17 พ.ค. 2024 เวลา 14:57 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] COWBOY CARTER - Beyoncé >>> คันทรี่เสรี

🚨🚨FPFM’s Best New Album Alert 🚨🚨
-ด้วยความคุ้นชินกับภาพลักษณ์ความเป็นสาวป็อป-อาร์แอนด์บีที่เป็นภาพจำของผมมาตลอด 21 ปี เมื่อเจอรสชาติคันทรี่-สตริงส์แบบนี้ก็ต้องใช้เวลาปรับ mindset ใหม่เพื่อเข้าหาอัลบั้มนี้มากพอสมควร
-อย่างไรก็ดีเมื่อใช้เวลาซึมซับ COWBOY CARTER ได้มากพอ ทำให้ผมเห็นถึงความเป็น mastermind ในตัวเธอแหล่มชัดมากยิ่งขึ้น สิ่งที่ผมคิดแบบนั้นก็คือ เธอใช้ประโยชน์ความเป็นศิลปินเบอร์ใหญ่ในการรวบรวมบุคลากรตั้งแต่รุ่นเก๋าไปจนถึงรุ่นใหม่ การสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการเปลี่ยนมุมมองของคนฟังที่มีต่อแนวเพลงคันทรี่ให้ได้หูตากว้างไกลยิ่งขึ้น และพึงระลึกไว้ว่า แนวเพลงคันทรี่และดนตรีพื้นถิ่นอื่นๆไม่ได้หวงแหนไว้แค่คนขาวเท่านั้น นี่จึงเป็นอัลบั้มที่สุมไปด้วยอุดมการณ์และเจตจำนงเสรีอย่างเปี่ยมล้นพอสมควร
-ต่อให้เธอจะมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากเพียงใด เธอก็เจออุปสรรคแห่งการถูกกีดกันประหนึ่งลูกนอกสมรสคันทรี่ ตั้งแต่การถูกทักจากเหล่านักวิจารณ์อยู่บ่อยๆว่า สำเนียงการพูดของเธอโคตรจะคันทรี่ ไม่ว่าจะอยู่ในภาพยนตร์หรือแม้กระทั่งการกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีต่างๆ
-เคสของเพลง Daddy Lessons จากอัลบั้ม LEMONADE นำเอาไปแสดงในงานประกาศรางวัล CMA Awards ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยแฟนเพลงคันทรี่ทั้งหลาย อีกทั้งยังถูก Grammy ตัดชื่อออกจากการเป็นผู้เข้าชิงในสาขา Best Country Songs ซึ่งเป็นเคสที่ถกเถียงมากพอสมควร ทั้งๆที่เธอก็เคย represent ความเป็นคันทรี่มาเรื่อยๆตั้งแต่สมัย Destiny’s Child แล้ว
Used to say I spoke too country
And the rejection came, said I wasn't country 'nough
Said I wouldn't saddle up, but
If that ain't country, tell me what is?
