30 เม.ย. เวลา 12:30 • กีฬา

ตกชั้นปีเดียวคัมแบ็กสู่ลีกสูงสุด อัยยวัฒน์ตามรอยคุณพ่อ พาเลสเตอร์รีเทิร์น

ปี 2014 วิชัย ศรีวัฒนประภา พาเลสเตอร์ เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ใครจะไปคิดว่า อีก 10 ปีให้หลังลูกชายของเขาอัยยวัฒน์ ก็สามารถสร้างความสำเร็จแบบนั้นได้เหมือนกัน
4
เลสเตอร์เลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนชิพ ไปสู่พรีเมียร์ลีกเป็นทีมแรก ทุกอย่างเหมือนง่าย แต่เอาจริงๆ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เส้นทางก็ระทึกใจไม่น้อยเลย
ย้อนกลับไปวันที่ 30 พฤษภาคม 2023 สองวันหลังจากเลสเตอร์ ซิตี้ ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก อัยยวัฒน์ในฐานะประธานสโมสรกล่าวด้วยความเสียใจว่า "ในวันนี้ทุกคนคงต้องร่วมเจ็บปวดด้วยกัน แต่เราจะกลับมาให้ได้"
1
ทีมที่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอฟเอคัพ และ เข้ารอบ 8 ทีมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาแล้ว อยู่ๆ ต้องมาร่วงตกชั้น มันเป็นความรู้สึกที่เศร้า และเจ็บปวดมากๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ในช่วงที่ทีมตกชั้นใหม่ๆ สำหรับเจ้าของทีมอย่างอัยยวัฒน์ สิ่งที่เขาต้องเผชิญเป็นครั้งแรก คือ "ความคลางแคลงใจ" แฟนบอลทั้งโมโห และผิดหวัง จนมาระบายกับเจ้าของทีม
อัยยวัฒน์เล่าว่า "ช่วงแรกที่ตกชั้น ผมได้รับข้อความจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็พูดดีๆ ให้กำลังใจกัน แต่ก็มีบางคนบอกให้ผมขายสโมสรซะ บางคนใช้คำหยาบคาย ใช้คำที่ไม่ยั้งคิด และด่าทอรุนแรง" เอาเป็นว่าตัวเขา และคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก กว่าจะผ่านโมเมนต์นั้นมาได้
2
เมื่อตกชั้น ภารกิจแรกที่สโมสรต้องทำคือหาผู้จัดการทีมคนใหม่ พวกเขาไม่ต่อสัญญากับดีน สมิธ แต่ตัดสินใจหาแนวทางใหม่ๆ ไปเลย พวกโค้ชสหราชอาณาจักรเก๋าเกม แบบเบรนแด็น ร็อดเจอร์ส หรือ สมิธ เลสเตอร์ไม่เอาอีกแล้ว ไหนๆ ก็ร่วงตกชั้นแล้ว ก็ขอลองโค้ชทรงใหม่ๆ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงดีกว่า
2
และชื่อของเอ็นโซ่ มาเรสก้า ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียนวัย 43 ปี ก็พุ่งขึ้นมาเป็นแคนดิเดท
มาเรสก้าเป็นนักเตะจอมพเนจร เขาเล่นกับ 10 สโมสรตลอดอาชีพ พอแขวนสตั๊ด ได้งานแรกคือคุมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด u-23 จากนั้นได้งานคุมปาร์ม่า ในเซเรียบี แต่ทำทีมแพ้รัวๆ ก่อนโดนไล่ออกใน 6 เดือน จากนั้นก็กลับมาแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีกครั้ง ในฐานะผู้ช่วยของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า
