มีเรื่องให้ผมต้องคิดหนัก เหมือนเป็นการทบทวนตัวเองอ่ะนะว่า สิ่งที่ทำอยู่ ผมพอใจและมีความสุขที่จะทนทำต่อไปไหม ที่เขียนตอนนี้ก็เหมือนการทบทวนตัวเองอ่ะนะ ใครไม่อยากอ่านก็เลื่อนผ่านไปล่ะกันครับ ผมแค่หาที่บ่น 555
ผมเป็นคนที่ไม่เคยเครียดในเรื่องการลงทุนเลย เพราะผมยึดคำของปู่มังเกอร์มาใช้ตลอดว่า
"ถ้าผมรู้ว่าผมจะต้องตายที่ไหน ผมจะได้ไม่ไปที่นั่น"
มันใช้กันได้ดีมากกับการลงทุนนะ เพราะผมจะได้ไม่ต้องทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป แต่ผมจะเลือกลงทุนในสิ่งที่ผมเข้าใจมันดีมากจริง ๆ ลงทุนในสิ่งที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของผม
แล้วมันก็ทำให้ผมลงทุนได้อย่างสบายใจมากเลยนะ เพราะผมไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนสูงเว่อจนเกินไป ผมต้องการแค่ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล ที่ในระยะยาวมันสามารถ Compound แล้ว ทำให้คุณภาพชีวิตของผมและครอบครัว อยู่ได้อย่างสุขสบาย และไม่กลับไปลำบากอีกเลย
1
ที่ผมวางแผนการลงทุนแบบนี้ เหตุผลหลักก็มาจาก วิถีการใช้ชีวิต ของตัวผมเอง เพราะผมไม่ได้ต้องการอะไรที่มันมากมายเท่าไร แค่ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ผมอยู่ได้อย่างสบายกายสบายใจ มีพอที่จะให้ผมสามารถเลือกกำหนดชีวิตตัวเองได้ ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องดิ้นรนทะยานอยาก ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร ทำในสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่จำเป็น ทำอย่างดีที่สุดราวกับเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ผมคิดว่าผมโชคดีมากเลยนะ เพราะเมื่อ 7 ปีก่อน ผมได้พบกับประสบการณ์สุดวิเศษ ที่ถ้ายังใช้ชีวิตเหลวแหลกแบบเดิม ๆ ก็คงไม่ได้สัมผัสกับมัน
ผมมีความเชื่อจากประสบการณ์ของตัวเองอยู่อย่างนึงว่า
"คนที่แค่นั่งหลับตาเงียบ ๆ อยู่เฉย ๆ ไม่ขยับตัวเลย ก็สามารถมีความสุขสุด ๆ ได้ อะไรจะมาทำให้คน ๆ นี้มีความทุกข์ได้กัน"
7 ปีก่อน พอผมได้เจอกับประสบการณ์แบบนี้ มันก็ทำให้ผมรู้แล้วว่า "ถ้ากูแค่ได้นั่งหลับตาเงียบ ๆ แล้วโคตรมีความสุขเลย กูยังจะต้องการห่าอะไรเยอะแยะอีกวะ 555"
สิ่งที่ผมตามหา มันก็เลยเป็นแค่ เหตุปัจจัยบางอย่างที่จะมาช่วยให้ผมสามารถอยู่ได้อย่างสันติแบบนี้ตลอดไป จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
โชคดีอีก ที่คณิตศาสตร์ที่ใช้สำหรับการเงินการลงทุน ที่สำคัญ ๆ พวกเราได้เรียนกันหมด ตั้งแต่จบ ม.ต้น แล้ว
ผมก็เลยสามารถคำนวณได้ว่า ผมจะต้องมีเงินเท่าไร ถึงจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงิน เพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ผม design ไว้ได้
