Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น
•
ติดตาม
6 พ.ค. 2024 เวลา 05:52 • การเมือง
“เจ็บนี้อีกนาน…เจ็บช้ำไม่ลืม”
(8/1)
อียิปต์ นั้น เป็นประเทศที่น่าสนใจมาก …
มีฤทธิ์เดช เหลี่ยมคม รวมทั้งลูกเล่นไม่เบาเลย
ถ้าจะเปรียบเป็นคน อียิปต์ก็คงต้องเป็นระดับเจ้าพ่อ
และแม้จะเป็นเจ้าพ่อรุ่นโบราณสักหน่อย
ก็ไม่ได้หมายความว่าปัจจุบันนี้ เจ้าพ่ออียิปต์จะตกรุ่นใช้การไม่ได้
จืดชืด หรือ เหลี่ยมคมไม่มีเหลือ …
จึงอย่าประมาทหน้า หรือประเมินเจ้าพ่ออียิปต์ผิดไป
อียิปต์ เป็นเมืองเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ยาวนานน่าสนใจ
มีอารยะธรรมสูง มีปิรามิด มีมัมมี่ และมีสมบัติโบราณที่มีคุณค่า
ทางศิลปมากมาย ฯลฯ เอาไว้ชักชวนให้นักท่องเที่ยวไปชมดู …
ทำให้อียิปต์มีรายได้จากนักท่องเที่ยว มาช่วยเลี้ยงประเทศไม่น้อยเหมือนกัน
ในช่วงปี คศ 1700 ต้นๆ …อียิปต์ นับเป็นแคว้นหนึ่ง
ของอาณาจักรออตโตมาน และ นับเป็นเมืองท่าสำคัญ …
ที่อยู่ระหว่างเส้นทางเดินเรือการค้าขาย ระหว่างยุโรปกับเอเซีย
และก็เป็นเส้นทางเดียวกัน กับที่พวกนักล่าอาณานิคมทางตะวันตก
ใช้มาล่าเหยื่อทางตะวันออก
ไอ้ชาวเกาะนิ้วก้อยฯ ก็เลยใช้เส้นทางเดินเรือนี้เป็นประจำ
เพื่อไปมา ระหว่างบ้านมันกับอินเดีย ที่เป็นอาณานิคมยอดดวงใจของมัน
เมื่อไอ้นิ้วก้อยได้ข่าวว่าทางไอ้หรั่งเศส ก็มาแล่นเรือวนเวียน
อยู่แถวอียิปต์บ่อยๆเหมือนกัน…มันก็ออกอาการประสาทแดกฝันร้าย
คอยเฝ้ามอง และกล่าวหาว่าไอ้หรั่งเศส มาใช้เส้นทางนี้
ก็เพื่อหาโอกาส ที่จะแล่นเลยไปงาบเอาอินเดีย ที่เปรียบเสมือน
เป็นเพชรยอดมงกุฎของมัน
และนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง (ในจำนวนหลายๆๆเรื่อง)
ที่ทำให้ไอ้นิ้วก้อยกับไอ้หรั่งเศส มักมีเรื่องขบกัดกันอยู่เสมอ
แล้วก็เลยคบกันแบบไม่จริงใจต่อกัน
ปี คศ 1798… นโปเลียน ท่านแม่ทัพคนดังของไอ้หรั่งเศส
เลยยกทัพมาจริง…มาถึงอียิปต์ เพื่อลองเชิงไอ้นิ้วก้อย
นโปเลียน ตีกองทัพของ เมมลุค (Mameluk)
ผู้ครองนครของอียิปต์ขณะนั้น แตกกระเจิงอยู่หน้าปิรามิดอย่างง่ายดาย
ไอ้นิ้วก้อยรู้ข่าวเข้าก็สะดุ้งเฮือก …กลัวว่าฝันร้ายจะกลายเป็นจริง
เดี๋ยวนโปเลียนจะเลยไปชิงเอาอินเดีย ของรักของหวงของมันไป
ก็เลยรวบรวมเอาบรรดากองทัพของตัวที่อยู่แถวนั้น
นำโดยท่านหลอดเนลสันคนดัง ยกทัพใหญ่รีบมาขู่นโปเลียน
กองทัพเรือของนโปเลียน ถูกกองทัพใหญ่ของไอ้นิ้วก้อย
ล้อมอยู่ในอ่าวอบูเคียร์ (Abukir) อยู่พักใหญ่
ถอยไม่ออก เดินหน้าไม่ได้…ในที่สุดนโปเลียนคนดังก็จำต้องตัดใจ
สละเรือทิ้งแล้วตะกายขึ้นบก… ต่อด้วยเดินเท้าแบบหงอยๆ กลับฝรั่งเศสไป
และไอ้นิ้วก้อย ก็เลยฉวยโอกาสทิ้งกองทัพของตัวเอาไว้ที่อียิปต์