มาเรสก้าช่วยเป๊ป พาแมนฯ ซิตี้ คว้า 3 แชมป์ได้สำเร็จในฤดูกาลที่แล้ว โดยสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด คือโอกาสแก้ตัวในการทำงานเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้ง หลังจากพลาดไปที่ปาร์ม่า
1
มาเรสก้า มีทุกอย่างที่เลสเตอร์ต้องการ เขาพูดอังกฤษได้ดี และเข้าใจฟุตบอลแชมเปี้ยนชิพ เพราะเคยเล่นอยู่กับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนในช่วงต้นอาชีพ นอกจากนั้นยังเคยทำงานใกล้ชิดกับเป๊ป แปลง่ายๆ ว่าอาจเอาความรู้ที่ได้จากเป๊ป มาประยุกต์ใช้กับเลสเตอร์ได้เหมือนกัน
1
ถ้ามิเกล อาร์เตต้า ผู้ช่วยของเป๊ปคนก่อน ทำผลงานได้ดีกับอาร์เซน่อล มาเรสก้าก็สามารถเดินตามเส้นทางนั้นได้ และเขาอาจเปลี่ยนเลสเตอร์ จากทีมที่เล่นเกมเคาน์เตอร์ แอทแท็กได้ดี กลายมาเป็นทีมที่เน้นการครองบอล ต่อบอลไหลลื่นแทนก็ได้
1
อัยยวัฒน์ กับ มาเรสก้า นัดคุยกันที่อพาร์ทเมนต์ของอัยยวัฒน์ในกรุงลอนดอน และมาเรสก้าได้แชร์แนวคิด ว่าเขาจะสร้างเลสเตอร์ได้อย่างไร ความต้องการของมาเรสก้าคือ "Rebirth" ทำให้เลสเตอร์เกิดใหม่ ด้วยสไตล์การเล่นเฉพาะตัว
สุดท้ายอัยยวัฒน์ และจอน รัดกิ้น ผู้อำนวยการฟุตบอลก็ซื้อไอเดียนี้ พวกเขาเซ็นสัญญากับมาเรสก้า ที่ประสบการณ์เหมือนจะน้อย แต่ก็ถือว่านับหนึ่งไปพร้อมกัน
ภารกิจอย่างแรก คือหาโค้ชใหม่ลุล่วง เข้าสู่ภารกิจอย่างที่สองของเลสเตอร์ คือการลดค่าใช้จ่าย
ตามปกติ สโมสรที่เล่นในพรีเมียร์ลีก จะได้เงินค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดขั้นต่ำปีละ 100 ล้านปอนด์ แต่พอร่วงมาอยู่แชมเปี้ยนชิพ สโมสรจะได้เงินค่าลิขสิทธิ์เหลือ 7 ล้านปอนด์ต่อปีแค่นั้น
ในเคสของเลสเตอร์ ถือว่ายังดี เพราะว่าได้เงินค่า Parachute Payment ที่พรีเมียร์ลีกจะจ่ายให้ทีมที่ตกชั้นเป็นกรณีพิเศษ พวกเขาจึงได้รับค่าลิขสิทธิ์ประมาณ 45-50 ล้านปอนด์ คือมากกว่าทีมอื่นในแชมเปี้ยนชิพ แต่ก็ยังโดนหั่นลงไปกว่าครึ่ง จากที่ปกติเคยได้รับอยู่ดี
2
นั่นคือเหตุผลที่เลสเตอร์ต้องโละกลุ่มนักเตะค่าตัวแพงออกไปจากทีมทั้งหมด เช่น ยูริ ตีเลมองส์, อโยเซ่ เปเรซ, นัมปาลิส เมนดี้, จอนนี่ อีแวนส์ และ ไรอัน เบอร์ทรานด์ นอกจากนั้นต้องยอมตัดใจขายคีย์แมน เพื่อเก็บเงินสดเอาไว้ก่อน เช่น เจมส์ แมดดิสัน (สเปอร์ส), ฮาร์วีย์ บาร์นส์ (นิวคาสเซิล) และ ทิโมธี กัสตาญ (ฟูแล่ม) สามคนนี้ขายได้รวมกัน 85 ล้านปอนด์
