Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
1 พ.ค. 2024 เวลา 11:15 • กีฬา
กฎใหม่พรีเมียร์ลีก Spending Cap กฎที่อาจพลิกเกมลุ้นแชมป์
พรีเมียร์ลีก เตรียมเปิดใช้งานกฎใหม่ชื่อ Spending Cap ที่จะทำให้การแข่งขันมันสูสีมากขึ้น และไม่ผูกขาดแชมป์
2
กฎนี้คืออะไร มันช่วยทีมเล็กอย่างไร และข้อดี-ข้อเสีย อยู่ตรงไหน เราจะไปไล่เรียงกันตั้งแต่แรกนะครับ
ความจริงที่ใครๆ ก็ต้องยอมรับคือ พรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด เอาชนะลีกอื่นแบบกระจุย
ทั้ง 20 ทีมที่เล่นในพรีเมียร์ลีกได้ค่าตอบแทนมหาศาลมาก ขั้นต่ำคือปีละประมาณ 100 ล้านปอนด์ ใครจะไปเชื่อ ว่าทีมที่เป็นบ๊วยอย่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด จะได้ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด พอๆ กับ เลเวอร์คูเซ่น ทีมแชมป์ของบุนเดสลีกา
2
จุดขายของพรีเมียร์ลีก นั่นคือ เมื่อแต่ละสโมสรได้เงินสนับสนุนรายปีเยอะ ก็จะเอาเงินก้อนนั้นแหละไปทุ่มซื้อผู้เล่น มาเสริมทีมให้แกร่งขึ้น
20 ทีม ระดมเงินซื้อนักเตะกันอย่างบ้าคลั่ง ใครจะซื้อเท่าไหร่ก็ได้ จ่ายค่าเหนื่อยเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีเพดานเงินเดือนมาขวางกั้นแบบในอเมริกันเกมส์ ดังนั้นพอมีการเสริมทัพเต็มที่ขนาดนี้ คนดูก็ได้เสพฟุตบอลคุณภาพทุกสัปดาห์
กฎเดียวที่คอยเบรกสโมสรไม่ให้ใช้เงินเยอะเกินไป คือ PSR (ห้ามใช้จ่าย มากกว่ารายได้ ที่หาได้) ซึ่งคล้ายๆ กับไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ ของยูฟ่านั่นเอง
แต่ต่อให้มี PSR สิ่งที่สโมสรจำนวนมากของพรีเมียร์ลีก รู้สึกมานานแล้วคือ "ความผูกขาด"
หลายสโมสรรู้สึกเหมือนเป็นตัวประกอบในพรีเมียร์ลีกเฉยๆ ที่มีหน้าที่แข่งลีกให้จบ 38 นัด ไม่มีหวังจะได้ลุ้นแชมป์อะไรกับเขา
มีการยกไปเปรียบเทียบกับอเมริกันเกมส์ เช่น เบสบอล MLB ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีทีมได้แชมป์เวิลด์ซีรีส์มากถึง 9 ทีม ทุกๆ คนมีลุ้นจะได้เป็นแชมป์ทั้งนั้น แต่ในพรีเมียร์ลีก เรื่องนี้ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ ทีมกลางๆ คุณจะเอาอะไรไปแย่งแชมป์จากพวกหัวตารางที่ร่ำรวยได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือทีมใหญ่ไม่เกรงกลัวกฎ PSR เพราะถ้า "ห้ามใช้จ่าย มากกว่ารายได้ที่หายได้" ก็แค่ไปหารายได้จากที่อื่นมา อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็มีกลุ่มทุนอาบูดาบี คอยซัพพอร์ทเรื่องเงินอยู่ ดังนั้นจะซื้อใคร จะจ่ายค่าเหนื่อยเท่าไหร่ ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
นี่เป็นปัญหาที่น่าสนใจ เพราะถ้าทีม A ใช้เงินได้ปีละ 1 พันล้านปอนด์ แล้วทีม B ใช้เงินได้ปีละ 1 ร้อยล้านปอนด์ ช่องว่างของสองทีมนี้จะยิ่งห่างกันขนาดไหน
ความสนุกของพรีเมียร์ลีก คือทีมเล็กสู้กับทีมใหญ่ได้หมด แต่ถ้าวันหนึ่งงบประมาณมันห่างกันเรื่อยๆ แล้วทีมเล็กจะเอาอะไรมาสู้ มันจะเหมือนเราดูลีกเอิง ที่เห็นเปแอสเช ไล่ยำคู่แข่งแบบวันเวย์หรือเปล่า?