จนเต็มเมือง…อียิปต์ก็เลยดูเหมือนจะตกอยู่ภายใต้การปกครอง
ของไอ้นิ้วก้อยไปโดยปริยายตั้งแต่นั้นมา…
และการสู้รบ ระหว่างไอ้นิ้วก้อยกับไอ้หรั่งเศส เพื่อแย่งชิงอียิปต์
รวมทั้งการต่อสู้ของอียิปต์ เพื่อจะเอาตัวเองให้รอดจากพวกนักล่า
ก็มีอยู่เกือบตลอดเวลา
ย้อนไปใน ปี คศ 1798…เมื่อสมัยที่นโปเลียน มาแวะเมียงๆมองๆ
แถวอียิปต์นั้น…นโปเลียนไปเห็นคลองเก่า หรือเส้นทางน้ำสมัยโบราณ
ของอียิปต์เข้าก็เกิดความสนใจ …สั่งให้นายช่างชาวฝรั่งเศสและผู้ชำนาญ
ทั้งทางด้านโบราณคดี วิทยาศาสตร์ และวิศวกรรม ไปทำการสำรวจ
ทางอียิปต์เหนือ พร้อมทั้งทำแผนที่เกี่ยวกับเส้นทางน้ำทั้งหมดอย่างละเอียด
จากผลการสำรวจ …ได้ความว่า คลองเก่ารุ่นโบราณของอียิปต์นั้น
ขุดขึ้นไปทางเหนือของทะเลแดง และเลี้ยวออกไปทางตะวันตกสู่แม่น้ำไนล์
ต่อมาเมื่อนโปเลียน ได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ์ในปี คศ 1804 แล้ว
ก็มีความคิดที่จะขุดคลองยาว เชื่อมระหว่างทะเลแดงกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
(ก็คือ “ว่าที่” คลองสุเอซ นั่นแหล่ะ) ก็นับว่านโปเลียนนั้นเป็นนักรบที่ช่างคิด
และมองการณ์ไกลไม่น้อย
แต่แล้วนโปเลียนก็ต้องยกเลิกแผนที่จะขุดคลองเชื่อมนั้นไป
เพราะในการสำรวจอีกรอบในครั้งนั้น
มีข้อสรุปว่า ระดับน้ำในทะเลแดง “สูงกว่า”
ระดับน้ำของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถึง 8.5 เมตร …
แปลว่า จะต้องมีการสร้างระบบกักน้ำ (ทำนองทำนบ)ในทะเลแดง
ก่อนที่จะไปออกสู่เมดิเตอร์เรเนียน
และแปลว่า ถ้าคิดจะขุดคลองเชื่อมยาวตามข้อสรุปอย่างนั้น
จะต้องมีการลงทุนอย่างมหึมา …นโปเลียนก็เลยจำใจเลิกล้มความคิด
และมุ่งมั่นอยู่กับการยกทัพออกโรดโชว์ ตลุยตีเมืองต่างๆ ไปทั่วยุโรป
เพื่อเอามาเป็นเมืองขึ้นของไอ้หรั่งเศส
ถึงอย่างนั้น…เรื่องการขุดคลอง เชื่อมระหว่างทะเลแดง
กับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก็ยังอยู่ในความคิดของไอ้หรั่งเศส
ไอ้นิ้วก้อย และอียิปต์เจ้าผู้ของบ้านมาตลอด
ในปี คศ 1830… ท่านนายพลคนหนึ่งของอังกฤษ ที่ยังหมกมุ่น
อยู่กับการสำรวจ เรื่องระดับน้ำระหว่างทะเลแดง กับ เมดิเตอร์เรเนียน …
ได้ทำรายงานแจ้งไปทางรัฐบาลของไอ้เกาะนิ้วก้อย
“… มันไม่ได้มีความแตกต่างกัน …ของระดับน้ำหรอก…
เรื่องคลองสุเอซ…เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ …”
แต่รัฐบาลไอ้นิ้วก้อย กลับไม่มีปฏิกริยาใดกับรายงานดังกล่าว
เหมือนไม่สนใจแล้ว …และมุ่งหน้าใช้การขนส่งสินค้าและคนไปยังอินเดีย
อาณานิคมยอดดวงใจของตน ผ่านเส้นทางบกของอียิปต์ต่อไป
แต่ฝ่ายอียิปต์เองกลับเดินหน้า…เนื่องจากนาย Linant de Bellefonds