เมื่อได้เงินก้อนมา เลสเตอร์ ใช้จ่ายอย่างระวัง เอาไปซื้อนักเตะคุณภาพดี ราคาไม่แพงเกินไป เช่น อดีตตัวทีมชาติอังกฤษ แฮร์รี่ วิงส์ (10 ล้านปอนด์จากสเปอร์ส) และ คอเนอร์ โคดี้ (7 ล้านปอนด์จากวูล์ฟแฮมป์ตัน), นายทวารมือหนึ่งคนใหม่ มัดส์ เฮอร์มันเซ่น (6 ล้านปอนด์จากบรอนด์บี้) รวมถึงยืมตัวอับดุล ฟาตาวี่ จากสปอร์ติ้ง ลิสบอน
คนที่อยากอยู่ต่อ ก็ต้องยอมรับได้ ถ้าค่าเหนื่อยต้องโดนหั่น มีรายงานว่านักเตะหลายคน โดนตัดค่าเหนื่อย 50% แต่ถ้าได้เลื่อนชั้นค่าเหนื่อยก็จะกลับมาเหมือนเดิม
1
เมื่อได้โค้ชใหม่ และได้กลุ่มผู้เล่นใหม่แล้ว ก็ได้เวลาที่เลสเตอร์ต้องลุยไปข้างหน้า เพื่อเป้าหมายการเลื่อนชั้น
ช่วงปรีซีซั่น หลังจากเลสเตอร์มาเยือนกรุงเทพฯ แต่ไม่ได้เตะกับสเปอร์สเพราะสนามราชมังฯ มีน้ำขัง พวกเขาบินต่อไปสิงคโปร์เพื่อเล่นเกมอุ่นเครื่องกับลิเวอร์พูล จากนั้นก็บินกลับมาที่อังกฤษ เพื่อเก็บตัวที่สนามซ้อมซีเกรฟทันที
7
มาเรสก้า ร้องขอให้นักเตะมาซ้อม 2 เซสชั่นต่อวันในช่วงปรีซีซั่น จากปกติจะซ้อมแค่วันละครั้ง เพื่อทำให้นักเตะเข้าใจไอเดียฟุตบอลของเขาโดยเร็วที่สุด โดยสโมสรขอให้นักเตะนอนในห้องพัก ในสนามซ้อมซีเกรฟ ตื่นมาซ้อมได้เลย
มาเรสก้า เป็นผู้จัดการที่เล่นฟุตบอลแบบเน้นการครองบอล โดยแฮร์รี่ วิงส์ อธิบายว่า "ผู้จัดการทีมเป็นคนที่มีความรู้เรื่องแท็กติกสูงมาก เขาอธิบายให้เราเข้าใจว่า การเคลื่อนที่แต่ละอย่างต้องมีเหตุผล ไม่ใช่แค่ครองบอลให้เยอะเฉยๆ" คือการเปลี่ยนเลสเตอร์ที่เล่นเกมไดเร็กต์ ให้เป็นทีมที่เน้นการต่อบอลสั้นแทน เรียกได้ว่า คนเป็นโค้ชต้องอธิบายอย่างอดทนทีละสเต็ปเลยทีเดียว
มีนักเตะ 6 คน ที่ตอนแรกแจ้งว่าอยากย้ายทีมเพราะเลสเตอร์ตกชั้น แต่พอมาเรสก้าเข้ามา และเริ่มซ้อม พวกเขาเปลี่ยนใจ เพราะโค้ชดูมีของจริงๆ และสไตล์ฟุตบอลเข้าท่า โดยในจำนวนนั้น คือตัวหลักของทีม เช่น วิลเฟรด เอ็นดีดี้, เว้าท์ ฟาส และ ยานนิก เวสเตอร์การ์ด เป็นต้น
ระบบการเล่นของเลสเตอร์ ในช่วงต้นฤดูกาล ใช้แผน 4-3-3 คล้ายๆ กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้รักษาประตูใช้เฮอร์มันเซ่น กองหลัง 4 คน มีริคาร์โด้ เปเรยร่า, เว้าท์ ฟาส, ยานนิก เวสเตอร์การ์ด, คัลลัม ดอยล์ (สลับกับเจมส์ จัสติน)