นั่นคือที่มาของกฎใหม่ที่เรากำลังจะกล่าวถึงต่อจากนี้
เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2024 ผู้บริหารของพรีเมียร์ลีก ได้เสนอกฎ Spending Cap หรือ "เพดานค่าใช้จ่าย" ขึ้นมา
โดยระบุว่าทั้ง 20 ทีมในพรีเมียร์ลีก ต่อจากนี้ไป ไม่สามารถใช้เงินได้อิสระอีกแล้ว แต่จะมีเพดานขึ้นมา เพื่อไม่ให้ใช้จ่ายมากไปกว่านี้
แล้วเพดานที่ว่านี้ คือกี่ปอนด์ต่อปี?
คำตอบคือ "แต่ละทีม จะสามารถใช้เงิน ซื้อนักเตะ + จ่ายค่าเหนื่อย + ค่าเอเยนต์ ได้สูงสุดเพียงแค่ 4.5 เท่าของเงินรางวัลและค่าถ่ายทอดสดที่ทีมอันดับ 20 ในซีซั่นก่อนได้รับ"
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ คือ ในฤดูกาลที่แล้ว 2022-23 ทีมอันดับ 20 พรีเมียร์ลีกคือเซาธ์แฮมป์ตัน พวกเขาได้เงินรางวัล รวมกับค่าถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์อยู่ที่ 103.6 ล้านปอนด์
ถ้าหากกฎใหม่นี้ถูกนำมาใช้ แปลว่า ทุกสโมสรจะมีเพดานค่าใช้จ่ายในฤดูกาลต่อไป (2023-24) อยู่ที่ 103.6 x 4.5 = 466.2 ล้านปอนด์ ห้ามใช้เงินเกินกว่านี้เด็ดขาด
1
466.2 ล้านปอนด์ต่อปี ดูเหมือนเยอะ แต่กับทีมใหญ่ๆ อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี, อาร์เซน่อล ไม่ใช่เงินที่เยอะขนาดนั้น
ในซีซั่นปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่ายค่าเหนื่อยให้ผู้เล่นในทีมชุดใหญ่ 191.4 ล้านปอนด์ และจ่ายเงินซื้อนักเตะใหม่ (พวกยอสโก้ กวาร์ดิโอล, เจเรมี่ โดกู) ทั้งสิ้น 233.5 ล้านปอนด์ รวมแล้วจ่ายไป 424.9 ล้านปอนด์
1
หลายคนเชื่อว่า ถ้ารวมเงินค่าเอเยนต์ และเงินที่จ่ายซื้อดาวรุ่งทั่วโลกมาอยู่อะคาเดมี่ รวมแล้วยังไงแมนฯ ซิตี้ ก็ต้องใช้จ่ายเกินเพดาน 466.2 แน่ๆ
เมื่อมีข้อเสนอจะเปิดใช้กฎใหม่จากพรีเมียร์ลีก ขั้นตอนต่อไปคือการโหวต
ในพรีเมียร์ลีก เวลามีประเด็นอะไรให้ต้องตัดสินใจ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน คนที่ทำการโหวต คือตัวแทนของ 20 สโมสร ญัตติใดๆ ก็ตาม ถ้าได้คะแนนเสียง 14 จาก 20 ของโหวตเตอร์ ก็จะถูกอนุมัติ
กฎทุกอย่าง เช่น พรีเมียร์ลีกจะเปลี่ยนตัว 3 คน หรือ 5 คน, การซื้อขายจะสิ้นสุดในวันแรกของแมตช์เดย์ 1 หรือ ตามปฏิทินวันที่ 31 สิงหาคม ฯลฯ ทุกๆ อย่าง จะใช้วิธีการโหวต
สำหรับกฎ Spending Cap นั้น ทางพรีเมียร์ลีก เปิดให้โหวตรอบแรก วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024 โดยถามว่า "รับหลักการหรือไม่" ถ้าหากรับ ก็จะเดินหน้าต่อ ไปปรับปรุงรายละเอียดของกฎให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ผลโหวตปรากฎว่า มี 16 ทีมในลีก "รับหลักการ" เห็นด้วยกับการควบคุมการเงิน