คือถ้าคุณสามารถนั่งเงียบ ๆ แล้วมีความสุข แล้วอดทนกินขนมปังโฮลวีท วันละ 8 แผ่น กับนมจืดและผลไม้นิดหน่อย เพื่อพอประทังชีวิตได้เนี่ย คุณจะพบว่า คุณไม่ได้ต้องการใช้เงินเพื่อดำรงชีวิต เยอะสักเท่าไรหรอก (คือที่พูดเนี่ยเป็นการประชดประชันอย่างนึงนะ เพราะตอนไปปฏิบัติธรรม 10 วัน ผมกินขนมปังโฮลวีทประทังชีวิตในช่วงนั้นจริง เพราะผมไม่ถูกจริตกับอาหารมังเลย 5555)
ทีนี้พอหลักการการใช้ชีวิตเป็นแบบนี้ หลักการลงทุนก็เลยตามมาทีหลัง พอลองคำนวณดู ถ้าผมทำผลตอบแทนได้อย่างสมเหตุสมผลและสม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ โดยที่การใช้ชีวิตของเราไม่ได้ฟุ้งเฟ้อตามจำนวนเงินที่เพิ่มมากขึ้นสักเท่าไร ปลายทางเราก็สามารถรวยมาก ๆ ได้
เขียนเยอะเขียนยาวอีกแล้ว พอเขียนเรื่องของตัวเองนี่ มันก็สนุกดีเหมือนกันนะ 555
กองทุนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งกองทุน ที่ผม DCA ทุกเดือน ควบคู่ไปกับ SCBS&P500(SSFE) เพื่อใช้สร้างความมั่งคั่งให้กับครอบครัวในระยะยาวครับ
ผมไม่ได้แนะนำวิธีการใช้ชีวิตและหลักการลงทุนแบบนี้นะ ผมแค่มาเขียนสนุก ๆ ในสิ่งที่ผมทำเฉย ๆ เพราะแต่ละคนต้องเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง และยอมรับผลลัพธ์ของการเลือกนั้นให้ได้
สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมทำอยู่ การใช้ชีวิตและสไตล์การลงทุนแบบง่าย ๆ นี้ ผมมีความสุขและผมพอใจมาก
ผมคิดว่าชีวิตเราต้อง Trade Off นะครับ ถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนที่สูงเว่อเกินไปกว่าความสมเหตุสมผล แน่นอน ในการลงทุนบางอย่างที่มันอาจจะไม่ได้ Play Safe ขนาดนั้น เราก็จะต้องรับความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นมาระหว่างทางตอนเราเจอความผันผวนอันหนักหน่วงให้ได้
แต่สำหรับผม ผมขอเลือกความสุขทางใจ สุขภาพดี ความรักความสัมพันธ์กับคนที่ผมรักและรักผม การมีชีวิตที่มีความหมาย มีความมั่งคั่งพอประมาณให้ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ
ก่อนความร่ำรวยที่ต้องแลกมากับการมีแต่ความเครียด ความทุกข์ การต้องเสียสุขภาพ เสียความสัมพันธ์ที่ดีไป
สำหรับผม ผมไม่คิดว่าราคาที่ต้องจ่าย มันคุ้มค่ากันเลยสักนิด
ผมนึกถึงคำพูดคุณชูวิทย์ปีที่แล้วนะ แต่ผมจำประโยคเต็มไม่ค่อยได้เท่าไร
"ผมรวยมาก จนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร คนที่ยังไม่มีแบบผม จะคิดว่าแบบนี้มันมีความสุขมาก แต่ผมมีแล้ว ผมถึงได้รู้ไงว่า ชีวิตมันก็เท่านั้น"
ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัย แต่ปีที่แล้วผมติดตามดูคุณชูวิทย์บ่อยมากครับ 5555
และสุดท้าย ผมยังนึกถึงตัวละครที่ Brad Pitt แสดงในหนังเรื่อง The Big Shot
ผมเข้าใจตัวละครนี้ดีเลย เพราะผมโคตรเบื่อเลยกับสังคมที่แวดล้อมไปด้วยความโลภ ผมว่าให้ผมหนีไปปลูกเมล่อนคนเดียว ยังน่าจะมีความสุขความสงบมากกว่า..
โฆษณา