กองกลาง 3 คน มีเคียร์นัน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์ ดาวรุ่งที่เคยเล่นทีมสำรองร่วมกับธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ในช่วง 2 ปีก่อน, แฮร์รี่ วิงส์ และ วิลฟรีด เอ็นดีดี้ ส่วนกองหน้า 3 ตัวก็จะหมุนๆ สลับกันไป แต่ตัวหลักที่ลงบ่อย คือ สเตฟฟี่ มาวิดีดี้, อับดุล ฟาตาวู และ เจมี่ วาร์ดี้ แต่พวกเคเลชี่ อิเฮียนาโช่ หรือ แพตสัน ดาก้า ก็ได้ลงเป็นระยะๆ
คือคุณภาพผู้เล่นของเลสเตอร์ เป็นระดับพรีเมียร์ลีกอยู่แล้ว เอานักเตะกลุ่มนี้ มาชนกับพวกเบิร์นลีย์, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็ไม่เป็นรองแน่ๆ ดังนั้นเมื่อปะทะกับทีมจากลีกแชมเปี้ยนชิพ ก็เลยเหนือกว่ากันมากๆ ตั้งแต่แรก
2
14 เกมแรกของฤดูกาล เลสเตอร์ ชนะ 13 เสมอ 0 แพ้ 1 เก็บไป 39 จาก 42 แต้ม นำเป็นจ่าฝูงแบบหายห่วง
จากนั้นเลสเตอร์ เดินหน้าไล่ขยี้คู่แข่งต่อไป หลังจากผ่านไป 32 เกม พวกเขาเก็บแต้มได้ 78 แต้ม ทิ้งห่างอันดับ 2 มากถึง "14 คะแนน"
14 คะแนน กับเกมที่เหลือแข่งอีก 14 นัด ดูยังไงเลสเตอร์ก็ไม่น่าจะพลาดได้ ควรเข้าป้ายคว้าแชมป์ แล้วเลื่อนชั้นแบบแบเบอร์
มาเรสก้า ต้องการเดินหน้าฆ่าให้ตาย บางครั้งก็มีการกดดันนักเตะในทีมอยู่ไม่น้อย ให้ชนะ ชนะ ชนะ ต่อไปเรื่อยๆ เขาให้สัมภาษณ์ว่า "ผมพูดกับนักเตะชัดเจน ว่าถ้าใครฟอร์มดร็อป คุณจะไม่ได้เล่น ผมบอกกลางที่ประชุมเลยว่า 'ถ้าใครเล่นดร็อปจากฟอร์มปกติใน 2 นาทีแรก ผมจะเปลี่ยนตัวทันที' เราไม่อนุญาตให้แผ่ว ให้เล่นดร็อปลงหรืออะไรทั้งนั้น เรายังไม่สำเร็จอะไรเลย เราต้องชนะ และชนะต่อไปเรื่อยๆ"
ความตั้งใจอันแรงกล้าเป็นสิ่งดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ ว่ามันก็ยิ่งเป็นการโยนความเครียดให้นักเตะเหมือนกัน
ปัญหาสำคัญในช่วงครึ่งซีซั่นหลังของเลสเตอร์ คือเรื่องการเงิน พวกเขาไม่สามารถซื้อนักเตะคนไหนได้เลยในช่วงตลาดหน้าหนาว เพราะแค่นี้ก็เตรียมโดนลงดาบจากกฎการเงิน PSR อยู่แล้ว (ใช้จ่ายเงิน มากกว่า กำไรที่หาได้)
จริงๆ มาเรสก้า ต้องการผู้เล่นเข้ามาเสริมอีก 2-3 ตัว ในตลาดหน้าหนาว แต่เลสเตอร์ให้ไม่ได้ คืออัยยวัฒน์มีเงินส่วนตัวจากคิง เพาเวอร์อยู่แล้ว แต่ไม่สามารถเอาเงินนั้นมาซื้อนักเตะใหม่ได้ เพราะผิดกฎ PSR
ซื้อไม่ได้ แถมยังต้องมาเสียผู้เล่นบางคนอีก เช่น เซซาเร่ คาเซเด ที่ลงเล่นเป็นประจำในครึ่งซีซั่นแรก ก็โดนเชลซีเรียกตัวกลับ รวมถึงวิลฟรีด เอ็นดีดี้ ก็บาดเจ็บยาว 2 เดือนเต็ม
1
หลังจากเลสเตอร์นำ 14 แต้ม และเหลืออีก 14 นัดให้ลงเล่น ก็มีข่าวใหญ่ขึ้น เมื่อ พรีเมียร์ลีก และ อีเอฟแอล เตรียมจะ "ตัดแต้ม" เลสเตอร์ที่ละเมิดกฎ PSR โดยมีความเป็นไปได้ ว่าจะตัดแต้มในซีซั่นนี้เลย จนสโมสรต้องขู่ว่าจะฟ้องทางกฎหมายแน่ ถ้าจะตัดกะทันหันกันแบบนี้จริงๆ
สุดท้ายแต้มของเลสเตอร์ไม่โดนตัดก็จริง แต่ในช่วงแรก เรื่องนี้บั่นทอนความรู้สึกของสโมสรอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าจะตัดยังไง ตัดกี่แต้ม เพราะเสียสมาธิปั๊บ มันส่งผลต่อเกมในสนามทันที
เกมนัดที่ 33,34 และ 35 เลสเตอร์ แพ้รวด 3 นัดแบบที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ
พอแพ้สามนัดรวด (และเป็นการแพ้คาบ้าน 2 นัด) ทุกอย่างเลวร้ายหมด แฟนบอลจำนวนหนึ่งออกมาด่า เอ็นโซ่ มาเรสก้า ว่าฝีมือไม่ได้เรื่อง
นอกจากนั้นยังมีดราม่านอกสนามอีก เพราะสโมสรประกาศขึ้นราคาตั๋วซีซั่น 5% ในฤดูกาลหน้า คือก็สมเหตุสมผล ถ้าคิดว่าทีมเตรียมเลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนชิพ ไปพรีเมียร์ลีก แต่แฟนบอลพันธุ์แท้ของสโมสรก็รวมตัวประท้วง ว่าผู้บริหารทีมเห็นแก่เงิน
บรรยากาศทุกอย่างมันแย่หมด เข้าสู่เกมที่ 41 และ 42 ของฤดูกาล เลสเตอร์แพ้ มิลล์วอลล์ และ พลีมัธ อาร์ไกล์ สองทีมครึ่งล่างของตารางด้วยสกอร์ 1-0 ทั้งคู่ สถานการณ์วิกฤติขั้นสุด มีโอกาสโดน ลีดส์ และอิปสวิช แซงได้ทุกเมื่อ
เกมนัดที่ 43 ของซีซั่น เลสเตอร์ เจอกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่คิงเพาเวอร์ นี่เป็นเกมชี้เป็นชี้ตาย ถ้าหากแพ้คาบ้านอีก คราวนี้กำลังใจหมดสิ้นแน่ โดนทั้งลีดส์ และอิปสวิชแซงแน่ นั่นทำให้อัยยวัฒน์บินไปอังกฤษ และนั่งชมเกมในสนามด้วย
ก่อนเกมจะเริ่ม เขาเขียนจดหมายลงหน้าเพจของสโมสรเลสเตอร์ มีใจความว่า
"เราเข้าสู่ช่วงสำคัญของฤดูกาล ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อคว้าสิทธิ์เลื่อนกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก ตอนนี้เรามุ่งหน้าสู่ 4 เกมสุดท้ายที่ชี้เป็นชี้ตาย ผมจึงอยากขอใช้โอกาสนี้ พูดคุยกับแฟนบอลทุกคนโดยตรง
2
ศึกแชมเปี้ยนชิพ เป็นการแข่งขันที่ยาวนาน และที่ผ่านมาพวกเราได้สู้กันจนสุดพลัง เพื่อที่จะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตได้ด้วยมือตัวเอง ดังนั้นตอนนี้เราทุกคนต้องรวมใจกันไว้ สู้ด้วยกัน ทั้งนักเตะ สตาฟฟ์ และกองเชียร์ เราต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะก้าวผ่านเส้นชัยไปให้ได้
3 จาก 4 เกมที่เหลือ เราเล่นที่นี่ ที่สนามคิงเพาเวอร์ มันเป็นโอกาสทอง ที่เราต้องคว้ามาครองให้ได้ ดังนั้นส่งกำลังใจให้ทีมของเรา ด้วยพลังทั้งหมดที่คุณมี ถ้าเกิดสถานการณ์ดี เราได้เปรียบคู่แข่ง ให้ใช้พลังนั้นกดดันหนักๆ จนอีกฝ่ายเป๋ไปเลย แต่ถ้าเราพลาดพลั้งขึ้นมา ให้ใช้พลังเชียร์ของเราในการดึงทีมขึ้นมาจากเหวเพื่อสู้ต่อ
4
คู่ต่อสู้ของเราต้องหวาดกลัวแน่ๆ ที่ไม่สามารถทำลายจิตใจอันแข็งแกร่งของเราได้ พวกเขาจะไม่สามารถทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของเรา ความเชื่อมั่นของเรา เพราะจิ้งจอกฝูงนี้ไม่เคยยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
3
จากเสียงนกหวีดแรก ถึงนกหวีดสุดท้าย เราต้องการทุกคนให้กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 12 เพื่อช่วยซัพพอร์ททีม และช่วยทำให้คู่แข่งของเราเจอความยากลำบากอย่างที่สุด
ผมอยากให้คู่แข่งของเรากลับบ้านไปโดยรู้สึกว่า 'แฟนบอลคือส่วนสำคัญที่ทำให้การแข่งออกมาเป็นแบบนี้' ดังนั้นนักเตะและแฟนบอล ถ้าเรารวมพลังกัน และใช้หัวใจทุกสิ่งทุกอย่างในสนาม เราจะได้ผลลัทธ์ที่เราต้องการ
1
เรามาทำงานหนักในส่วนของพวกเรา และสู้ไปกับนักเตะนะ
1
เพราะ Foxes. Never. Quit.
ฝูงจิ้งจอกไม่มีวันยอมแพ้
2
อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา - ประธานสโมสร"
อัยยวัฒน์ อยากให้ทุกคนมีสมาธิในสนาม นักเตะ และแฟนบอลต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถ้าอยากเลื่อนชั้น คุณต้องสามัคคีเข้าไว้ รวมพลังให้เป็นหนึ่ง
1
ไม่ใช่แค่ประธานสโมสรที่สนใจ แต่ตัวนักเตะเองก็รู้ความสำคัญของเกมนี้เช่นกัน ฮัมซ่า เชาดรี้ เล่าว่า "ก่อนเกมกับเวสต์บรอมวิช นักเตะจัดมีตติ้งกัน เราเปิดอกคุยกัน สรุปใจความวันนั้นคือ 'ความแย่ทั้งหลายมันต้องสิ้นสุดได้แล้ว ตอนนี้ได้เวลาแล้วที่เราต้องวิ่งเข้าเส้นชัยให้ได้' มันคือการกลับมามีสมาธิ และสนใจแค่เรื่องในสนามอีกครั้ง"
1
เมื่อแฟนบอลและนักเตะรวมใจเป็นหนึ่ง เลสเตอร์มุ่งมั่นเต็มที่ จึงเอาชนะเวสต์บรอมวิช ได้ 2-1 ในเกมที่สุดระทึกมาก เวสต์บรอมฯ โดนฮัมซ่า เชาดรี้ สกัดบอลจากเส้นถึง 3 ครั้งในนัดเดียว
3
พอกรรมการเป่านกหวีดดัง มาเรสก้าดีใจอย่างบ้าคลั่ง วาร์ดี้เหวี่ยงหมัดเฮไปกับคนดู ส่วนอัยยวัฒน์ก็น้ำตาซึม ทุกคนโล่งใจเพราะมันคือการปลดล็อกทุกสิ่งทุกอย่าง
1
จากนั้นเกมที่ 44 ของฤดูกาล เลสเตอร์กลับมามั่นใจแล้ว พวกเขาถล่มเซาธ์แฮมป์ตัน 5-0 เหนือชั้นและเด็ดขาด ฟอร์มอันสุดยอดเหมือนช่วงต้นซีซั่นกลับมาอีกครั้ง
และเมื่อลีดส์ ยูไนเต็ด คู่แข่งแย่งแชมป์ไปสะดุด พลาดแพ้ควีนสพาร์ก เรนเจอร์ส ในนัดที่ 45 ทำให้แต้ม "ขาด" เรียบร้อย เลสเตอร์เลื่อนชั้นเป็นทีมแรกของแชมเปี้ยนชิพ ได้กลับสู่ลีกสูงสุด หลังจากหล่นไปแค่ปีเดียวเท่านั้น
จากนั้นในวันจันทร์ที่ 29 เมษายน เลสเตอร์ลงเล่นเกมที่ 45 บุกไปชนะเปรสตัน นอร์ธเอนด์ได้ 3-0 การันตี 100% ว่าพวกเขาจะเลื่อนชั้นด้วยการเป็นแชมป์ลีกด้วย
1
ท่ามกลางดราม่าทั้งหลาย ทั้งปวง พวกเขายังตั้งสติทัน คัมแบ็กกลับมาก่อนจะสายเกินไป และคว้าชัยชนะในช่วงชี้เป็นชี้ตายได้สำเร็จ
2
สำหรับการเลื่อนชั้นครั้งนี้ คือหมุดหมายสำคัญของตัวอัยยวัฒน์เองด้วย เพราะมันเป็นการทำสิ่งที่คุณพ่อของเขา วิชัย ศรีวัฒนประภาเคยทำได้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
3
ในฤดูกาล 2013-14 วิชัย พาเลสเตอร์เลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนชิพ มาสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ใครจะเชื่อว่า 10 ปีพอดี ลูกชายอัยยวัฒน์ จะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน
3
นี่เหมือนเป็นการเริ่มต้นอีกครั้งของเลสเตอร์ ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของอัยยวัฒน์อย่างแท้จริง เป็นเรื่องที่รู้สึกยินดีไปกับเขาเป็นอย่างมาก
ความสำเร็จครั้งนี้ต้องชื่นชมการตัดสินใจของทีมงานบริหาร ที่เลือกเอามาเรสก้าเข้ามา ทั้งๆ ที่มีประสบการณ์น้อยมาก เชื่อมั่นในสัญชาตญาณว่าโค้ชคนหนุ่มคนนี้ จะพาทีมเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
รวมถึงทักษะฝีมือการซื้อขายที่เฉียบคม เสียนักเตะไปเพียบ และติดปัญหา PSR แต่ใช้จ่ายอย่างฉลาด จนทีมแกร่งพอที่จะเลื่อนชั้นได้สำเร็จ
ในฤดูกาลหน้า พวกเขาต้องเจอกับความยากลำบากหลายอย่างมาก จุดสำคัญที่สุดคือ กฎ PSR ที่เลสเตอร์ รอดจากการโดนตัดแต้มในซีซั่นนี้ แต่พวกเขาอาจโดนตัดแต้มในฤดูกาลหน้าบนพรีเมียร์ลีก เหมือนกับเอฟเวอร์ตัน และ ฟอเรสต์ ที่โดนไปแล้ว อยู่ที่ว่าจะสู้คดีชนะหรือเปล่า
1
สมมุติว่าถ้าโดนตัดแต้ม แปลว่าต้องเริ่มต้นซีซั่นด้วยแต้มติดลบ แล้วแบบนี้ เลสเตอร์จะเอาตัวรอดในพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ นี่คือคำถาม
รวมถึงฝีมือของมาเรสก้า ที่โอเคในระดับแชมเปี้ยนชิพ แต่เมื่อเจอเลเวลของพรีเมียร์ลีกจะไหวไหม ป่านนี้ยังมีแฟนบอลคลางแคลงใจในฝีมือของเขาไม่น้อยเลย
แต่เอาล่ะ ยังไงซะนั่นคือเรื่องของอนาคต ในวินาทีนี้ โมเมนต์นี้ เลสเตอร์สมควรที่จะได้ดีใจกับความสำเร็จที่พวกเขาสร้างขึ้น แม้จะมีช่วงสะดุดบ้าง หกล้มบ้าง แต่เลสเตอร์ทำภารกิจลุล่วงแล้ว
1
ส่วนอัยยวัฒน์ก็สามารถทำได้ตามที่เขาพูด
เขาเคยบอกในวันตกชั้นว่า "จะกลับมาให้ได้" และก็อย่างที่เราเห็น เลสเตอร์ทีมนี้ สามารถเลื่อนชั้นคัมแบ็กสู่ลีกสูงสุดได้ในปีเดียวจริงๆ
โฆษณา