มี 3 สโมสรที่ "ไม่รับหลักการ" ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลล่า
และมี 1 สโมสรที่ "งดออกเสียง" ได้แก่ เชลซี
คะแนนเสียง 16-3-1 เกินเกณฑ์ที่กำหนดเรียบร้อย นั่นให้หลักการ Spending Cap ถูกรับรอง ตอนนี้ก็เหลือแค่ไปคุยกันต่อในเชิงดีเทลว่า ค่าใช้จ่ายควรเป็น 4.5 เท่า หรือ 5 เท่า ของรายได้ทีมอันดับ 20 และเรื่องการเปิดใช้งานวันแรก ว่าจะใช้ในฤดูกาลไหน
คำถามต่อไปคือเจ้ากฎที่ว่านี้ มีข้อดี หรือ ข้อเสียมากกว่ากัน
ข้อดีของกฎใหม่นี้ คือจะทำให้การแข่งขันสูสีขึ้น จะไม่มีทีมไหน ใช้เงินได้ฉีกจนเกินไป คุณมีเจ้าของรวยแค่ไหน ก็ใช้เงินได้ตามลิมิตแค่นี้ เป็นการวัดฝีมือการบริหารจัดการ
ทีมส่วนใหญ่ในลีก เห็นด้วยกับกฎนี้อยู่แล้ว เพราะพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบอะไร วงเงินตั้ง 466.2 ล้านปอนด์ ทำไมจะใช้ไม่พอ
แต่ข้อเสียที่สื่ออังกฤษมอง ก็มีเช่นกัน นั่นคือเรื่องคุณภาพของลีก
พรีเมียร์ลีกโด่งดังได้จนถึงวันนี้ เพราะการซื้อตัวอันบ้าคลั่ง ไม่มีขีดจำกัด จ่ายค่าเหนื่อยเท่าไหร่ก็ได้ มันเลยดึงดูดนักบอลทั่วโลกให้ย้ายมาเล่นที่นี่ แต่ถ้ามีการจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย อาจทำให้คุณภาพของลีกลดลงหรือเปล่า แล้วก็อาจส่งผลกระทบต่อความนิยม และค่าลิขสิทธิ์ด้วย
พรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน มีความเป็นทุนนิยมเต็มที่ ใช้เงินได้สนุกมือ จึงมีคนกังวลว่า ถ้าหากใช้กฎ Spending Cap ที่มีความเป็นสังคมนิยมนิดนึง จะเป็นการเดินไปผิดทางหรือเปล่า
คาเวห์ โซลเคฮอล หัวหน้านักข่าวกีฬาของสกายสปอร์ต บอกว่า "ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สมมุติพวกเขาหาเงินได้ปีละ 7-8 ร้อยล้านปอนด์ แต่โดนบังคับให้ใช้เงินได้ปีละ 450 ล้านปอนด์ เขาก็มีสิทธิ์จะคิดได้ว่า พวกคุณเป็นใคร ถึงมาสั่งว่าสโมสรสามารถใช้เงินได้เท่าไหร่"
นอกจากนั้น มีความกังวลใจอีกเรื่องว่า ถ้าจำกัดงบกันแบบนี้ บรรดาบิ๊กทีม ที่ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จะไม่สามารถพัฒนาทีมให้มีคุณภาพสูงสุด ไปสู้กับทีมระดับ เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค หรือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมงได้ด้วย
ลองคิดดูว่ายุคนี้ จู๊ด เบลลิงแฮม คนเดียวก็ราคา 100 ล้านปอนด์แล้ว นักเตะตัวท็อปสุดๆ ซื้อขายกันเรตนี้ทั้งนั้น แถมค่าเหนื่อยก็แพงระยับ แล้วเพดานแค่ 466.2 ล้านปอนด์ มันจะไปพออะไร
ฝั่งแมนฯ ซิตี้ และ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่หารายได้เก่งมากนอกสนาม จึงมองว่าใช้กฎเดิมดีกว่า หาได้เท่าไหร่ ก็ควรมีสิทธิ์ใช้จ่ายได้เท่านั้น ไม่ใช่มาสร้างเพดานเพื่อยับยั้งการเติบโตแบบนี้