Plant my bare feet on solid ground for years
They don't, don't know how hard I had to fight for this
AMERIICAN REQUIEM
ประโยคสำคัญในเพลงเปิดอัลบั้ม AMERIICAN REQUIEM ที่บ่งบอกถึงความย้อนแย้งและการเหยียดสีผิวที่ฝังรากลึก แต่มันคือเชื้อไฟในการขับเคลื่อนให้เธอทำอัลบั้มเพื่อท้าทายขีดจำกัดตัวเองด้วยการ blend แม่งเสียเลย
-ประโยคคำโปรยโปรโมทอัลบั้ม This ain’t a Country album. This is a “Beyoncé” album. ก็ให้อารมณ์ประชดประชัน ดักทางเหล่าแฟนเพลงคันทรี่ทั้งหลายที่มักจะปฏิเสธแนวทางคันทรี่ของคนดำอย่างเธอ หากแปลด้วยภาษากวนตีนหน่อยประมาณว่า “มึงไม่ต้องนิยามความเป็นคันทรี่ให้กูก็ได้ นี่อัลบั้มกูเอง” ซึ่งก็ legit พอสมควร เพราะเป็นการ blend ที่แตกแขนงคันทรี่ไปในกิ่งก้านของ Soul, R&B, Blues, Folk ไปจนถึง Opera, Hip-Hop ก็ย่อมได้ ซึ่งนั่นทำให้ผมชอบในเจตจำนงในการไม่จำกัดกรอบใดกรอบนึงของอัลบั้มนี้เข้าไปใหญ่
-ถ้าหาก perception ที่คุณมีต่อ Beyoncé ยังอยู่ในเลนส์ของป็อป-อาร์แอนด์บี การฟังอัลบั้มนี้ในครั้งแรกอาจเป็นประสบการณ์ที่ชวนเซ็งจนบ่นว่า “แม่บีทำเพลงฟังยากจังวะ” ผมเองก็เข้าใจความรู้สึกนี้มากๆ ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่รู้สึกแปลกใจ ผมก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน มันเป็นอัลบั้มที่ไม่ใช่แค่อยากจะ represent ความเป็นคันทรี่ในแบบของเธอ แต่มันเป็นอัลบั้มที่ค่อนข้างส่วนตัวพอสมควร
-ไม่ใช่ว่าทุกคนฟังแล้วรู้สึกโดนใจทันทีทันใด เพราะนี่ไม่ใช่อัลบั้มที่ฟังเอาสนุกรัวๆแบบเดียวกับ act i : RENAISSANCE สำหรับ act ii แตกต่างโดยสิ้นเชิง ชนิดที่ถูกกลับไป set zero ใหม่เลยก็ได้ ช่วงแรกของอัลบั้มขับเคลื่อนด้วยอคลูสติคเนิบๆ ฟังไปเรื่อยๆอาจมีหลับ โดนปลุกอีกทีก็เพลง TEXAS HOLD’EM ที่เป็นซิงเกิ้ลแรก หรือไม่ก็ SPAGHETTII ที่อยู่ค่อนโซนกลางอัลบั้มเข้าไปแล้ว ต่อมาก็สลับด้วยความเนิบไปเรื่อยๆ มีเพลงโยกย้ายส่ายสะบัดแค่ไม่กี่เพลงเท่านั้น
-ต้องยอมรับเลยว่าเพลงเปิดอัลบั้มอย่าง AMERIICAN REQUIEM ทำงานเป็น anthem ปลุกใจที่โคตรดีและแข็งแรงตั้งแต่แรกฟัง ขยับขยายสเกลคันทรี่ให้กว้างขวาง represent ภาพรวมอัลบั้มได้อย่างคลอบคลุม มันคือ first impression ที่ชัดเจนในเป้าประสงค์และเจตจำนงแห่งการยืนหยัดเพื่อตัวเองอย่างอาจอง ต่อให้จะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาตำหนิติเตียน การดูถูกเหยียดหยามจากพวกอนุรักษ์นิยม ซึ่งพลังลบเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
-16 CARRIAGES อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ปูทางสู่ความส่วนตัวของเธอคนนี้อย่างแท้จริง บัลลาดเพื่อชีวิตพรรณนาการสู้ชีวิตบนเส้นทางสายบันเทิงตั้งแต่อายุ 15 ปี สูญเสียความเยาว์วัยตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อการเติบโตโดยอัตโนมัติ เวลาผ่านไปรวดเร็วดั่งอาทิตย์อัสดง น้ำตาแห่งการตรากตรำทำงานหนักไม่ทันไรก็ได้เป็นแม่คน ถึงอย่างไรก็ยังไม่หยุดที่จะออกทัวร์ และนั่นก็ทำให้เธอห่างไกลจากลูก ยังทำหน้าที่แม่ได้ไม่เต็มที่มากนัก มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
สำหรับ “รถม้า 16 คัน” (อาจจะไม่เป๊ะในเรื่องจำนวน) บ้างก็เปรียบเปรยรถบรรทุกคาราวานที่ขนอุปกรณ์เซ็ตประกอบเวทีออกทัวร์คอนเสิร์ต (ซึ่งมีมากถึง 70 คัน) บ้างก็เปรียบเปรยถึงจำนวนรางวัลที่ได้ ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าสอดรับกับบริบท cowboy culture โดยไม่ต้องสงสัย
การเป็น road music ในแง่ของ vibe เพลงที่เคลื่อนเป็นพลวัตเพื่อให้เห็นภาพแห่งสายพานชีวิตที่ผ่านการเปลี่ยนผ่านและสละหลายสิ่งอย่างระหว่างทาง ทั้งนี้ก็ระลึกถึงความฝันที่นำพาเธอได้ไกลเหลือเกิน อีกทั้งยังมีตัวเลขนัยสำคัญอื่นๆ เช่น ค่าแรง 16 ดอลล่าร์, 38 ฤดูร้อนที่ทำให้เรารู้เบื้องหลังว่า เธอเขียนเพลงนี้ตั้งแต่อายุ 38 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงปีราวๆ 2019-2020
For legacy, if it's the last thing I do
You'll remember me 'cause we got somethin' to prove
16 CARRIAGES
-ทั้งนี้ความคิดถึงลูกยามต้องห่างไกลก็เชื่อมต่อไปถึงเพลงถัดไป PROTECTOR เดินเพลงด้วยอคลูสติคกีตาร์โปร่งเพียวๆ ถ้าหาก 16 CARRIAGES คือการสำรวจถึงชีวิตและความฝันที่ผ่านมา PROTECTOR สะท้อนความเป็นแม่เฝ้ามองการเติบโตของลูกสาวที่เป็นตัวสะท้อนให้กับเธออีกทีนึง
-ซิงเกิ้ลแรก TEXAS HOLD’EM ที่เธอภาคภูมิใจนำเสนอจนติดอันดับ 1 ในชาร์ทเพลง Hot Country Song Chart ได้สำเร็จ เป็นอีกหนึ่งซิงเกิ้ลที่ตอนแรกก็แอบครหาว่า overhype ไปมั้ย? ไม่รู้ทำไม แต่พอได้ซึมซับหลายรอบก็ค้นพบว่า นี่คือซิงเกิ้ลแรกที่เน้นปล่อยจอยที่มีลูกเล่นเลเยอร์ต่างๆซับซ้อนใช้ได้ มันไม่ใช่เพลงที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องสายกีตาร์โปร่งและแบนโจทื่อๆ แต่ยังมีเลเยอร์อื่นๆตามมาอีก ทั้งเปียโนอันนุ่มนวลมารองรับในฮุกสุดท้าย เสียงผิวปาก เสียงตบลังไม้ เสียงกระทืบเท้าที่ช่วยให้เพลงคึกคักขึ้นเป็นกอง
-ในขณะที่ BODYGUARD ลดความคึกคักลงไปเยอะด้วยจังหวะ mid-tempo surf rock ดุ่มๆ แอบแฝงความขี้เล่น รู้สึกฟังง่ายกว่า TEXAS HOLD’EM
-การเลือกเพลงมาคัฟเวอร์ทั้ง BLACKBIIRD ของ The Beatles และ JOLENE ของ Dolly Parton ก็ไม่ได้เลือกมาโชว์การขับขานเพื่ออยากได้รับการยอมรับจากรุ่นเก๋าอย่างลอยๆ แต่สาสน์เพลงกลับสอดรับบริบทอัลบั้มและเรื่องราวของตัวเธอเองอยู่ไม่น้อย
-เริ่มกันที่ BLACKBIIRD ที่ท่าน Paul McCartney แต่งเพื่ออุทิศผู้หญิงผิวสีที่ต้องเผชิญคำดูถูกดูแคลนในชาติอเมริกาให้ใช้ชีวิตอย่างอดทนและมีความหวัง ซึ่งก็ sync กับ AMERIICAN REQUIEM ที่ปูทางด้วยการยืนหยัดเพื่อการเปลี่ยนผ่านตัวเองภายใต้ความอคติทางเชื้อชาติและผิวสีที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยในยุคนี้
อีกทั้งยังพ่วงศิลปินและนักดนตรีผู้หญิงผิวสี อาทิ Tanner Adell, Brittney Spencer, Tiera Kennedy & Reyna Roberts มาร่วมเป็นหางเครื่องและขับขานไปพร้อมๆกันด้วย นั่นจึงเป็นการเติมเต็มเจตจำนงของลุง Paul ที่อยากเห็นพอสมควร
-ในขณะที่ JOLENE ก็โดนป้าดอลลี่แซวเกริ่นนำด้วยการหยอกล้อวลี Becky with the good hair จากเพลง Sorry อันเป็นที่ฮือฮาในการจับกิ๊ก Jay-Z ซึ่งบังเอิญประสบพบเจอคล้ายๆกันกับป้าดอลลี่ที่อยู่ดีๆก็ได้ยินผัวเธอละเมอถึงกิ๊กเลยบังเกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมา
จริงๆแล้ว Jolene ก็คือนามแฝงที่ถูกต่อยอดมาจากชื่อของแฟนคลับตัวน้อยที่มาดูการแสดงสดของป้าด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู อีกทั้งชื่อ Jolene เป็นชื่อที่น่ารักพอที่จะเป็นเพลงได้ เพลงฮิตสุดคลาสสิคของป้าดอลลี่ก็ถูกคัฟเวอร์มาแล้วนับไม่ถ้วน สำหรับการเอา JOLENE มาคัฟเวอร์ใหม่ในแบบฉบับของเธอก็สนุกสนานไปพร้อมๆกับสตอรี่ในอดีตที่ผู้ติดตามเธอมาโดยตลอดต่างรู้กัน
-ต่อเนื่องด้วย DAUGHTER ตอกย้ำความเป็นเมียหลวงฆ่าไม่ตายด้วยอคลูสติคที่ไหลเป็นสายน้ำ และเยือกเย็นดั่งไอซ์เบิร์กที่ละลายตอนที่เรือ Titanic ล่ม ซึ่งเพิ่มเติมด้วยลวดลายความเป็น opera ชวนน่าขนลุกจากการขับขานเพลง Caro Mio Ben ของศิลปินชาวอิตาเลียน Luciano Pavarotti ในท่อน bridge ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคือเพลงที่สู้กับจิตใจตัวเองในการปัดเป่าพลังงานลบที่มีต่อคนที่เข้ามาทำให้ครอบครัวแตกแยก อย่างไรก็ดีเธอจะทำให้นังตัวดีกลายเป็นลูกไก่ในกำมือเสียเอง
-พอมาถึง SPAGHETTII ปุ๊บ นี่เป็นจุด plot twist สำหรับอัลบั้มนี้เลยครับ การอันเชิญ Linda Martell ศิลปินคันทรี่แอฟริกัน-อเมริกันที่โด่งดังคนแรกๆของโลกมากล่าว quote ที่ว่า “Genre เป็นแค่คำนิยามสไตล์เพลงให้เข้าใจง่ายก็เท่านั้น แต่ก็มักจะมีคนเอาไปใช้เพื่อจำกัดขอบเขตในสิ่งๆนั้นอยู่เสมอ” ทั้งนี้ยังมาพร้อมกับ Swizz Beatz โปรดิวซ์เซอร์สายฮิปฮอปมาไฮป์เกริ่นนำแบบเซอร์ไพร์ส แกจะไปอยู่ในอัลบั้มคันทรี่ได้ไงวะ ? ที่ไหนได้เจ๊ Beyoncé จัดเต็ม rap mode จริงๆด้วย
-SPAGHETTII ก็มี reference ไม่ใช่แค่อาหารเส้น แต่ยังมาจาก spaghetti western อันเป็น genre ย่อยของหนังคาวบอยตะวันตก ซึ่งถูกกำกับโดยชาวอิตาเลียนและถ่ายทำในอิตาลีด้วย (แทนที่จะเป็นอเมริกันแท้ 100%) ซึ่งตัวอย่างหนัง spaghetti western โด่งดังมากๆคือ The Good, the Bad and the Ugly ที่เป็นหนังคาวบอยที่ดีที่สุด และอิทธิพลของหนังคาวบอยสปาเกตตี้ที่ติดอารัมภบทนั้นก็ส่งต่ออิทธิพลมายัง Quentin Tarantino ด้วย
-นอกจากจะเป็น plot twist ให้กับอัลบั้มนี้แล้ว ยังถือเป็นการสร้างซีนบู๊ในอัลบั้มด้วยการแรปอันดุดัน ประหนึ่งพร้อมบวกกับนักวิจารณ์ที่เข้ามาสะเออะทำเป็น judge ว่าคันทรี่พอหรือไม่พอ กูแรปใส่ทุกอย่างแม่งเลย ซึ่งนั่นเป็นการตอกย้ำคำโปรย This ain’t a Country album. This is a “Beyoncé” album. ให้แหล่มชัดถึงการไม่ยึดติดที่แนวทาง Country หรือ R&B อย่างที่คนฟังสัมผัสได้ในแทร็คก่อนหน้านั้น
ส่วน Shaboozey ศิลปินชาวไนจีเรียนที่อยู่บนความหลากหลายอิทธิพลดนตรีมาแรปด้วยสำเนียง Afro อันเป็นการสร้างเซอร์ไพร์สแห่งการลดโทนบู๊เพื่อหยอดสำเนียงความเป็นตัวเองมากกว่าที่จะบู๊ตามเจ๊ไปเลย
-ผ่านความบู๊แล้ว ต่อเนื่องด้วยอคลูสติคตอกกลับพวกหน้าไหว้หลังหลอกแบบชิวล์ๆอย่าง ALLIIGATOR TEARS ที่ยังคงตอกย้ำเจตจำนงแห่งการทุ่มเทต่อศิลปะงานเพลงอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับไอ้พวก “น้ำตาจระเข้” มากนัก
-JUST FOR FUN ชื่อเพลงสวนทางกับ vibe เพลงที่ยังคงเนิบต่อ แต่เป็นความเนิบที่จำเป็นต้องเงียบงันเพื่อส่งสาสน์ให้หนักแน่นจริงจังในความสัตย์จริงของศิลปินทั่วไปที่ทำเพลงเพื่อความ enjoy ของตัวเอง ถึงแม้ว่ายังไม่เป็นที่ยอมรับมากพอก็ตาม แต่เพื่อความสนุกของตัวเอง keep doing กันต่อไป Willie Jones คันทรี่รุ่นใหม่มาช่วยขับขานเอื้อนเอ่ยแค่สั้นๆ แต่เข้มคลังประหนึ่งศิลปินรุ่นเก๋า
-แขกรับเชิญ 2 เพลงต่อมาถือว่าเป็นศิลปินที่แมสสุดในยุคนี้ II Most Wanted ที่ได้ Miley Cyrus มาร่วมดูเอ็ท ยอมละทิ้งความเฟียสเพื่อความคลีเช่ที่รู้เลยว่าคันทรี่ป็อป แต่อย่าลืมว่าไมลี่ย์ก็คือทายาทคันทรี่ตัวจริงเหมือนกัน ด้วยความที่แมสทั้งคู่ นี่จึงเป็นการร่วมงานกันของตัวแม่รุ่นพี่-รุ่นน้องที่สาวกเพลงป็อปน่าจะสาแก่ใจ ถ้าใครสังเกตดีๆ เพลงนี้ยังเป็นการรับไม้ต่อท่อนฮุค “shotgun rider” จาก BODYGUARD อีกด้วย
-LEVII’S JEANS เพลงนี้น่าสนใจตั้งแต่ชื่อเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงของคาวบอยและชนชั้นแรงงาน แขกรับเชิญ Post Malone ฉาย charisma ได้เต็มที่ พร้อมกับหยอดคำหวานได้หล่อมาก โดยเฉพาะท่อน Outro ที่มีประโยค you're my Renaissance เป็นการหยอด easter eggs ให้เกียรติเจ้าของเพลงโดยตรง
-มาถึงเพลงแดนซ์ที่หวือหวาที่สุดอย่าง YA YA เป็นการสร้างพื้นที่ปลดปล่อยย่อมๆเพื่อการ tribute รำลึกถึงเครือข่ายสถานบันเทิงคนดำ Chitlin Circuit ที่เปิดพื้นที่ในการปล่อยของแสดงสดสำหรับคนดำโดยเฉพาะ ภายใต้การบังคับใช้กฏหมาย Jim Crow ที่แบ่งแยกชุมชนคนขาวคนดำอย่างหนักหน่วงมาก
อย่างไรก็ดี Chitlin Circuit เป็นจุดกำเนิดของเพลง Blues, Jazz, Soul และศิลปินระดับตำนานอย่าง Stevie Wonder, James Brown, Nat King Cole, Aretha Franklin และคนอื่นๆอีกมากมาย แต่สำหรับบริบทของ YA YA เปิดกว้าง ไม่แบ่งแยกผิวสีเป็นทุนเดิมด้วยอินโทรสุดแว๊บว๊าบ บีทเพลงร่วมสมัย แต่ก็ไม่ลืมที่จะเรโทรเช่นกัน
-สำหรับ interlude ที่ผมชอบที่สุดก็อยู่ที่ช่วงรอยต่อนี้แหละครับ ทั้ง OH LOUISIANA ที่ดูขี้เล่นดี และ DESERT EAGLE ขับเคลื่อนด้วย bass funk ที่โคตรเท่ห์มากๆ ถึงจะมาแค่แว๊บเดียว แต่ก็สะเด็ดสะเด่า
-โหมดเพลงเต้นรำลีลาศก็มีมาต่อเนื่องถึง 2 เพลงในช่วงปลายม้วนอย่าง RIIVERDANCE ที่ท่อนฮุกทำหน้าที่เป็น earworm ดีๆ ฟังจบแล้วคุณต้องโดนสะกดด้วย Bounce on that shit, dance ตลอดการฟังเพลงนี้ก็เป็นได้ และเป็นท่อนจำที่ทำให้เพลงนั้นไหลลื่นอย่างไม่น่าเชื่อ II HANDS II HEAVEN เนื้อเพลงสรรเสริญความรักได้อย่างเข้มข้นและงดงามปลอบประโลมคนฟังให้แลดูมีความหวัง ต่อให้ต้องสูญเสียอะไรระหว่างทางก็ตาม หากยังไม่สิ้นลมหายใจ ทุกการเกิดใหม่ย่อมมีหนทางเสมอ
-TYRANT เพลงที่มีความโมเดิร์นที่สุดในอัลบั้มนี้ด้วยบีทเพลงฮิปฮอปแน่นๆอันแสนคุ้นเคยโดย d.a. got that dope สร้างสีสันชวนโยกได้เป็นอย่างดี เป็นความสนุกที่มีคุณสมบัติ club banger มากพอที่ตัดเป็นซิงเกิ้ลได้ไม่อายหลาน
-SWEET ★ HONEY ★ BUCKIIN สานต่อธรรมเนียมเพลง PURE/HONEY จาก act i : RENAISSANCE สำหรับเพลงแบ่งสามองก์รอบนี้ยังได้ Shaboozey มาร่วมสร้างความคลี่คลายในการกลับคืนสู่บ้านและรากเหง้าอันแสนคุ้นเคย บีทตึบตับดินสะบัดไปพร้อมๆกับจังหวะม้าโยกอันแสนคึกคักผสมปนเปความโจ๊ะอันแสนคุ้นเคยของ Pharrell Williams ทั้งนี้เจ๊ยังปล่อยวาง “ช่างแม่ง” ทุกการชวดรางวัล AOTY เน้นความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นหลัก เป็นการปล่อยจอยส่งท้ายโดยที่ไม่ต้องใส่ EDM หรือดนตรี House ก็สามารถมันส์อย่างออแกนิคได้
-ปิดท้ายด้วย AMEN ที่เป็นการ reprise เพลง AMERIICAN REQUIEM และจบ act ii ได้อย่างแนบสนิท พร้อมตอกฝาโลงเหล่าอนุรักษ์นิยม พวกหัวโบราณใจแคบทั้งหลายให้ถูกฝังกลบไปพร้อมๆกับการเปลียนผ่านของยุคสมัยที่คนดำนั้นได้ทัดเทียมเท่ากับคนขาว ไม่ลืมที่จะเห็นใจกันและกัน และปล่อยให้ซากอารยธรรมเก่าๆที่ได้มาจากการหลั่งเลือดของคนดำอ้วยความลำเค็ญนั้นได้พังทลายลงด้วยตัวมันเอง
-ด้วยจำนวน 27 แทร็ค ความยาวเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่งที่สวนทางความพึงพอใจในยุคสตรีมมิ่งโดยสิ้นเชิง และมันไม่ง่ายเลยที่จะซื้อใจแฟนเพลงรุ่นใหม่ที่มักจะมองหาความรวบรัดด้วยปริมาณที่ไม่จำเป็นต้องรวมกันได้หลักสิบเสมอไป ยิ่งเป็นแนวเพลงที่ต้องอาศัยการรื้อฟื้นการคืนถิ่น ตัดความดิจิตอลออกไป แทนที่ด้วยความออแกนิคจากดนตรีสด สวนกระแสเทรนด์ดนตรียุคปัจจุบันจนเป็นความไม่คุ้นชินที่พลางส่ายหน้าไปกับความคลีเช่ได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อให้เวลากับอัลบั้มนี้อย่างไม่รีบร้อน ผมว่ามันคุ้มค่าต่อการซึมซับมากพอสมควร
-การได้ซึมซับความงดงามของคอรัสดุจแพรไหมอาจเป็นลวดลายที่อัลบั้มจำเป็นต้องมีโดยพื้นฐานอยู่แล้ว เพราะนี่คือ Diva ระดับแม่เหล็กที่ไม่ต้องพิสูจน์ความสามารถในการขับขานอยู่แล้ว โหมดอัลบั้มอาจจะไม่สนุกเลย ถ้าขาดความลึกซึ้งในการจัดเรียง ขาดแก่นหลัก และขาดการเชื่อมโยงเข้าหากันได้อย่างแนบเนียน ซึ่ง COWBOY CARTER เป็นผลงานที่คิดมาแล้วอย่างดีเสียจนผมอยากอวยยศ age like wine ให้ผลงานชุดนี้ของเจ๊บีเหลือเกิน
-ต่อให้แก่นหลักของอัลบั้มนี้อาจถูกขับเคลื่อนด้วยความโกรธและประชดประชันที่เธอมักจะได้รับคำติเตียนเกี่ยวกับการหยั่งขาลงในคันทรี่ การโดนบูลลี่สำเนียงติดคันทรี่ พอจะทำเพลงคันทรี่ก็เสือกโดนด่าว่า คันทรี่ไม่พอต่างๆนาๆ อย่างไรก็ตามเธอก็ตั้งใจทำการบ้าน หมั่นหาติวเตอร์บุคลากรมาเสริมทัพ และศึกษามาได้ดีพอจนสามารถ educate คนรุ่นใหม่ให้ได้เปิดหูเปิดตาถึงมนต์ขลัง black music ในอดีตที่มีเสน่ห์ด้วยตัวมันเอง หาใช่กระแส viral ที่มาแล้วก็ผ่านไป
โปสเตอร์โปรโมท Tracklist ที่ล้อมาจาก โปสเตอร์โปรโมทคอนเสิร์ตในคลับ Chitlin Circuit
-ชี้ให้เห็นถึงร่องรอย pop culture ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น โปสเตอร์โปรโมท Tracklist ที่ล้อมาจาก โปสเตอร์โปรโมทคอนเสิร์ตในคลับ Chitlin Circuit การ tie-in สถานีวิทยุ KNTRY Radio ซึ่งผมก็คิดเล่นๆว่าเจ๊แกต้องการประชดประชันสถานีวิทยุเพลงคันทรี่ที่เคยมีประเด็นไม่เปิดเพลงของเธอเป็นแน่นแท้ ในเมื่อมึงไม่เปิดเพลงกู กูจำลองสถานีวิทยุเองแม่งเลย
-การให้ศิลปินรุ่นเก๋าในวงการคันทรี่ทั้ง Willie Nelson, Dolly Parton ที่เป็นคนขาวทั้งคู่ และ Linda Martell มาเป็นตัวละครสำคัญในการ co-sign และการเกริ่นนำสู่เพลงถัดไป ถือเป็นกิมมิคที่เฉียบขาดพอสมควรในการหาคนรุ่นอาวุโสมาเชื้อเชิญเพื่อเปิดใจรับฟังคันทรี่คนดำเสียบ้าง นี่จึงเป็นอัลบั้มที่ให้มากกว่าการฉายคาแรคเตอร์อีกด้านของ Beyoncé แต่ยังเต็มไปด้วยการสุม pop culture ในอดีตที่น่าเอามาจิ้มให้ศึกษาต่อเต็มไปหมด
-แทบไม่อยากคาดเดาเลยครับว่า act iii จะเป็นเช่นไร แค่สององก์แรกก็สูงเกินบาร์เข้าไปแล้ว องก์สุดท้ายเป็นโจทย์ที่ท้าทายยิ่งยวด แต่ผมเชื่อว่า เจ๊แกไม่น่าจะพลาดตกม้าตาย ขนาดแพลนดั้งเดิมที่แกตั้งใจจะปล่อย COWBOY CARTER ออกมาก่อน RENAISSANCE เลยด้วยซ้ำ การตัดสินใจเปลี่ยนแพลนก็ถูกเวลาจริงๆครับ หากปล่อย COWBOY CARTER ในช่วงโควิดอาจจะไวเกินไปที่จะปรับตัว เผลอๆอาจจะเฉาในช่วงที่เงียบเหงาที่สุดก็เป็นได้
-ถือเป็น 5 ปีในการรังสรรค์อัลบั้มที่ไม่เสียหลาย ไม่ใช่แค่ปล่อยเพลงแล้วจบกัน มันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาในการอาศัยโอกาสเพื่อให้คนฟังพร้อมที่จะเปิดใจด้วย
เอเมน
Top Tracks: AMERIICAN REQUIEM, BLACKBIIRD, 16 CARRIAGES, TEXAS HOLD’EM, BODYGUARD, DAUGHTER, SPAGHETTII, JUST FOR FUN, LEVII’S JEANS, YA YA, DESERT EAGLE, RIIVERDANCE, II HANDS II HEAVEN, TYRANT, SWEET ★ HONEY ★ BUCKIIN
Give 8.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา