วิธีแบบใครทำไร ฉันก็ทำมั่ง เขาเรียกว่า Me Too Marketing เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดในการดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อสินค้า โดยทำตามแบรนด์ใหญ่
สังเกตให้ดีว่าทุกวันนี้เราเห็น me too product อยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด ทั้งอาหาร ขนม เครื่องดื่ม แชมพู สบู่ สกินแคร์ เครื่องปรุง ไปจนถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น
🔸ยาคูลต์ VS บีทาเก้น VS เมจิ ไลฟ์
🔸ลิโพ VS เอ็มร้อย VS กระทิงแดง VS ฉลามบุก VS คาราบาวแดง VS โลโซดี
🔸เป๊บซี่ VS โคล่า VS แฟนตา VS สไปท์
🔸เลย์ VS ก๊อบกอบ VS เทสต์โต
🔸ฮานามิ VS สแน๊คแจ๊ค VS ปาปริก้า
นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้าอีกหลายอย่างที่ล้วนแต่มีสินค้าในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ต่างแบรนด์ ต่างยี่ห้อ เป็นตัวเลือกให้คนได้ตัดสินใจซื้อมากขึ้น ถ้าจะมองในอีกมุมหนึ่ง Me Too Marketing ก็ไม่ต่างจากการที่ธุรกิจมีคู่แข่ง
เหตุผลที่ควรรู้ว่าทำไม Me Too Marketing ถึงได้รับความนิยม
ภาพของการเลียนแบบหรือทำตามกันยิ่งเด่นชัดมากในวงการแฟรนไชส์ ซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็น Me Too Franchise ได้เช่นกัน อะไรที่ขายดี เปิดตัวมาแล้วคนฮิต มักจะเกิดธุรกิจที่ทำตามเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น
📌ร้านหมูปิ้งก็ Me Too Franchise ในช่วงหนึ่งจะเห็นว่ามีคนมาทำธุรกิจนี้เยอะมากโดยเน้นทำเป็นหมูปิ้งเสียบไม้ส่งขายให้คนที่สนใจเอาไปขายต่อ ในภายหลังก็เริ่มเงียบเหงาและที่เหลืออยู่คือตัวจริงในธุรกิจนี้เท่านั้น
📌แม้แต่พวกแฟรนไชส์หม่าล่า , ชาบู , ร้านสะดวกซัก ก็ยิ่งชัดเจนว่าเกิด Me Too Franchise เยอะมาก ทำเลไหนที่เปิดมาแล้วลูกค้าสนใจมาก เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานเกินรอจะต้องมีแบรนด์อื่นมาเปิดแข่งในไม่ช้า
ในมุมกลับกัน Me Too Marketing ยังสะท้อนประโยชน์ในอีกหลายแง่มุม เหมือนที่ D. Johnson นักธุรกิจและนักเขียนชื่อดัง ได้พูดถึงสาเหตุที่ทำให้ไอเดียธุรกิจแป้กจนหาคู่แข่งไม่ได้ มีอยู่ 4 ข้อ ได้แก่