นายช่างชาวฝรั่งเศส …ที่ฝ่ายอียิปต์ว่าจ้างมาดูแลงานด้านบริการสาธารณะ
ก็เกิดสนใจเรื่องการขุคคลองนี้เหมือนกัน ก็เลยมีงานอดิเรก
เป็นการสำรวจเรื่องการขุดคลองสุเอซแบบเอาจริง ด้วยทุนของตนเอง
ไม่ใช่โดยใครว่าจ้าง…และในที่สุดนายช่าง de Bellefonds ก็ได้ข้อสรุป
ที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งว่า “มันเป็นไปได้โว้ย”
แล้วข่าวนี้ก็รั่วไปถึงฝรั่งเศส…
และในที่สุดในปี คศ 1846 …สมาคมนักขุดคลองของฝรั่งเศส
ก็เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย มาร่วมกันทำการสำรวจเรื่องนี้อย่างจริงจัง
มีนักสำรวจชื่อดังรายใหญ่ๆมากันไม่น้อย …
ในที่สุด ก็ได้ข้อสรุปจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญในแนวเดียวกัน
กับนายช่างนักสำรวจแบบงานอดิเรก…
ว่า “ไม่มี” ความแตกต่างทางระดับน้ำ ระหว่างทะเลแดง
กับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่อย่างใด
และฝ่ายฝรั่งเศส ก็เลยคิดจะเดินหน้า
เรื่องการขุดคลองเชื่อม ระหว่าง 2 ทะเลนั้น
ไอ้นิ้วก้อยได้ข่าวนี้เข้า ก็ประสาทแดก (ตามเคย)
เอะอะโวยวายว่า…แบบนี้ ใครๆ ก็ คงแห่กันมายุ่ง
กับอินเดีย “ของกู” กันหมดล่ะสิ …
แต่คราวนี้ ฝ่ายอียิปต์เสียงแข็ง…
นี่ มันเรื่องของเรา …เราจะเดินหน้าเรื่องขุดคลอง !!!
และในช่วงปี คศ 1858 …ผู้ที่ได้รับสัมปทานในการขุดคลองสุเอซ
จาก Mohammed Sa’id Pasha ผู้ปกครองอียิปต์ในขณะนั้น
คือ นาย Ferdinand de Lesseps ซึ่งเป็นนักการทูตชาวฝรั่งเศส
ที่มีความสนิทสนมกับผู้ปกครองของอียิปต์ มานานแล้ว
โดยเขาได้จัดการตั้ง บริษัท Suez Canal Company ขึ้นมา
เพื่อทำการขุดคลองสุเอซ
เมื่อฝ่ายฝรั่งเศสออกข่าวเรื่อง Suez Canal Company
และชวนให้ไอ้นิ้วก้อย และเพื่อนในยุโรปรวมทั้งบ้านปากเหม็น
ให้มาร่วมทุนด้วยกัน …โดยฝ่ายฝรั่งเศสแบ่งหุ้นไว้ให้ส่วนหนึ่ง …
แต่พอถึงกำหนดต้องจ่ายเงิน ไอ้นิ้วก้อยและพวก
รวมทั้งบ้านปากเหม็น กลับแสดงท่าว่าไม่สนใจจะซื้อหุ้นดังกล่าว
โดยเฉพาะไอ้นิ้วก้อย ถึงกับแสดงอาการ “ต่อต้าน” การขุคคลองสุเอซ
อย่างออกนอกหน้า …เพราะพวกมันส่วนใหญ่ ไปถือหุ้นในบริษัทที่ก่อสร้าง
เส้นทางรถไฟ ที่วิ่งจากเมืองอเล็กซานเดรีย ไป ไคโร กันหมด
ตกลงผู้ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ ของ Suez Canal Company
ก็คือประชาชนชาวฝรั่งเศสและบริษัทฝรั่งเศส กับฝ่ายผู้ปกครองอียิปต์
และในที่สุดอียิปต์ ก็ได้ทำพิธีเปิดคลองสุเอซอย่างเป็นทางการ
ด้วยความภาคภูมิใจ …ในวันที่ 17 พฤศจิกายน คศ 1869
คลองสุเอซใหม่เอี่ยมอ่อง…ใช้เวลาขุดนานถึง 10 ปี (คศ 1859-1869)
เป็นเส้นทางน้ำที่สามารถเชื่อมการเดินทาง
จากมหาสมุทรแอตแลนติคเหนือ ไปถึงมหาสมุทรอินเดียได้ !!!
โดยผ่านมาทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ ทะเลแดง
ทำให้สามารถ “ลดเวลา” การเดินทาง ระหว่าง
ทะเลอารเบียน (Arabian Sea) กับ นครลอนดอน
ที่เคยต้องแล่นอ้อมผ่านแหลม Good Hope ของอาฟริกา
(ระยะทางประมาณ 8,900 กิโลเมตร) …ไปได้ประมาณ 10 วัน
มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจริงๆสำหรับสมัยนั้น
คลองสุเอซ เริ่มต้นจากท่าเรือพอร์ตซาอิด ( Port Said)
ยาวลงมาทางใต้ถึงท่าเรือทอฟิก (Port Tewfig) ของเมืองสุเอซ
ปัจจุบันคลองสุเอซ มีความยาว 193.3 กิโลเมตร
เรือบันทุกสินค้าลำใหญ่ที่สุด ที่จะแล่นผ่านคลองสุเอซ
ต้องมีความกว้างทั้งหมด (รวมกราบเรือ) ไม่เกิน 77.5 เมตร
และท้องเรือต้องไม่สูงเกิน 20.1 เมตร
คลองสุเอซ ร่นระยะทางจากลอนดอนไปบอมเบย์
ให้สั้นขึ้น เร็วขึ้น และ ประหยัดค่าใช้จ่ายไปแยะก็จริง
แต่คลองสุเอซ …ควบคุมโดยคาดิฟ (Khedive ผู้ครองนครอียิปต์
ในช่วงนั้น และ ไอ้หรั่งเศส !!
แล้วไอ้นิ้วก้อยก็เกิดอาการอิจฉาตาร้อนจนทนแทบไม่ไหว
มันจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้
ไอ้นิ้วก้อยจึงรีบตัดสินใจดำเนินการ…อย่างรวดเร็ว
(8/2)
เมื่อได้ความว่าคาดิฟผู้ปกครองนครอียิปต์ กำลังมีหนี้ท่วมหัว …
เพราะรายได้จากค่าผ่านคลองสุเอซ มันต่ำกว่าที่ประเมินไว้แยะ
ทำให้เงินลงทุนในการขุดคลอง กลับยิ่งก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เพราะดอกเบี้ยที่พอกขึ้น
และที่สำคัญ …คือ คาดิฟ กำลังหมดปัญญาไม่รู้จะไปหาเงิน
จากที่ไหนมาใช้หนี้ ที่ก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆนั้น
แล้วไอ้นิ้วก้อย ก็โยนเงินกระสอบใหญ่ให้คาดิฟ
ขอซื้อหุ้น Suez Canal Company …
คนมีหนี้ก้อนใหญ่กำลังหน้ามืด เลยไม่หันหน้าหนีกระสอบเงิน
แล้วคาดิฟ ก็จำยอมให้ไอ้นิ้วก้อย เป็นผู้ถือหุ้น “รายใหญ่”
ในบริษัท Suez Canal Company
ความรวดเร็วของฝ่ายไอ้นิ้วก้อยในปฏิบัติการยึดหุ้นคลองสุเอซ
ทำให้ไอ้หรั่งเศสถึงกับช็อกแดก…เหมือนถูกล้วงเอาอาหารอร่อย
ออกจากปากขณะกำลังเคี้ยว…มันถึงกับอ้าปากค้าง
ต้องตบปากตัวเองคงถึงจะหุบได้
ไอ้นิ้วก้อยเอาเงินมาจากไหนกันอย่างรวดเร็ว
ง่ายมาก…รัฐบาลไอ้นิ้วก้อย ก็แค่สั่งให้ไอ้พวกโคตรรวย
รอทไชลด์ (Rothschild) จัดการสิ…
เอ๊ะ …หรือ พวกรอธไชลด์ มันสั่งรัฐบาลไอ้นิ้วก้อยจัดการ…
ผมชักไม่แน่ใจ
เอาว่า เวลาประชุมผู้ถือหุ้นในบริษัท Suez Canal …
พวกรอทไชลด์ ก็นั่งเคียงกับตัวแทนของรัฐบาลไอ้นิ้วก้อย
โดยมีพระอันดับ เช่น Barings Brothers, Morgan Grenfell,
และ Lazard Brothers ฯลฯ
ก็พรรคพวกของท่านรอททั้งนั้นแหล่ะ นั่งเรียงกันเป็นแถว
ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอซ …อียิปต์มีหนี้สิ้นติดตัวไปทุกแห่ง
และหนี้อียิปต์ ยิ่งงอกเพิ่มอย่างรวดเร็ว …ได้เงินมาเท่าไหร่
ก็ไม่พอใช้เลี้ยงประเทศ เพราะต้องเอาไปใช้หนี้ก่อน
ไม่กี่ปี ก็ต้องแบกหน้าไปหากู้เงินอีก
และไอ้นิ้วก้อย กับไอ้หรั่งเศส ก็เลยแย่งกันทำหน้าที่
เหมือนเป็นผู้ดูแล หรือนายหน้าจัดหาเงินกู้ให้อียิปต์
ช่วงนั้น อียิปต์ ก็เลยเหมือนมีนายเหนือหัว 2 คน
หรือ หมาไน 2 ตัว ผลัดกันทึ้ง…
และหนี้ของอียิปต์ ก็เลยงอกต่อไปเรื่อยๆ
ปี คศ 1879 …ผู้ปกครองอียิปต์ในตอนนั้น ซึ่งมักเอนไปทาง
ไอ้นิ้วก้อย ได้ถูกสุลต่านของออตโตมาน สั่งปลดออกจากตำแหน่ง
และบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของอียิปต์เอง ก็เลยก่อศึกแย่งชิงความเป็นใหญ่
ระหว่างกันเอง…
จริงๆมันเป็นการต่อสู้ระหว่างชาวอียิปต์
ฝ่ายที่นิยมยุโรป กับ ฝ่ายที่ไม่เอายุโรป
แล้วไอ้นิ้วก้อย ก็เลยถือโอกาสระหว่างที่คนในบ้านเขาทะเลาะกัน
ยกทัพใหญ่เข้ามาในอียิปต์ ในปี คศ 1882
ยึดเอาคลองสุเอซ รวมทั้งยึดเอาเมืองอียิปต์ทั้งหมดด้วย
พร้อมกับประกาศว่า…บัดนี้ อียิปต์ ตกอยู่ในความปกครอง
ของเราเกาะนิ้วก้อยแล้ว โดยส่งพันตรี แบร์ริ่ง (Major Evelyn Baring)
หนึ่งในผู้ถือหุ้นของฝ่ายไอ้นิ้วก้อยมาเป็นผู้ดูแล
ตั้งแต่ช่วงปี คศ 1883- 1907
พันตรีแบริ่ง มีหน้าที่หลักในการดูแลเรื่องการเก็บเงินชำระหนี้
ของอียิปต์ (Comisssion of the public Debt)
และได้ทำหน้าที่อย่างดียิ่ง …คือเก็บเงินของอียิปต์อย่างไม่ให้มีเหลือ
ไปถึงชาวอียิปต์แม้เศษสตางค์เดียว…แล้วท่านพันตรี ก็เลยได้รับรางวัล
ได้เลื่อนตำแหน่ง เป็น ท่านหลอดโครเมอร์ (Lord Cromer)
มันแสดงให้เห็นถึงความไร้อำนาจ
ของผู้ปกครองอียิปต์ ในตอนนั้นจริงๆ
ย้อนไปเมื่อแรกๆ ที่ไอ้นิ้วก้อยเข้าไปวนเวียนอยู่ในอียิปต์นั้น
นอกจากมันตั้งใจจะใช้อียิปต์เป็นไม้ขวาง กันไม่ให้ไอ้หรั่งเศส
รุกเลยเถิดไปถึงอินเดียแล้ว…ไอ้นิ้วก้อยยังสนใจที่จะใช้อียิปต์
เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้ายให้มันด้วย …
ซึ่งแต่เดิมนั้น มันอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของบ้านปากเหม็น
ซึ่งผลิตได้ในราคาถูกเพราะใช้ทาสผิวดำ …
แต่เมื่อบ้านปากเหม็นเกิดสงครามกลางเมือง
การผลิตฝ้ายของบ้านปากเหม็นก็เลยหยุดชะงักไป …
ไอ้นิ้วก้อยก็เลยต้องมองหาตลาดใหม่
อียิปต์ มีภูมิอากาศเหมาะแก่การผลิตฝ้ายเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากปี คศ 1882 เป็นต้นมา ไอ้นิ้วก้อยก็เลยเอาจริง
กับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้ายผลิตฝ้าย…
จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ …โครงการชลประทานจึงเกิดขึ้นในอียิปต์
ไม่ใช่เพราะความใจดีของไอ้นิ้วก้อย ที่อยากให้ชาวอียิปต์
มีน้ำกินน้ำใช้อย่างทั่วถึงแต่อย่างใด …มันไม่เคยใจดีอย่างนั้น
ต้นฝ้ายของมัน… ต้องการน้ำต่างหาก …
หลังจากนั้น ไอ้นิ้วก้อยก็สร้างโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่
จะทำอุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน …แต่ตอนนั้นยังหาน้ำมันกันไม่ได้
ก็เลยต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน
อียิปต์ ก็เลยได้มี คลอง และ เขื่อน
และการจัดการแปลงอียิปต์ ให้เป็นแดนฝ้ายเพื่อประโยชน์
ของไอ้นิ้วก้อยนั้น นอกจากสร้างหนี้จำนวนมหาศาลให้กับอียิปต์
จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน สร้างทางรถไฟ
ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่ไอ้นิ้วก้อยเป็นผู้ดูแลแล้ว
ที่แย่ไปกว่านั้น คือ เมื่อไอ้นิ้วก้อยมันใช้บริเวณเกือบทุกตารางนิ้ว
ของอียิปต์ ที่จะปลูกพืชได้ ให้เปลี่ยนไปปลูกฝ้ายแทน
แล้วเนื้อที่ ที่เคยปลูกพืชอื่นในการยังชีพของชาวอียิปต์
เช่น ข้าวบาร์เลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ฯลฯ
ก็เลยหดหายไปเกือบหมด และชาวอียิปต์ ก็อดยากมากขึ้น …
นอกจากนี้ ไร่ยาสูบ ที่ชาวอิยิปต์ส่วนใหญ่ติดงอมแงม ก็ยังถูกไล่ริ้อถอน
เพื่อให้กลายเป็นบริเวณปลูกฝ้ายแทน …ชาวอียิปต์ ที่ไม่อยากลงแดง
ก็เลยต้องไปอาศัยยาดูดของตุรกี ที่แพงกว่า …
อียิปต์ ตกเป็นเหยื่ออย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ
นั่นมันคือเรื่องราว เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วนะครับ
แต่ทำไมผมยังรู้สึกคลับคล้ายว่ายังมีเรื่องหลอกต้มหลอกใช้
ทำนองนี้ เกิดขึ้นอยู่อีกในหลายประเทศ รวมทั้งบ้านสมันน้อย ?!?
และในที่สุด ถึงปี คศ 1904 …ไอ้นิ้วก้อย และไอ้หรั่งเศส
คงเหนื่อยที่จะกัดกันเอง ทำให้เสียเวลาไปล่าเหยื่อโง่รายอื่น ๆ
ก็เลยทำข้อตกลงแบ่งสมบัติ(ของผู้อื่น)ในแถบนั้นระหว่างกัน
สรุปว่า อียิปต์ …ยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน …
แต่อยู่ภายใต้การปกครองของไอ้นิ้วก้อย… (พิลึกไหม)
ส่วนไอ้หรั่งเศส …ก็ยึดครองเอา มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนิเซียแถบนั้นไป
พวกมันแสนหน้าด้าน ตกลงแบ่งสมบัติของคนอื่นเขา
ง่ายๆ อย่างนั้นแหล่ะ !
1
สวัสดีครับ
จาก คนเล่านิทาน
3 พฤษภาคม 2567
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจากกูเกิล
บันทึก
18
1
2
18
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย