14 พ.ค. 2024 เวลา 00:00 • นิยาย เรื่องสั้น

อำลาอาลัย ราช เลอสรวง

ผมผ่านชีวิตวัยเด็กด้วยนิยายภาพของนักเขียนสองคนคือ จุก เบี้ยวสกุล กับ ราช เลอสรวง
สองท่านนี้เป็นผู้บุกเบิกนิยายภาพไทยมาตั้งแต่ยุคต้น เขียนภาพด้วยพู่กัน
งานเด่นๆ ของ จุก เบี้ยวสกุล (จุลศักดิ์ อมรเวช) คือชุดเจ้าชายผมทอง ต่อมาก็วาดอีกหลายชุด เช่น สาวน้อยอภินิหาร เลือดทมิฬ สองชุดหลังตีพิมพ์ในนิตยสารจักรวาลของพนมเทียน เคียงคู่กับงานชุด สิงห์ดำ ของ ราช เลอสรวง (นิวัฒน์ ธาราพรรค์)
ผมก็ตามอ่านทุกสัปดาห์ โชคดีที่ห้องสมุดประชาชนหาดใหญ่ซื้อ นอกจากอ่านแล้วยังไปแอบเรียนวาดตาม
วาดตามทุกอย่าง วิธีการเขียนต้นไม้ กระท่อม ไปจนถึงคน
สองท่านนี้ไม่เรียกตระกูลงานที่ทำว่าการ์ตูน แต่คือนิยายภาพ
ผมเก็บสะสมงานของสองท่านนี้ไว้จำนวนหนึ่ง ด้วยความหลงใหล เมื่อเข้ากรุงเทพฯครั้งแรก ก็ไปหางานของทั้งสองที่สำนักพิมพ์ผ่านฟ้า และร้านขายนิยายภาพในละแวกนั้น กวาดมาเก็บไว้
หลังจากนั้นก็ลองวาดนิยายภาพไปขาย โดยรับอิทธิพลการวาดของครู(พักลักจำ)สองท่านนี้มาเต็มที่
ในปี พ.ศ. 2549 หลังจากเข้าสู่วงการวรรณกรรมแล้ว ผมทำงานทดลองชิ้นหนึ่ง คัดเลือกภาพจากนิยายภาพทั้งหมดของ จุก เบี้ยวสกุล มาสร้างสรรค์เป็นนวนิยายใหม่ ชื่อ โลกใบที่สองของโม แต่งนวนิยายจากภาพของปรมาจารย์
ถือว่าเป็นการ 'หาเรื่อง' คุยกับนักเขียนนิยายภาพที่ผมชื่นชอบ
น่าเสียใจที่ จุก เบี้ยวสกุล ไม่ได้อยู่เห็นงานชิ้นนี้เป็นรูปเล่มจริง
ในวันเปิดงานหนังสือ ผมเชิญ ราช เลอสรวง ไปร่วมเสวนา คุยเรื่องนิยายภาพไทย
ถือว่าเป็นการ 'หาเรื่อง' พบนักเขียนนิยายภาพที่ผมชื่นชอบเช่นกัน
ราช เลอสรวง วาดรูปตั้งแต่เด็กหาเงินมาเป็นค่าเทอม และไม่หยุดวาดรูปมาทั้งชีวิต ทั้งที่งานนิยายภาพไทยไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูง ต่างจากนักเขียนในต่างประเทศลิบลับ
วาดรูปด้วยความรัก วาดด้วยหัวใจ วาดด้วยจิตวิญญาณ
แต่ทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หมดจากรุ่นนี้ เราก็จะไม่เห็นลายเส้นแบบเดิมอีก
ขออำลา-อาลัยครูอีกคนหนึ่งของผม
(ขอบคุณภาพวาดโดย Dinhin Rakpong-Asoke ขออนุญาต ณ ที่นี้)
โฆษณา