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับกฎ Spending Cap คือสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ หรือ PFA ที่มองว่า ถ้ามีกฎนี้ รายได้ต่างๆ ของนักเตะก็อาจลดลงจากเดิม แทนที่จะทำเงินได้เยอะๆ แบบไร้ขีดจำกัดเหมือนในปัจจุบัน
1
เรื่องราวก็จบลงที่ตรงนี้ครับ โดยการโหวตขั้นสุดท้าย จะมีขึ้นในงานประชุมใหญ่ ประจำปีของพรีเมียร์ลีก (AGM) เดือนมิถุนายนนี้ แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรพลาด กฎ Spending Cap มาแน่นอน
เมื่อใช้เงินได้จำกัด คราวนี้ก็ต้องมาวัดกันที่ฝีมือการบริหารมากขึ้น ผู้อำนวยการกีฬาจะมีความสำคัญกว่าที่เคย เพราะต้องคอนโทรลทั้งค่าตัวนักเตะ และค่าจ้างของผู้เล่นไม่ให้ทะลุลิมิต ก็ถือเป็นความท้าทายที่เพิ่มจากเดิม
สำหรับผม ถ้าให้พูดตรงๆ คิดว่ากฎนี้ ถูกสร้างมาด้วยเหตุผล 2 ข้อ
ข้อแรก หลายๆ ทีม มองว่าตลาดนักเตะตอนนี้มันปั่นป่วนไปหมดแล้ว นักเตะฝีเท้าแค่พอโอเค แต่ขายกัน 40-50 ล้านปอนด์ การมีเพดานก็น่าจะทำให้ ตลาดนักเตะมันราคาไม่เฟ้อเกินเหตุ สามารถซื้อขายกันได้ในราคาปกติ
และข้อสอง นี่เป็นกฎที่เบรกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีงบประมาณอันลิมิเต็ดโดยตรง เพราะที่ผ่านมาทีมเรือใบสีฟ้าสามารถซื้อผู้เล่นได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องพะวงเรื่องการเงิน
ถ้าปล่อยไปแบบนี้ พรีเมียร์ลีกก็อาจถูกผูกขาด กลายเป็นบุนเดสลีกาที่บาเยิร์นได้แชมป์ 11 ปีซ้อน หรือ ลีกเอิง ที่เปแอสเชการันตีแชมป์อยู่ทีมเดียว
ดังนั้นก็แน่นอน ทีมที่จะเจอผลกระทบที่สุดกับกฎใหม่ ก็คือแมนเชสเตอร์ ซิตี้นี่แหละ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาไม่ยอมรับหลักการของ Spending Cap ในการโหวตรอบล่าสุด
แต่สุดท้าย ผมมองว่า มันก็เป็นโอกาสที่ดีของซิตี้เหมือนกัน ที่จะลบคำสบประมาท
คือตอนนี้ ทุกคนรู้ว่าทีมเรือใบสีฟ้าเก่งจริงๆ แต่ในอีกมุม ก็มีคำแซะอยู่เรื่อยๆ ว่า "แต่ที่เก่งได้ขนาดนี้ เพราะรวยกว่าใครหรือเปล่า?" ดังนั้นถ้ามีเพดานชัดเจนขนาดนี้ แล้วพวกเขายังคว้าแชมป์ได้ต่อเนื่องอีก ก็จะไม่มีใครสบประมาทได้อีกแล้ว
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่กฎใหม่จะเกิดขึ้นแน่นอน ในซีซั่น 2025-26 เป็นต้นไป และสโมสรไหนก็ตามที่บริหารการเงินไม่เป็น คอนโทรลเงินไม่ได้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในตอนจบ ก็บอกได้เลยว่า ยากจริงๆ
#KNOWYOURLIMITS
5 บันทึก
37
9
5
37
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย