25 พ.ค. 2024 เวลา 12:13 • ศิลปะ & ออกแบบ

ประวัติ อาจารย์สันติ พิเชฐชัยกุล ชายผู้ตามหา พระพักตร์พระพุทธเจ้า

เป็นนักปั้นที่มีชื่อเสียงระดับโลก อ.สันติ ได้ถือกำเนิดเกิดมาภายในบ้านของตัวเองเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2515 โดยคุณพ่อเป็นผู้ทำคลอดให้กับมือ ทั้งๆ ที่คุณแม่ของ อ.สันติ ได้ทำหมันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และถือเป็นความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งคือ ท่านเกิดมาพร้อมกับปานบนหน้าผากซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วพอดีและยังมีจุด
เล็กๆ สีดำตรงกลางปานอีกชั้นหนึ่ง ทั้งนี้คนสมัยโบราณเชื่อกันว่าเป็นเสมือนดวงตาที่ 3 ของผู้วิเศษ โดยหมอดูพเนจรได้ทำนายว่าภายภาคหน้า อ.สันติ จะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหรือจะทำการใดๆ ก็จะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน อ.สันติ มีพี่อีก 5 คน โดย อ.สันติ เป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวพิเชฐชัยกุล
คุณแม่ของ อ.สันติ เป็นช่างเย็บผ้า ส่วนคุณพ่อเป็นครูสอนภาษาไทยอีกทั้งยังเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนในขณะนั้น ด้วยวัยเพียง 4 ขวบ อ.สันติ สามารถหารายได้ช่วย
เหลือครอบครัวโดยการเก็บผักขาย เพื่อเป็นค่าขนมในวัยเด็ก แม้จะเป็นแค่เด็ก แต่ อ.สันติ ก็มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นศิลปินตั้งแต่ตอนนั้น โดย อ.สันติ ชอบเอาถ่านเข้ามาวาดรูปฝาผนังเล่นในบ้านและต้องรีบทำความสะอาดก่อนที่คุณพ่อจะกลับมาจากโรงเรียน เรียกได้ว่า อ.สันติ มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว และเมื่อ อ.สันติ อายุย่าง7 ขวบ ก็มีโอกาสได้เข้าแข่งขันวาดรูปในระดับอำเภอ ทำให้ อ.สันติ และเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆ ในความสามารถด้านศิลปะการปั้นดินเหนียวที่ได้จากแม่น้ำ
ใกล้ๆ หมู่บ้าน ถึงขนาดกับจ้างให้ อ.สันติ ปั้นของเล่นให้ในราคาตัวละ 1-2 บาท ซึ่งถือว่าได้ราคาดีพอสมควรในยุคสมัยนั้น
เมื่ออายุได้ 16 ปี อ.สันติ เข้าศึกษาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาวิทยาเขตเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดนครราชสีมา ( ม.เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ) คณะออกแบบ สาขาวิชาชีพศิลปกรรม โดย อ.สันติ ได้มีโอกาสวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังของวิหารวัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี และรับจ้างทำงานศิลปะทั่วไปจากนักศึกษา
และครูในวิทยาลัย พ.ศ. 2534 – 35 อ.สันติ ต้องหยุดเรียน 1 ปี เนื่องจากสอบเข้า ม.ศิลปากรไม่ได้ จึงหางานทำเป็นลูกจ้างรายวันให้กับโรงหล่อพระ พุทธรอดเรืองงามปฏิมากรรม โดย อ.แดง กำพล ซ.51 ถ.เพรชเกษม บางแค และรับจ้างทำงานฝ่ายศิลป์ในวงการบันเทิง จึงสามารถมีเงินเก็บเพื่อจะส่งตัวเองเรียนต่อที่วิทยาเขตเพาะช่างจนจบ ป.ว.ส. ด้วยอายุเพียง 22 ปี ในปี พ.ศ. 2535 – 37 และในที่สุด
อ.สันติ ก็ได้ศึกษาจนจบปริญญาตรี สาขาประติมากรรมสากลศึกษาศาสตร์บัญฑิต ( สายครู ) ที่ ม.เทคโนโลยีราชมงคลคลอง 6 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ในปี พ.ศ. 2537 - 39
ในวันนี้ ผ่านมาแล้วมากกว่า 20 ปี ความสามารถในด้านปฏิมากรรมของ อ.สันติ ได้ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก ถึงแม้ว่า อ.สันติ จะไม่ได้เลือกใช้ชีวิตเป็นเจ้าอาวาสวัดก็ตาม แต่ผลงานของ อ.สันติ นั้นก็มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพของจิต
วิญญาณ และทำให้รูปปั้นของ อ.สันติ ประหนึ่งมีชีวิต ด้วยรายละเอียดจนคนส่วนใหญ่แยกไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นรูปปั้นหรืออะไรเป็นคนจริงกันแน่
อ.สันติ ได้รับแรงบัลดาลใจในการทำรูปปั้นโลหะ(บรอนซ์) มาจากพระเจ้าอโศกมหาราช ด้วยความชื่นชมเสาหินศิลาจารึกที่พระเจ้าอโศกได้สร้างขึ้นนั้น เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ได้ทนตราบนานเท่านาน ดังนั้นหากท่านต้องการที่จะให้
คนรุ่นหลังได้รำลึกนึกถึงบุคคลที่ทรงคุณค่า ก็ควรจะเป็นปฏิมากรรมรูปปั้นที่มีความแข็งแรงไม่บุบสลายไปตามกาลเวลาง่ายๆ อย่างเช่นโลหะบรอนซ์ซึ่งแข็งแรงกว่าหินซะอีก
- พ.ศ. 2554 อ.สันติ ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่หนึ่งในด้านประติมากรรม และรางวัลชนะเลิศอันดับที่สี่ของงานศิลปะทั้งหมดทุกแขนง โดยงานนี้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อว่าอาร์ตไพรซ์มีศิลปินที่ส่งผลงานเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 1,582 คน
และมีชิ้นงานที่ส่งเข้าประกวดมากกว่าจำนวนคน โดยผลงานจากศิลปินที่มีฝีมือทั่วโลกกว่า 39 ประเทศ และอีก 42 รัฐในสหรัฐอเมริกา
- พ.ศ. 2555 อ.สันติ ได้รับรางวัล “Best Of Show 3D” ในงานครบรอบร้อยปีของ Calgary Stampede Western Showcase Artists’ Studios ในเมืองคาลการี่ รัฐอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา โดยถือว่า อ.สันติ เป็นประติมากรที่เก่งที่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ
- พ.ศ. 2556 อ.สันติ ได้เข้าร่วมแข่งขันรายการ Portrait Society of America ซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันระดับโลกอีกรายการหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง โดย อ.สันติ ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 15 จากสุดยอดศิลปินที่มีฝีมือ 800 กว่าคนทั่วโลก
- พ.ศ. 2557 Safari Club International ได้ยกย่องให้ อ.สันติ เป็นประติมากรอันดับหนึ่งของโลก
ผลงานของ อ.สันติ ทำให้ท่านทั้งหลายได้สัมผัสถึงประวัติความเป็นมาและความ
สามารถอันน่าทึ่งของท่าน รวมทั้งการนำเสนอผลงานที่แสดงถึงความสมจริงจนได้รับเครื่องหมายการค้าอย่างเป็นทางการโดยสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกามาแล้ว (United States Trademark and Patent Office) นอกจากนี้ อ.สันติ ยังได้แนะนำให้โลกรู้จักกับรูปปั้นโลหะ(บรอนซ์) ที่เหมือนจริงจนแยกไม่ออกว่าเป็นบรอนซ์ เพราะมีความละเอียดอ่อนมากกว่าที่บรอนซ์ควรจะเป็น ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการปฏิมากรรมรูปปั้นโลหะ(บรอนซ์) ครั้งแรกของโลกอีกด้วย
อ.สันติ ได้ออกรายการโทรทัศน์มากกว่า 65 รายการ ทั้งในประเทศไทย , กัมพูชา , ญี่ปุ่น , เกาหลี , แคนาดา สหรัฐอเมริกา รายการ UBC , CNN World , TODAY Show ของอเมริกา และ อ.สันติ ยังได้รับการเผยแพร่ในหนังสือ Magazine อีกทั้งหนังสือพิมพ์นับร้อยเล่มจากทั่วโลก ผลงานประติมากรรมของ อ.สันติ ได้รับการยกย่องและยอมรับในระดับสากล ถึงความเหมือนจริงในรูปปั้น ด้วยวิสัยทัศน์ของ อ.สันติ พิเชฐชัยกุล ยังคงสร้างและจัดแสดงผลงานของท่านในทวีปอเมริกา , เอเชีย และอีกไม่นานก็จะไปโชว์ในทวีปยุโรปเป็นการต่อไป
3 สิ่งที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย การที่คนเราต้องรู้จักตัวเองว่าเราเป็นใคร และต้องใช้หลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน โดยให้มุ่งมั่นอยู่เสมอว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น หากใครมีทั้ง 3 สิ่งนี้พร้อมกัน คน ๆ นั้นย่อมประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไป 3 สิ่งนี้มักไม่มาพร้อมกัน เช่นเดียวกับคุณสันติ ที่ตอนแรกก็ยังไม่รู้จักตัวเอง จนกระทั่งเขาได้มีผู้หญิงคนหนึ่งคอย
อยู่เคียงข้าง และสนับสนุนคุณสันติเสมอมา และเธอเชื่อมั่นว่าคุณสันติจะต้องเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ซึ่งคำพูดดังกล่าวทำให้คุณสันติเริ่มมีความกล้า ที่จะไปฝ่าฟันอุปสรรคในต่างแดน และผู้หญิงที่คอยผลักดันคุณสันติอยู่เบื้องหลังนั้นก็คือ คุณเอริก้า ภรรยาของคุณสันตินั่นเอง ปัจจุบัน ทั้งคู่มีพยานรักเป็นลูกสาวตัวน้อย 1 คน
คุณสันติ เล่าว่า สมัยก่อน ตนยังทำงานรับจ้างทำงานสารพัด ทั้งทาสีบ้าน วาดการ์ตูนล้อเลียน เป็นลูกมือนักปั้นในโรงหล่อ ฝ่ายศิลป์ ทำฉาก หน้าม้ารับจ้าง
นอกจากนี้ยังอยากเป็นนักแสดง นายแบบ และสตั๊นท์แมน อีกด้วย ที่ช่วงนั้นทำงานอย่างหลากหลายคงเพราะยังหาเป้าหมายที่ชัดเจนไม่เจอ จนกระทั่งได้พบคุณเอริก้า ซึ่งเดินทางมาประเทศไทย เพราะสนใจในศาสนาพุทธ และอยากเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติบำบัด และการดูแลสุขภาพแบบไทย ๆ
ตอนนั้นคุณเอริก้าอยู่เมืองไทยมาได้ประมาณ 2 ปี ก็ไปสอนหนังสือที่ปราจีนบุรี โดยพี่สาวของคุณสันติที่อยู่ปราจีนบุรีได้แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน จากนั้นทั้งสองก็สาน
สัมพันธ์กันเรื่อยมา โดยในช่วงแรกทั้งคู่สื่อสารกันด้วยภาพวาด เพราะคุณเอริก้าพูดไทยได้นิดหน่อย ขณะที่คุณสันติพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น คุณสันติจึงใช้วิธีวาดภาพคุยกัน ต่อมา เมื่อคุณเอริก้าได้เห็นผลงานปั้นของคุณสันติ ก็ถึงกับตะลึง เพราะคุณสันติสามารถทำให้รูปปั้นที่เป็นหุ่น ดูราวกับมีจิตวิญญาณ และมีชีวิตขึ้นมาได้ ดังนั้น คุณเอริก้าจึงชวนคุณสันติไปทำงานศิลปะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา บ้านเกิดของเธอ เพราะเชื่อมั่นว่า ผลงานของคุณสันติ จะต้องเป็นที่ยอมรับในระดับโลกอย่างแน่นอน
จากการผลักดันของคุณเอริก้า คุณสันติจึงตัดสินใจเดินทางไปอเมริกา ซึ่งในช่วงแรก ๆ พวกเขาต้องอยู่อย่างยากลำบาก เพราะที่นั่นข้าวของมีราคาแพง การจะหาซื้ออุปกรณ์ศิลปะเพื่อทำงานปั้นจึงเป็นไปได้ยาก คุณสันติจึงใช้วิธีวาดรูปขายข้างถนน หรือไปอาศัยโชว์ตามงานศิลปะต่าง ๆ ที่คุณเอริก้าพาไป เนื่องจากคุณสันติพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำแบบนั้นอยู่ปี 2 ปี กระทั่งรู้ว่าคุณเอริก้าตั้งครรภ์ จากนั้นเขาจึงต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมเพื่อเลี้ยงครอบครัว และชีวิตของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่
ดีขึ้น เมื่อคุณสันติได้รับการว่าจ้างให้ทำรูปปั้นหลวงปู่เลื่อน แต่เมื่อคนว่าจ้างไม่ยอมมาเอาของ คุณสันติจึงนำรูปปั้นหลวงปู่เลื่อนไปไว้ที่อเมริกา
จากนั้น เมื่อชาวต่างชาติได้เห็นผลงานดังกล่าว และทราบว่า เป็นเพียงรูปปั้นไม่ใช่คนจริง ๆ ต่างก็มีอาการตกตะลึง และทึ่งในฝีมือของคุณสันติ จนกระทั่งคุณสันติ ได้มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อมีคนว่าจ้างให้ลองปั้นรูปปั้นอินเดียนแดงด้วย
วัสดุที่ทำจากบรอนซ์ ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน และคุณสันติก็ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม กระทั่งได้รับการสนับสนุนจากผู้ร่วมทุนต่าง ๆ จนได้เปิดแกลลอรี่เป็นของตัวเอง จากนั้นคุณเอริก้าจึงได้แนะนำให้คุณสันติ นำผลงานที่สร้างสรรค์ไว้ส่งเข้าประกวดในการแข่งขันศิลปะระดับโลกบ้าง เนื่องจากผ่านงานมาหลากหลายแล้ว ซึ่งผลงานของคุณสันติก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้อย่างสวยงาม
ทั้งนี้ คุณสันติ กล่าวถึงการได้รับรางวัลในครั้งนี้ว่า ดีใจมาก เหมือนไม่ใช่แค่เฉพาะตัวเองที่ได้รับรางวัล แต่เหมือนกับประเทศไทยได้รางวัลไปด้วย เพราะตนเป็นคนที่เกิดในประเทศไทย ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเราว่า ยึดถือใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการทำเพื่อประชาชน การที่ตนชอบศิลปะ เนื่องจากคุณพ่อซึ่งเป็นข้าราชการ ชอบศิลปะ และเพราะเมืองไทยมีศิลปะเยอะแยะ ซึ่งตนกตัญญูต่อสถาบันการศึกษา ต่อครูบาอาจารย์ทั้งหมด
หากไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพวกเขาเหล่านี้ ตนก็คงจะไม่มีความสามารถอย่างทุกวันนี้ จริง ๆ ศิลปินต่างประเทศทุกท่านก็ถือเป็นอาจารย์ของตนทั้งหมด แต่เพราะตนเกิดในประเทศไทย ตนจึงรักประเทศไทย และการที่เป็นคนไทย ได้พบเห็นศิลปะไทยที่สวยงามจำนวนมาก เมื่อตนสร้างงานศิลปะออกมา จึงสามารถนำไปต่อสู้กับ
ประเทศอื่นได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนน่าจะภูมิใจ
อย่างไรก็ตาม ในการได้รางวัลในครั้งนี้มา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณพ่อของคุณเอริก้า ที่เป็นนักแกะสลักไม้ และทุกคนในครอบครัวของคุณเอริก้า ต่างให้การสนับสนุนตนด้วย การที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องเกิดจากความมุ่งมั่น พยายาม ที่ถูกต้อง และต้องรู้จักตนเองให้ดีเสียก่อน
จากแนวคิดดังกล่าวที่หล่อหลอมให้คุณสันติ สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะโด่งดังในระดับโลกแล้ว แต่คุณสันติก็ยังภาคภูมิใจในความเป็นไทยของตัวเอง และรักที่จะนำเสนอแนวคิด และมุมมองแบบไทย ๆ ให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ จึงนับว่าคุณสันติ เป็นอีกหนึ่งบุคคลตัวอย่าง ที่ศิลปินรุ่นหลังควรยึดถือเป็นแบบอย่างต่อไป และเชื่อว่า ในอนาคต ผลงานของคุณสันติ จะต้องเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้คนไทยได้ร่วมภาคภูมิใจไปด้วยเช่นกัน
ข้อมูลส่วนตัว
สัญชาติ ไทย-อเมริกัน
เชื้อชาติ ไทย
วัน-สถานที่เกิด เกิด 15 มิ.ย. พ.ศ. 2515 - ต. ชุมพวง อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา
บิดา นายชั้น พิเชฐชัยกุล อดีตข้าราชการครู ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน
มารดา นางทองพูนศรี พิเชฐชัยกุล อาชีพช่างตัดเย็บเสื้อผ้า และแม่บ้าน( เสียชีวิตแล้ว )
เกียรติและรางวัล
พ.ศ.2554 ด้ที่ 4 ของการประกวดศิลปะทุกแขนง แต่เป็นที่ 1 ของประติมากรทั้งหมดที่เข้าแข่งขัน จากศิลปิน 1,582 คน 39 ประเทศ 43 รัฐในอเมริกา
พ.ศ.2554 ได้รับการคัดเลือกให้เป็น1ใน10ประติมากรแนวอเมริกันตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อร่วมแสดงงาน Calgary Stampede, Calgary, Canada เป็นปีที่99 ซึ่งเป็นมหกรรมการแสดงกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
พ.ศ.2554 ติด 1 ใน 25 คน จากผู้เข้าแข่งขันทั้งสิ้น 1,713 คน หลายประเทศทั่วโลก ในงานประกวดแข่งขันศิลปะระดับโลกที่งานอาร์ตไพรส์
พ.ศ.2554 Granted Official Trademark by the United States of America for bronze limited edition alterations “Artist Rendering & Customization” ได้รับอนุญาติจากอเมริกาให้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ชื่อ “อาร์ตติสท์ แรนเดอร์ริ่ง แอนด์ คัสโตมายเซชั่น”
พ.ศ.2554 ถูกเสนอชื่อให้เข้ารับรางวัลประติมากรยอดเยี่ยมของรัฐมอนทาน่า
พ.ศ.2554 Living Book for Rajamangala University of Technology Isan International Human Library ถูกเชิญให้เป็นบุคคลผู้มีความรู้ทางการศิลปะในรายการหนังสือมีชีวิต ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา เพื่อเป็นหนังสือในห้องสมุดมีชีวิตครั้งแรกแห่งประเทศไทย
เปิดใจ"สันติ พิเชฐชัยกุล”ประติมากรเอกปั้น"พระบรมรูป ร.9”
15 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 09:09 น
สันติ พิเชฐชัยกุล ประติมากรเอกระดับโลก กับผลงานพระบรมรูปในหลวง ร.9
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์ประดิษฐานบนปราสาทพระเทพบิดรในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง เคียงข้างพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1-รัชกาลที่ 8 โดยเมื่อวันจักรีที่ผ่านมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีประดิษฐานและสมโภชพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้ที่ปราสาทพระเทพบิดรแห่งนี้ ซึ่งเป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ตรงกับวันจักรี และวันที่ 5 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล หรือวันสำคัญต่างๆ ปราสาทพระเทพบิดรจะเปิดให้พสกนิกรเข้าถวายบังคมพระบรมรูปล้นเกล้าฯ ทุกรัชกาล เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบชั่วนิรันดร์
ประติมากรเอกระดับโลกนักปั้นแห่งจิตวิญญาณ อ.ดร.สันติ พิเชฐชัยกุล คือศิลปินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นผู้ปั้นพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระบรมรูปทรงยืนสง่างาม มีความสูงจากพระบาทถึงพระเศียร 179 เซนติเมตร ฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระหัตถ์ซ้ายทรงถือพระแสงกระบี่หล่อด้วยโลหะบรอนซ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2562 บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระบรมรูป ร.9 ประดิษฐานบนปราสาทพระเทพบิดรในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
อ.ดร.สันติ พิเชฐชัยกุล กล่าวว่า ผลงานพระบรมรูปในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นการทำงานศิลปะให้ดีที่สุดเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพ่อหลวง รัชกาลที่ 9 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ตนได้ใช้ความรู้ความสามารถทางด้านศิลปะปั้นพระบรมรูปรัชกาลที่ 9 ตนอยากตอบแทนบุญคุณพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
ทรงก่อตั้งโรงเรียนศิลปะให้เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย ทรงส่งเสริมการเรียนการสอนศิลปะ สร้างครูบาอาจารย์ด้านศิลปะ ทำให้ตนเองได้ร่ำเรียนและมีวิชาชีพเป็นศิลปิน ได้ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมจนทุกวันนี้ อยากแสดงความกตัญญูที่มีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จากบทบาทหน้าที่ประติมากรของตนเอง
“ รู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้ถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าฯ 2 ครั้ง พระจริยวัตรงดงาม ไม่ถือพระองค์ ทรงตรวจงานเมื่อนำต้นแบบให้ทอดพระเนตร พร้อมพระราชทานคำแนะนำในการปรับปรุงแก้ไขพระพักตร์ ช่วยให้พระบรมรูปรัชกาลที่ 9 เกิดความสง่างาม เหมือนจริง รับสั่งต้องเป็นคนนี้ที่จะปั้นพ่อของเราเท่านั้น " อ.ดร.สันติ เผยความรู้สึก
ประติมากรเอกทุ่มเทฝีมือและจิตวิญญาณปั้นพ่อหลวงของชาวไทย
ประติมากรเอกระดับโลก บอกว่า แม้จะผ่านงานปั้นมามากมาย ทั้งหุ่นรูปเหมือนบุคคล หุ่นรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ หุ่นปั้นพระพุทธเจ้า แต่การปั้นพระบรมรูปรัชกาลที่ 9 ยากที่สุด รู้ว่านี่คือพ่อหลวงของปวงชน พระพักตร์จึงทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา บุคลิกภาพสง่างาม ตั้งใจปั้น ส่วนพระเนตรมองลงต่ำ
พระศอก้มลง เปรียบเหมือนทรงรับการถวายบังคมของพสกนิกรที่เข้ามาในปราสาทพระเทพบิดร อีกขั้นตอนที่ยากไม่แพ้กัน ด้วยพระบรมรูปทรงชุดครุยเต็มยศ มีลวดลายพุ่มทรงข้าวบิณฑ์และเหรียญประดับ เราทำลวดลายหล่อขึ้นรูปทีละชิ้นๆ แล้วนำมาร้อยเรียงประกอบให้พอดีกัน แม้แต่กระบี่ที่ทรงถือใส่รายละเอียดครบถ้วน มีตัวอักษรที่อ่านได้ชัดเจน
“ ผมเริ่มปั้นขึ้นรูปด้วยดินวันที่ 5 ธันวาคม 2560 จนพระบรมรูปในหลวง รัชกาลที่ 9 เสร็จกลางเดือนพฤษภาคม 2562 เป็นเวลา 2 ปีที่ผมหยุดงานทุกอย่างเพื่อทำรูปปั้นพ่อ ใช้วิชาความรู้บวกกับประสบการณ์ทำงานทำให้ดีที่สุด โดยมีเพื่อน รุ่นน้อง และลูกศิษย์ร่วมด้วยช่วยกัน ทุกคนมาด้วยใจ ในหลวง ร.9 ทรงเป็นพ่อของทุกคน และพ่อสอนว่าสามัคคีคือพลัง
ผมนำทุกคำสอนพ่อมาปั้นพระองค์ท่าน ตลอดจนใช้ในการดำเนินชีวิต สำหรับเสียงชื่นชม เมื่อผลงานปรากฏออกมาไม่ได้หลงตัวเอง รู้สึกขอบคุณและมีความสุขเมื่อคนเห็นรูปปั้นแล้วนึกถึงพระองค์ท่าน ถือเป็นเกียรติประวัติของครอบครัว ครูบาอาจารย์ และสถานศึกษา" อ.ดร.สันติ กล่าว
แววตาและพระพักตร์ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา
ศิลปินประติมากรมือหนึ่งกล่าวว่า การปั้นพระบรมรูปรัชกาลที่ 9 เป็นประติมากรรมชิ้นสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต พระบรมรูปเก็บรักษาความดีงามของพระองค์เอาไว้ ทั้งยังเป็นตัวแทนพระองค์ท่าน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้น้อมรำลึกและจดจำคำสอนของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงรักและห่วงประชาชนตลอด 70 ปีครองราชย์ อยากให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าตามรอยเบื้องพระยุคลบาทในหลวง ร.9 และร่วมทำความดีเพื่อบ้านเมือง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ช่างปั้นผู้มีฝีมือใช้เวลา 2 ปีสร้างประติมากรรม รัชกาลที่ 9 ผลงานประวัติศาสตร์
ในท้ายนี้ ประติมากรผู้จงรักภักดีกล่าวว่า ไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้ เป็นแค่ความฝันที่ไม่อาจจะฝันได้ แต่ก็เป็นจริงไปแล้ว ตอนเด็กวัย 6 ขวบ พ่อแม่พานั่งรถโดยสารจากอำเภอชุมพวงบ้านเกิดมากราบรูปปั้นย่าโมในเมืองโคราช เมื่อเห็นก็ประทับใจและเกิดความชอบรูปปั้นย่าโม มารู้ทีหลังว่าเป็นฝีมือการปั้นของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี อยากจะปั้นเป็นและอยากเก่งเหมือนท่าน กระทั่งเข้าเรียนศิลปกรรมฯ เทคโนฯ โคราช
ตอนหัดเรียนปั้นมีโอกาสปั้นตามรูปปั้นเหมือนจริงหุ่นปูนพลาสเตอร์ของอาจารย์ศิลป์ ตนแค่อยากจะปั้นให้พอเป็นมืออาชีพเลี้ยงตัวเองได้ แต่ไม่นึกไม่ฝันวันนี้จะได้สร้างผลงานประติมากรรมรูปปั้นชิ้นที่สำคัญในชีวิต และนำไปประดิษฐานในปราสาทพระเทพบิดร วางไว้เคียงข้างกับผลงานปั้นของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นไอดอลของตนเอง
เครดิต thaipost.net
สันติ พิเชฐชัยกุล
 
ในรายการทีวีรายการหนึ่งพิธีกรได้กล่าวเปิดตัวแขกรับเชิญไว้อย่างยอดเยี่ยม คำพูดนั้นเป็นสัจธรรมและกินใจยิ่งนัก เขากล่าวว่า คนเราจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีสามสิ่งเหล่านี้ หนึ่ง...ต้องรู้จักตนเอง สอง...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน สาม...ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น และบุคคลที่พิธีกรพูดถึงก็คือชายคนนี้ครับ ในวันนั้นเขาประสบความสำเร็จเพราะมีสามสิ่งนี้ครบถ้วน
อาจารย์สันติ พิเชฐชัยกุล นักปั้นมือทอง ผู้ที่คว้ารางวัลศิลปะการปั้นบนเวทีการประกวดระดับโลกมากมาย ผลงานล้วนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ชีวิตของเขาพลิกผันสู่ความสำเร็จจากคำพูดของสตรีท่านหนึ่งที่ว่า “ประเทศไทยจะเก็บสันติไว้คนเดียวไม่ได้ โลกจะต้องรู้จักคนที่ชื่อสันติ” คำพูดนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาค้นพบตัวเองมุ่งสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมสตรีคนนั้นที่กลายมาเป็นคู่ชีวิตของเขา ทุกความสำเร็จล้วนต้องผ่านบทพิสูจน์ กว่าจะมีวันนี้ได้เส้นทางชีวิตล้วนต้องฝ่าฟัน
“ตอนเด็ก ๆ ตายายและพ่อแม่จะพาผมเข้าวัดทุกอาทิตย์ วัดวาอารามของไทยเป็นที่รวบรวมของศิลปะหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมฝาผนัง รูปจิตรกรรมพุทธประวัติ หรือจะเป็นรูปหล่อโลหะ เราก็ไปพบไปเห็นภาพวาดตามอุโบสถก็รู้สึกสนุกอยากจะลองทำบ้าง
ผมเริ่มหัดปั้นดินเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ตอนประมาณ 4 ขวบ พอ 6 ขวบ ก็ปั้นดินเหนียวจอมปลวกข้างบ้านเป็น UFO ขายให้เพื่อนข้างบ้าน ตอนนั้นอยู่อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา จากนั้นเราก็เริ่มเข้าประกวดได้รางวัลบ่อย ๆ เมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่เราชอบก็เลยสู้แล้วฝึกฝนเพราะอยากทำงานศิลปะเป็นอาชีพ
“คุณพ่อของผมท่านเป็นครู ทำให้ที่บ้านจะมีสมุดแจกนักเรียนและกระดาษจดเยอะมาก เราก็เอามาวาดเล่นตลอด บางครั้งก็เอาถ่านและช็อคมาเขียนฝาผนังบ้านเล่น ตอนนั้นก็โชคดีที่คุณพ่อและคุณแม่สนับสนุน เช่น คุณแม่เป็นช่างเย็บผ้า เห็นแม่เย็บผ้าก็เป็นงานฝีมือ คุณพ่อเป็นครูก็จริง แต่คุณพ่อก็ยังเขียนตัวหนังสือสวย ๆ ให้นักเรียนอ่าน หรือพ่อทำของเล่นให้กับนักเรียน ทำเฟอร์นิเจอร์ มันก็เป็นงานช่างฝีมือ ตรงนี้เป็นการซึมซับแต่เด็กของผม จากนั้นเองทำให้เราสั่งสม ทั้งการเห็น การฝึกฝน การเรียนรู้ จากสิ่งที่เราชอบ
“ฐานะตอนนั้นถือว่าปานกลาง จริง ๆ เกือบถึงขั้นจนด้วยซ้ำ เพราะว่าพ่อมีลูกหลายคน ทั้งหมด 6 คน ผมเป็นคนสุดท้อง โชคดีว่าท่านเป็นคนขยัน พ่อเป็นลูกชาวนาชาวไร่แต่สามารถไต่เต้ามาเป็นครูใหญ่จนได้เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน ผมเป็นลูกผู้อำนวยการโรงเรียน ผมก็เลยตั้งมั่นว่าผมต้องมีประโยชน์ แล้วก็ต้องทำให้ได้มากกว่าที่พ่อทำ ผมท่องจำในโรงเรียนว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมท่องตั้งแต่เป็นนักเรียน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรับผิดชอบในสิ่งที่ผมสัญญาเอาไว้ครับ ความสุขของผมคืออยากทำให้คนอื่นมีความสุข”
บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งศิลป์
“ตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถม รร.ชุมชนชุมพวงวิทยา คุณครูศิลปะจะสอนให้เรามีอิสระ อยากวาดอะไรก็วาดได้ตามใจชอบ แล้วก็ค่อย ๆ ให้คอนเซ็ปต์ ช่วงชั้นมัธยมต้นซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ รร.ชุมพวงศึกษา ก็เรียนสายวิทย์-คณิต แต่ปรากฏว่าไม่ชอบเลยครับคณิตศาสตร์หรืออังกฤษ
ชอบวาดรูปมากกว่า จนได้เป็นประธานชมรมศิลปกรรมของโรงเรียน แล้วก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวงดุริยางค์อีกด้วย แต่คุณครูก็ชอบส่งเข้าไปประกวดในที่ต่าง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่สุดท้ายครูก็แนะแนวให้ไปเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา
“ซึ่งที่นั่นผมได้คำสอนของครูติดตัวมา อะไรก็ตามถ้าจะวาดต้องวาดให้ได้ชีวิต เช่น คุณวาดมีด มีดต้องบาดมือได้นะ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำสิ่งที่เหมือนจริง ผมเรียนศิลปะทุกแขนงเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นวิชาองค์ประกอบศิลป์ลายไทย Anatomy กล้ามเนื้อมนุษย์ และแม้แต่ว่าการผสมสีจากดอกไม้และพืชพันธุ์ธรรมชาติ ช่วง ปวช. ผมจะเรียนรวมหมดเลย พอปวส.
ก็จะแยกสาขา ผมได้สิทธิ์ไม่ต้องสอบ ปวส. แต่อาจารย์แนะนำให้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาศิลปากรผมก็ไปเลยกับรุ่นพี่ ชื่อพี่ขจร นอนอยู่ที่ ร.พ. ศิริราช ซึ่งรุ่นพี่แนะนำให้ไปสมัครให้นักศึกษารุ่นพี่ที่ศิลปากรเขาติวให้ แต่ก็สอบไม่ติดครับ และไม่คิดว่าเราจะสอบไม่ติด เราเตรียมพร้อมมาจากโคราชนะ ที่ไม่ได้เข้าศิลปากรเพราะว่าไม่ใช่แค่วาดรูปเก่ง หรือปั้นเก่งอย่างเดียว แต่เขาเอาวิชาการด้วยครับ อย่าแค่เก่งทฤษฏีหรือเก่งแค่ปฏิบัติ มันต้องควบคู่กันไป นี่แหละถึงจะประสบความสำเร็จได้ ผมจำได้จนขึ้นใจ
“ผมไปอาศัยอยู่ที่ศิริราช 2 เดือน อยู่ที่นั่นผมก็ได้ศึกษา Anatomy ในตึกที่เขาเรียกว่าตึกซีอุย เห็นชิ้นเนื้อเห็นกระดูก เห็นกล้ามเนื้อ ผมเข้าไปเพื่อจะเอาความรู้ แล้วพี่เขามีงานเกี่ยวกับวาดภาพพุทธประวัติ เขาก็มาให้ผมลงสีให้ แลกกับอาหารและที่พัก แลกกับวิชาความรู้
มันต้องอดทน ทีนี้เพื่อนโทรมาว่ามีรุ่นพี่ทำงานเป็นนักปั้นในโรงหล่อแห่งหนึ่งอยู่แถวซอยเพชรเกษม 51 (บางแค) เขาให้ค่าแรงวันละร้อย ผมก็ไปทำงานที่นั่น เขาก็ให้ทำอะไรก็ทำ กวาดพื้น นวดขี้ผึ้ง เก็บขยะ หรือแม้แต่เก็บขี้หมาด้วย เพราะที่นั่นเลี้ยงหมาเยอะมาก ได้ความรู้เยอะมาก ๆ เริ่มจากก่อไฟ นวดขี้ผึ้ง จุดไฟแรงไฟต้องอ่อน
หล่อยังไง รู้แม้กระทั่งกระบวนการทั้งหมดสามารถใช้เวลา 7 วัน ปั้นและหล่อโลหะทองเหลืองจนเสร็จได้ โรงงานเขาทำได้เร็วมาก และเราได้ประสบการณ์ความรู้จริง ผมต้องขอขอบคุณอาจารย์แดง กำพล เจ้าของโรงหล่อที่ชี้โพรงให้กระรอกอย่างผม ท่านแนะนำให้เข้าวงการบันเทิง เพราะก่อนหน้านั้นผมเคยประกวดนายแบบที่โคราชได้แชมป์มา ผมก็ไปโทรหาพี่ที่ทำโมเดลลิ่ง ที่ชื่อพี่จรัญ พลตื้อ เขาก็เลยให้ไปแคสติ้งเป็นพระเอกมิวสิควิดีโอ ไปถ่ายทำที่ภูเก็ตสองวันได้ค่าตัว 3 พันบาท ซึ่งเท่ากับเราทำงานทั้งเดือนเลยทีเดียว
“หลังจากได้ความรู้จากการปั้น การหล่อ ผมก็ลาออกมาอยู่วงการบันเทิง ทำงานอยู่โมเดลลิ่ง มีหน้าที่เป็นคนหานักแสดง ผมเป็นแมวมอง บางทีก็ไปเป็นสตั๊นท์แมนบ้าง ตัวประกอบในรายการทไวไลท์โชว์บ้าง สักพักก็ได้มาทำฝ่ายศิลป์ให้กับอาประยูร วงษ์ชื่น ผู้กำกับชื่อดังตอนนั้น สามารถหาเงินเรียนต่อที่เพาะช่างได้ ระหว่างนั้นก็ทำฝ่ายศิลป์ให้กับผู้กำกับท่านอื่นด้วย ที่สุดท้ายคือมาทำให้พี่ปื๊ด ธนิตย์ จิตนุกูล
“เราเรียนด้วยทำงานไปด้วย ตอนนั้นผมเรียนที่วิทยาลัยเพาะช่าง พาหุรัด แต่ยังมีงานเรื่อย ๆ เพราะผู้ใหญ่ในวงการนี้หลายคนให้โอกาสได้ทำงาน เช่นเป็นหัวหน้าฝ่ายศิลป์ละครเรื่อง ขบวนการสู้ผีไม่มีถอย (ช่อง 3) ของคุณหน่อง อรุโนชา ภานุพันธ์ บ.บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เป็นต้น และแสดงเป็นพระเอกมิวสิควีดีโอคาราโอเกะให้กับหลายเพลงของบริษัท
RS แล้วผมก็พยายามช่วยเหลือให้เพื่อนคนอื่น ๆ หลายคนเข้าวงการ อีกทั้งหางานและหาโอกาสมอบให้คนอื่นเสมอ วันหนึ่งได้มีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินมาถามว่า ในเพาะช่างใครปั้นเก่งมากที่สุด จะให้ทำงานกับพิพิธภัณฑ์ฟาร์มจระเข้ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นการปั้นวิวัฒนาการของมนุษย์ ตั้งแต่ลิงกลายเป็นคน 9 ขั้น เป็นนูนสูงกึ่งลอยตัว ปรากฏว่าเขาเลือกให้ผมทำงานนี้ นั่นคือเป็นอาชีพครั้งแรกที่รับจ้างทำงานปั้นอย่างแท้จริง
“พอได้งานชิ้นนั้น ผมก็เลิกทำฝ่ายศิลป์ให้พี่ปื้ด ธนิตย์ (สยึ๋มกึ๋ย ภาค 2) ไม่ทำหนังแล้ว ผมรับงานปั้นชิ้นนั้นกับเพื่อนรุ่นพี่อีกสองคน เราปั้นกันที่ซอยเพชรเกษม 51 เราปั้นให้ 7 ตัว ตอนนั้นได้เงินสามหมื่นบาท แบ่งกันคนละเก้าพัน ทีนี้รุ่นพี่มากระซิบว่าจริง ๆ แล้วเขารับงานมาแพงกว่านั้นมาก ผมเลยคิดว่าเรื่องเงินไม่สำคัญเท่ากับการได้รับโอกาส
วันนี้เราลงทุนลงแรงและยอมขาดทุนไปก่อน เพราะผมถือว่า “ขาดทุนคือประสบการณ์ ความชำนาญคือกำไร” เดี๋ยวค่อยเอาคืนทีหลัง ระหว่างที่ผมกำลังศึกษาผมก็รับจ้างทำงานวาดและงานปั้นไปด้วยทุกชนิดจากลูกค้านักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และลูกค้าทั่วไปนอกมหาวิทยาลัยควบคู่กันไปด้วยตลอดเวลา จนจบปริญญาตรีสาขาประติมากรรมสากลศึกษาศาสตร์บัญฑิต สายครู ม.เทคโนโลยีราชมงคลคลอง 6 ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
ชีวิตพลิกผัน สู่ความสำเร็จ
“จุดเปลี่ยนสำคัญคือตอนที่เราย้ายไปอยู่อเมริกา เพราะผิดหวังบางอย่างในเมืองไทย คุณเอริค่าบอกถ้าคนที่นี่ไม่เห็นค่าก็ไม่เป็นไร สันติ...คุณทำให้คนทั้งโลกเห็นก็แล้วกัน ประเทศไทยจะเก็บสันติไว้คนเดียวไม่ได้ โลกจะต้องรู้จักคนที่ชื่อสันติ คำพูดนี้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ
ตอนนั้นมีคนมาจ้างผมปั้นหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เลื่อน (ไฟเบอร์กลาส) แต่สุดท้ายลูกค้าก็ไม่เอา เพราะว่าเขาไม่เห็นคุณค่า เราก็เลยนำหลวงปู่เลื่อนไปอเมริกาด้วย เหตุผลที่ไปอเมริกา ทำไมถึงต้องสู้ บทพลิกผันชีวิตก็มาจากผู้หญิงคนนี้ครับ คุณเอริค่าภรรยาของผมนั่นเอง
“การทำงานใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะวิชาใด ถ้าเรารักในสิ่งที่เราทำ เราจะทุ่มเท ถามว่าจิตวิญญาณมาจากไหน มาจากตัวตนของเรานั่นแหละ ถ้าเราไม่รักเราจะเสียสละ เราจะอดทนศึกษาหาความรู้นั้นไหม เราจะทุ่มเททั้งชีวิตและจิตวิญญาณให้งานนั้น ๆ ไหม เราใส่ความรักและจิตวิญญาณของเราเข้าไปในงาน จิตวิญญาณและความรักมันจะสะท้อนออกมาจากงานครับ
“สิ่งที่เราปั้นเป็นบุคคลสำคัญที่มีคุณงามความดี ท่านต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณ ถ้าเราเชื่อมโยงกับท่าน จิตวิญญาณของเรากับท่านทั้งหลายที่เราปั้นจะมาเจอกันครับ หลายคนที่เห็นผลงานบอกว่ารูปปั้นเหมือนขยับได้ ก็เพราะว่าผมทุ่มเทเก็บทุกรายละเอียด ใส่ทั้งเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ มันจึงกลายเป็นว่าไม่ใช่แค่เหมือน แต่ต้องได้ชีวิตเลย ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ถ้าใครจะเห็นแล้วเห็นถึงจิตวิญญาณ เพราะผมก็ใส่จิตวิญญาณของผมกับบุคคลที่ผมปั้นลงไป มันจึงสะท้อนถึงจิตวิญญาณได้มากกว่าเหมือนคือชีวิตและจิตวิญญาณครับ
“ปีแรกที่เข้าร่วมการประกวดในงาน ArtPrize ที่มิชิแกน ในปี ค.ศ.2010 ผลงานหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เลื่อนของผมติดอันดับ 1 ใน 25 ของศิลปินที่ส่งงานศิลปะเข้าประกวดทั้งหมด 1,713 คน จากหลายประเทศทั่วโลก แต่ก็ยังมีคนครหาอีกว่าไม่ใช่รูปปั้น เพราะหาว่าผมทำแม่พิมพ์ลงไปบนคน
หลวงปู่เลื่อนได้กลายเป็น Talk Of The Town ของที่นั่นศิลปินระดับโลกมาจับมือให้กำลังใจผม ถึงจะไม่ชนะ แต่ผมก็ยังภูมิใจว่าชนะใจคนดู รูปปั้นของเราเหมือนจริงมากขนาดที่เปรียบได้ว่ายุงยังมาเกาะและพยายามดูดเลือดเลยครับ นักปั้นชาวต่างชาติที่มาดูหลวงปู่เลื่อนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนจะสามารถปั้นได้เหมือนจริงถึงเพียงนี้ คือเขาไม่เชื่อว่าเราทำได้จริง ๆ ว่างั้นเถอะครับ
“การประกวดในปีต่อมา คือปี ค.ศ.2011 ผมเลยทำรูปปั้นGerard Alford ที่เป็นอดีตประธานาธิบดีคนที่ ๓๘ของสหรัฐอเมริกาซึ่งท่านเกิดที่เมืองแห่งการประกวดนี้ ซึ่งผมพยายามทำให้เห็นเหมือนประหนึ่งว่า ท่านยังมีชีวิตอยู่มายืนชมงานและให้คะแนนผม โดยเป็นหุ่นขี้ผึ้งมาเชียร์ผมปั้นรูปปั้นโลหะของตัวท่านเองอีกที ซึ่งก็เป็นเรื่องเลยครับ เราวางแผนโชว์ข้างนอก 24 ชั่วโมง เพราะจากประสบการณ์ที่เราเคยโชว์ข้างในพิพิธภัณฑ์นั้น คนดูน้อยจึงทำให้ได้คะแนนเสียงโหวตไม่พอ พอมาตอนนี้เราจึงได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น
ผมติด 1 ใน 4 ของผลงานศิลปะทุกแขนงของโลกและได้อันดับ 1 ของนักปั้นทั้งหมด จากศิลปิน 1,582 คนทั่วโลก 39 ประเทศ และ 42 รัฐในอเมริกา และปีต่อมา คือในปีค.ศ.2012 ผมก็ยังได้รับรางวัล Best Of Show 3D ในงานครบรอบร้อยปีของ Calgary Stampede Western Showcase Artists’ Studios ในเมืองคาลการี่ รัฐอัลเบอร์ต้าประเทศแคนาดา ถือเป็นการแข่งขันงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ
“ถัดมาในปี พ.ศ.2556 ผมเข้าร่วมแข่งขันรายการ Portrait Society of America ซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันระดับโลกอีกรายการหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง งานของผมได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 15 จากสุดยอดศิลปินที่มีฝีมือ 800 กว่าคนทั่วโลก และ พ.ศ.2557 Safari Club Internationalได้ยกย่องให้ผมเป็นประติมากรอันดับหนึ่งของโลกในปีนั้น
“พ.ศ. 2555-2556 ผมมีแกลลอรี่อยู่ที่รามคำแหง 164 ก่อนที่ผมจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ตอนนี้ผมมีแกลลอรี่ที่อเมริกา อยู่ใจกลางเมืองดาวน์ทาวน์ไวท์ฟิ๊ช ของรัฐมอนทาน่าซึ่งนำโบสถ์เก่าอายุ 110 ปี มาบูรณะทำใหม่ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นแกลลอรี่ที่สวยที่สุดในรัฐมอนทาน่า คนที่นี่บอกว่าน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์มากกว่าที่จะเป็นแกลลอรี่ ซึ่งภายในซัมเมอร์ปี พ.ศ.2559 นี้คิดว่าจะเชิญศิลปินไทยไปโชว์งานที่แกลอรี่ของผมครับ เป็นการนำเอาฝีมือและผลงานศิลปะของศิลปินไทยไปอวดชาวต่างชาติบ้าง”
ที่สุดของความภาคภูมิใจ
“ผลงานที่ผมภาคภูมิใจที่สุดก็คือการปั้นเพื่อเทิดพระเกียรติถวายแด่ในหลวง ‘รอยยิ้มของพ่อ’ พระพักตร์แจ่มใสทรงแย้มพระสรวล ผมคิดอยากจะปั้นรูปพระองค์ท่านมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าพอและไม่มีโอกาสสักที ความมั่นใจของผมเกิดจากแรงการันตีที่ได้รางวัลจากเวทีโลก เมื่อได้ความมั่นใจ ผมจึงกล้าที่จะปั้นถวายพระองค์ท่าน ผมเริ่มโดยการที่คิดว่าควรจะไปเริ่มต้นปั้นโครงสร้างที่โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น รัฐแมซซาซูเซส ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พระองค์ท่านทรงประสูติ โดยใช้ดินเซรามิคสีขาวที่ไม่เหมือนของใครในการปั้นขึ้นโครง
“ผมจำได้แม่นว่า ในวันที่ 27 สิงหาคม 2556 เวลา เก้าโมงเช้า ถึงสิบโมงครึ่ง ทางโรงพยาบาลเขาให้เวลาแค่นั้น แถมตึกที่พระองค์ท่านทรงประสูติก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว ผมก็เลยมาปั้นอยู่ที่ห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นตึกที่อยู่ในอายุราวคราวเดียวกันกับตึกที่ทุบทิ้งแต่สภาพยังดีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นผมได้บันทึกวิดีโอเอาไว้ เป็นความภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้ว ที่เราได้คิดและลงมือทำ เมื่อสำเร็จลุล่วงเราก็นำไปถวายให้พระองค์ท่าน
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ที่พระราชวังไกลกังวล ท่านรองราชเลขามารับแทนพระองค์ และก็ยังแนะนำให้ทำสีใหม่เพราะว่าอาจจะดูเข้มไป จึงนำกลับมาแก้ไข เมื่อท่านรองฯ เห็นก็แสดงความชื่นชมว่านี่คือรูปปั้นในหลวงที่ดีและเหมือนจริงที่สุดเท่าที่เคยมีการปั้นกันมาถวาย วันต่อมาท่านรองก็ให้ลูกชายโทรมาบอกว่าพระองค์ท่านทรงโปรดและบอกว่าสวยดี และยังทรงถามอีกว่ารูปปั้นหนักกี่กิโล เพราะว่ามีรับสั่งให้คนทำฐานเพิ่ม เพื่อจะโชว์ที่ท้องพระโรง เมื่อพระองค์ทรงโปรดแล้ว
เราถึงกล้าเปิดเผยคลิปวีดีโอการทำงานนั้นวันแรกเริ่มคือวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2557 จนถึงวันนี้มีผู้คนเข้าไปชมกว่า 2 ล้านวิวแล้ว ซึ่งท่านที่ยังไม่ได้ชมก็สามารถเข้าไปชมได้เช่นกัน เมื่อผมเห็นพระองค์ทรงแย้มพระสรวลและมีความสุข ผมก็มีความสุข และผมก็อยากจะแบ่งปันความสุขนี้ให้คนไทยทั้งชาติ ผมก็รู้สึกปลาบปลื้มใจและเป็นความภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นความสุขที่ยากเกินจะอธิบายเป็นคำเขียนหรือบอกเล่าได้ครับ
“และในขณะนี้ผมกำลังมีโปรเจ็กต์ใหญ่ที่อยากให้คนไทยทั้งชาติร่วมด้วยช่วยกันสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกชิ้นหนึ่งของโลกด้วย นั้นก็คือประติมากรรมเหมือนจริงที่มีความละเอียดของพระพุทธเจ้าโลหะปางสมาธิสูง 19 เมตร นั่งอยู่บนฐานสูงประมาณ 17 เมตรซึ่งเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์แสดงเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ,ตรัสรู้, ปริณิพาน ฯลฯ และเป็นแหล่งรวบรวมพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องที่สุด ซึ่งจะประดิษฐานอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันรุ่งเรืองแห่งธรรม โครงการนี้มีชื่อว่า
ร่วมค้นหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดในโลกตามประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การตามหาพระพักตร์ของพระองค์ท่านเพื่อมาปั้นเท่านั้น แต่พวกเรายังจะได้เข้าใกล้พระองค์และได้รู้ซึ้งถึงแก่นของพระธรรมคำสอนที่แท้จริงของพระองค์อีกด้วย ซึ่งภายในองค์ยังจะมีการปั้นเป็นพุทธรูปแบบเหมือนจริงวัสดุเรซิ่นไฟเบอร์กลาสอีกด้วย 1 องค์ ซึ่งเป็นองค์ที่ 2 รองจากองค์ที่ 1 ซึ่งจะมอบให้กับ ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล เรามีความหวังว่าโครงการนี้เมื่อทำเสร็จแล้ว .
พวกเราก็จะได้เกิดความภาคภูมิใจว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเหมือนพวกเราทั้งหลายจนบรรลุมาถึงพุทธะได้ และตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง จะได้นึกถึงความจริงที่ท่านสอน ว่าด้วยสัจธรรมความจริง เราไม่ได้ฝันหรือคิดเองทำเองคนเดียวได้ เราปรึกษานักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ ปรมาจารย์ด้านพุทธศาสนาทั่วโลก เราทำงานเป็นทีมและมีหลักการและหลักฐานอ้างอิง เราค้นคว้าและวิจัยร่วมกับชาวต่างชาติด้วยหลายประเทศ
“โปรเจ็กต์นี้ผมไม่ได้คิดคนเดียว คุณเอริค่าเป็นผู้เขียนหนังสือร่วมค้นหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามประวัติศาสตร์โลกขึ้นมา โดยมีทีมงานนักข่าวอาชีพของไทยเป็นผู้แปล ส่วนผมทำหน้าที่ในการเรียบเรียง รายได้จากการจำหน่ายหนังสือและเหรียญเบญจอรหันต์
คงกระพันความดีบารมี ๕๙ จะนำไปเป็นค่าเดินทางและการทำสารคดีทั้งภาคภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษ และจะเปิดเผยพร้อมกันทั่วโลก และจะนำรายได้ส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินที่คนทิ้งแล้วและไม่เห็นคุณค่า เพื่อที่เราจะมาเนรมิตให้สวยงามตามหลักคำสอนของพระองค์ ทำสิ่งที่คนไม่เห็นคุณค่า ให้เกิดเป็นสิ่งที่มีคุณค่าขึ้นมา แล้วยังเปิดโอกาสมอบให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสมทบทุนเพื่อโครงการ เราจะทำให้ดีที่สุดและพยายามให้ประหยัดที่สุดด้วย เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม และปลายปี พ.ศ.2560
เราจะมีการประชุมใหญ่จัดที่เซ็นทรัลเวิลด์ เราจะเชิญให้ปรมาจารย์ด้านพุทธศาสนาทั่วโลกมาร่วมประชุมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ท่านสามารถสนับสนุนโครงการได้ โดยการอุดหนุนหนังสือ ร่วมค้นหา พระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามประวัติศาสตร์โลก และเช่าจองเหรียญเบญจอรหันต์ คงกระพันความดี บารมี ๕๙ ได้ที่ เซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้ด้วยครับ”
เครดิต mixmagazine
นักปั้นระดับโลก ประติมากรผู้ปั้น พระบรมรูปมหาราชในดวงใจ
จากนักปั้นระดับโลก ประติมากรมือทองผู้ปั้น
พระบรมรูปมหาราชในดวงใจ
หากท่านที่ไม่ได้ติดตามศิลปกรรมอย่างเอาจริงเอาจัง อาจจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของ อาจารย์สันติ พิเชฐชัยกุล มากนัก เพราะอาจารย์เป็นศิลปินที่นิยมและชื่นชอบการทำงานอย่างเงียบๆ ตามสไตล์วิถีชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ผลงานศิลปะของอาจารย์นั้นโด่งดัง และเป็นที่ประจักษ์ในวงการศิลปะทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการถ่ายทอดถึงจิตวิญญาณในผลงานทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพจิตรกรรมต่างๆ งานประติมากรรมรูปเหมือน ซึ่งเหมือนจนแทบแยกไม่ออก
อาจารย์สันติ พิเชฐชัยกุล เกิดในครอบครัว ซึ่งคุณพ่อเป็นครู และคุณแม่เป็นช่างเย็บผ้า มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน และอาจารย์เป็นคนสุดท้อง ความเป็นศิลปินของอาจารย์นั้น แทบจะเรียกได้ว่า มีติดตัว เป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ด้วยความชื่นชอบงานศิลปะ ชอบวาดภาพ และชอบงานปั้น เมื่อเติบโตขึ้นอายุได้ ๑๖ ปี อาจารย์สันติได้ตัดสินใจสมัครเข้าเรียนในคณะออกแบบ สาขาวิชาชีพศิลปกรรม ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จ.นครราชสีมา
และได้มีโอกาสรับงานวาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง ณ วัดเขาสุกริม จ.จันทบุรี รวมถึงงานศิลปะอื่นๆ เพื่อหารายได้ ส่งตนเองเรียน อาจารย์สันติ มีความปรารถนาจะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยศิลปากร แต่สอบไม่ได้ จึงได้สอบเข้าเพาะช่าง และเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล คลอง ๖ จ.ปทุมธานี จนสำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาชีพที่ชื่นชอบ
นอกจากจะมีความสามารถเชิงช่างในด้านการปั้นแล้ว อาจารย์สันติ ยังมีความสนใจในงานปั้นโลหะจาก Bronze อีกด้วย ผลงานของอาจารย์สันติ มีมากมายในระดับโลก ยกตัวอย่างเช่น รางวัลชนะเลิศด้านประติมากรรม จาก Art Prize ซึ่งมีศิลปินจากทั่วโลกส่งผลงานเข้าประกวดมากกว่า ๑,๕๐๐ คน หรือ แม้แต่รางวัล Best of Show 3D
ในงานครบรอบร้อยปีของ Calgary Stampede Western Showcase Artists’ Studios ในเมืองคาลการี่ รัฐอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา โดยถือว่าอาจารย์สันติ เป็นประติมากรที่เก่งที่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ และยังมีผลงานอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน เป็นที่ชื่นชมและยกย่องจากศิลปินทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ
และเมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมา… อาจารย์สันติ ได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้งของชีวิต เมื่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์ และประดิษฐานบนปราสาทพระเทพบิดร ในพระบรมมหาราชวัง
ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่ดีแล้วว่า ณ ปราสาทพระเทพบิดร แห่งนี้ เป็นประดิษฐานของพระบรมรูปตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๘ และทางสำนักพระราชวังจะเปิดปราสาทพระเทพบิดร ให้ประชาชนเข้าชมในวันสำคัญเพียงปีละ ๗ วันเท่านั้น คือ
วันจักรี
วันฉัตรมงคล
วันสงกรานต์
วันปิยมหาราช
และวันที่ ๕ ธันวาคม
เพื่อให้พสกนิกรไทยได้มีโอกาสเข้ากราบถวายความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์
… พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า
“ผู้ที่จะเป็นผู้สร้างพระบรมรูปของพ่อเรานั้น ต้องเป็นอาจารย์สันติเท่านั้น”
นับเป็นเกียรติภูมิ และความภาคภูมิใจที่สุดของชีวิตอีกครั้ง ที่อาจารย์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ความรู้สึกของอาจารย์ท่วมท้นจนบรรยายความรู้สึกใดๆ ไม่ถูก มีเพียงแต่ความศรัทธาและตั้งมั่นในใจอย่างแรงกล้าว่า
“จะทุ่มเทกำลังใจ กำลังกาย ในการปั้นพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙ อย่างเต็มกำลัง อย่างสุดความสามารถ สุดฝีมือ และจะไม่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง”
ผ่านมาถึง ๒ ปี ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ จากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ จึงเสร็จสมบูรณ์ และวิจิตรงดงามยิ่งนัก
โดยพระบรมรูปมีความสูงจากพระบาทถึงพระเศียร ขนาด ๑๗๒ เซนติเมตร ความสูงฐานพระบรมรูปขนาด ๗ เซนติเมตร ความสูงรวมขนาด ๑๗๙ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง ๕๐ เซนติเมตร น้ำหนักรวม ๑๕๖ กิโลกรัม หล่อด้วยโลหะบรอนซ์ ซึ่งเป็นวัสดุผสมระหว่างทองแดงกับโลหะผสมอื่นๆ และมีทองแดงอยู่ร้อยละ ๖๐-๙๘ ที่เหลือเป็นโลหะผสมอื่นๆ
วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๓ ในเวลา ๑๘.๐๐ น.
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จฯ ลงยังหน้าพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เพื่อทรงประกอบพิธีบวงสรวง พระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเคลื่อนริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมรูปจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังปราสาทพระเทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อประกอบพิธีประดิษฐานและสมโภช ณ ปราสาทพระเทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
นับเป็นเกียรติประวัติของศิลปินคนหนึ่งของประเทศไทย และของโลก ที่มีผลงานและรางวัลในระดับโลกอันมากมาย และด้วยผลงานการสร้าง พระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต เป็นโอกาสที่หาที่ใดไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้ เป็นจารึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญและความภาคภูมิใจของ ตระกูล “พิเชฐชัยกุล” ที่จะถูกบันทึกและจารึกไว้ในใจตลอดไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
“รูปปั้นของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชิ้นงานศิลปะ แต่เป็นการเก็บบันทึกเรื่องราวความทรงจำในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้เก็บไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำ ทำให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่า ครั้งหนึ่งเรามีพระมหากษัตริย์ไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก มหาราชซึ่งมีความห่วงใย และปลดปล่อยความทุกข์ยากในใจของพสกนิกรไทยมาตลอดนับแต่ทรงครองราชย์มาอย่างยาวนานถึง ๗๐ ปี”
เครดิต THAI BOOK REVIEW
เมษายน 8, 2020, 11:56 am
ศิษย์เก่าคนเก่ง คณะศิลปกรรมศาสตร์ ฝีมือระดับโลก
ผมคิดว่า “การที่ผมประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้ เพราะว่า การที่ได้ซึมซับศิลปะจากครอบครัว สถานที่เรียนและความรักในความเป็นศิลปะ” คำพูดที่แสดงให้เห็นความภาคภูมิใจ และการมีพื้นฐานที่ดีจากครอบครัว พี่หนึ่ง สันติ พิเชฐชัยกุล ศิษย์เก่าคนเก่งคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่มีฝีมือระดับโลก การันตีจากการคว้ารางวัลที่ ๑ ด้านประติมากรรม ในงาน ART PRIZE 2011 สหรัฐอเมริกา ตามมารู้จักเบื้องลึก เบื้องหลังกันเลยคะ
สวัสดีคะ พี่หนึ่ง ก่อนอื่นอยากให้พี่หนึ่งเล่าย้อนไปถึงสมัยเด็กๆ ให้ฟังก่อนได้ไหมคะ
พี่ก็เป็นเด็กบ้านนอกคนนึงที่เกิดที่ อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา มีพี่น้องทั้งหมด ๖ คน พี่เป็นคนที่ ๖ ครับ สมัยเด็กๆ ก็เอาดินเหนียวตามท้องนามาปั้นเป็นของเล่น บางทีเด็กข้างบ้านเค้าอยากได้ บ้างก็จ้างพี่ปั้นให้ ตอนนั้นคิดค่าจ้างตัวละ ๑ บาท พี่ๆ ก็คอยสอนถึงเรื่องต่างๆ ให้ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิชาการหรือศิลปะ ทุกอย่างทุกคน ต้องสอนผมหมด เพราะผมเป็นคนสร้างกฎให้พี่ๆ ว่าทุกคนรู้อะไรมาใหม่ต้องสอนผม
ด้านการเรียนเป็นอย่างไรบ้างคะ อยากให้เล่าให้ฟังถึงวัยเรียน และประสบการณ์ต่างๆ ทั้งระหว่างเรียนและทำงานด้วยคะ
ผมถือว่าเป็นศิษย์ของราชมงคลแท้โดยสายเลือด ผมเรียน ระดับ ปวช.ที่ ราชมงคลอีสาน แล้วก็ออกมาทำงานเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนต่อ โดยทำงานที่โรงหล่อพระพุทธรูป แต่ระหว่างที่ทำงานอยู่ ๖ เดือน เงินเดือนก็ไม่ค่อยพอใช้ เจ้าของโรงหล่อเลยแนะนำ ให้พี่ไปทำงานในวงการบันเทิง อาทิ การเขียนฉาก เขียนแผ่นป้ายพอเก็บเงินได้แล้วมาเรียนต่อ
ปวส.ราชมงคลเพาะช่าง และก็เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่ คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ระหว่างเรียนผมก็ยังหารายได้พิเศษโดยการรับวาดภาพ การปั้นผลงานต่างๆ ตามที่ลูกค้าต้องการไปเรื่อยๆ เชื่อไหม แม้แต่ หมอฟัน แม่ค้าร้านข้าวแกงในพรธิสารก็เป็นลูกค้าของพี่หมด
แล้วทำไมพี่ถึง ผกพันไปอยู่และมีชื่อเสียงระดับโลกที่อเมริกาได้คะ
พี่แต่งงานกับ พี่เอริก้า จึงตัดสินใจไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาโดยตอนนั้นไม่ได้มีเงินมากมาย ไปอยู่ที่โน้นก็ไม่ได้สบาย
เพราะพี่ยังไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากไม่มีใบอนุญาต การทำงานพี่ก็ไปวาดภาพเหมือนตามตลาดศิลปะ มีคนชอบก็ซื้อภาพไปจนได้พบกับนายทุนท่านนึง ที่เห็นผลงานแล้วชอบ เค้าบอกว่าจะออกทุนให้พี่ ในการทำรูปหล่อโลหะเหมือน อินเดียนแดง จากนั้นพี่ก็ค่อยๆ เริ่ม ส่งงานเข้าประกวดในเวที ART PRIZE 2011 โดย ส่งรูปปั้นเหมือนหลวงปู่เลื่อน หล่อด้วยไฟเบอร์กลาสเรซิ่น ทำจากเมืองไทย แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะฝรั่งคงไม่เข้าใจวัฒนธรรมของบ้านเรา
แต่ก็มีหลายคนที่คิดว่าพี่เอาคนจริงๆ มานั่งนิ่งๆ โดยบางคนถึงขนาดนั่งเฝ้าว่าหลวงปู่เลื่อน (รูปหล่อ) จะต้องลุกไปเข้าห้องนํ้าบ้างหรือเปลี่ยนอริยาบถบ้าง แต่ผลงานของพี่ก็ติด ๑ ใน ๒๕ คนสุดท้ายพี่ก็ลองลง สู้ใหม่ โดยไม่ท้อนะ
แล้วปี 2011 ที่พี่ได้รางวัลชนะเลิศเนี่ย บรรยากาศ ผลงานเป็น อย่างไรบ้างคะ
การประกวดแข่งขันศิลปะที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก Art Prize 2011 (อาร์ตไพรส์ 2011) ณ เมืองแกรนด์แร็พพิคส์ รัฐมิชิแกนมีศิลปินเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด ๑,๕๘๒ คน จาก ๓๙ ประเทศและ ๔๓ รัฐของอเมริกา โดยส่งรูปปั้นเหมือนของเจอรัล อาร์ฟอร์ด ประธานาธิบดีคนที่ ๓๘ ของสหรัฐอเมริกา
เข้าประกวด เนื่องจากท่านเกิด ณ เมืองแกรนด์แร็พพิคส์ รัฐมิชิแกนหลายคนจึงบอกว่ารูปปั้นแต่ละรูปที่ผมปั้นเหมือนมีชีวิตจริง และ ผมเป็นผู้ดึงเอาวิญญาณของคนที่ผมปั้นมาใส่ไว้ในรูปปั้นของผมเอง ซึ่งผมภูมิใจมากกับคำชมนี้ และอีกความภาคภูมิใจคือ ผมคือ“คนไทยและเด็กชายจากบ้านนอกคนนึง ที่ทำให้ฝรั่งยอมรับ ความเก่ง และความเป็นไทย”
อยากให้พี่ฝากข้อคิดถึงน้องๆ ทุกคนคะ
คนเราต้องมีความพยายามตั้งมั่น ความสำเร็จก็จะเดินเข้ามา หาเรา และเราต้องมองการกระทำด้วยว่าเราทำดีพอหรือยัง พยายามได้ถึงที่สุดหรือยัง ถ้าดีที่สุดแล้วก็จงมั่นใจได้ว่าความสำเร็จก็จะเดิน เข้ามาหาเราเอง ถ้าน้องๆ คนไหน สนใจผลงาน ของพี่หนึ่ง (สันติ) สามารถ ติดต่อทาง E-Mail: SUNTIWORLDART@GMAIL.COM
เว็บไซต์ WWW.SUNTIWORLDART.COM
อย่าลืมนะคะว่า ความพยายามจะพาเราไปสู่ความสำเร็จ เสมอ
โฆษณา