28 พ.ค. 2024 เวลา 12:30 • ธุรกิจ

“มาม่า” จากเบอร์ 4 สู่ผู้นำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เส้นทางกลมกล่อมกึ่งสำเร็จรูป ที่ไม่ได้มาแบบสำเร็จรูป
ไม่ว่าอยากกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อไหนในตลาด เรามักจะเรียกติดปากว่า “มาม่า” อยู่เสมอ
แต่รู้หรือไม่ว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสุดฮิตนี้ ไม่ใช่แบรนด์แรกที่ขายในไทย แล้วมาม่าใช้วิธีไหนในการยึดหัวหาดตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่ารวม 20,000 บาทต่อปี
วันนี้ aomMONEY หยิบเรื่องราวของแบรนด์มหาชนนี้ มาแชร์ให้ฟังกันครับ
🏆[[ #สิ่งประดิษฐ์แห่งศตวรรษ ]]
ก่อนอื่นต้องเล่าย้อนความไปถึงต้นกำเนิดกันก่อน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้รับการโหวตจากชาวญี่ปุ่นให้เป็น สิ่งประดิษฐ์ที่เยี่ยมยอดประจำศตวรรษที่ 20 จากการสำรวจของ Fuji Research Institute (ธันวาคม ปี 2543) เลยทีเดียว
โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถูกคิดค้นและพัฒนาโดย “โมโมฟุกุ อันโด” (Momofuku Ando) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ตอนนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนให้คนญี่ปุ่นบริโภคขนมปังและแป้งสาลี ที่ต้องนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา นายอันโดเลยคิดว่า ญี่ปุ่นก็มีราเมน ทำไมไม่สนับสนุนอาหารแสนอร่อยอันนี้แทน
(แต่อย่าเพิ่งไปว่ารัฐบาลญี่ปุ่นเลย เพราะเหตุผลที่ต้องสนับสนุนให้ประชาชนกินขนมปังนั้นเพราะว่า วงการบะหมี่ในตอนนั้นยังเล็กมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทั้งประเทศนั่นเอง)
เมื่ออันโดมองว่าสิ่งที่คนญี่ปุ่นควรได้กินคือราเมน เขาจึงพยายามคิดค้นวิธีการที่จะทำให้บะหมี่เข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น จึงทำการทดลองหลายอย่าง ทั้งต้มเส้นให้สุก ปรุงรส อบแห้ง ใส่ซองเพื่อออกขาย จนสำเร็จในปี 2501
โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติแรกคือ รสซุปไก่ หรือ “ชิกิน ราเมน” (Chikin Ramen—Chicken Ramen) จากนั้นอันโดก็ตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “นิชชิน ฟูดส์” (Nissin Foods) เพื่อจำหน่ายและกลายเป็นอาหารที่คนทั่วโลกถูกใจได้ในที่สุด
🥇[[ #เจ้าแรก ]]
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีจำหน่ายในไทยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2514 โดยยี่ห้อแรกที่ขายมีชื่อว่า “ซันวา” (Sanwa) ที่ถอดแบบเจ้าชิกินราเมนมาทั้งรสชาติและวิธีการกินที่ต้องนำเส้นออกจากซองไปต้มก่อนรับประทาน
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดคู่แข่งอย่าง “ยำยำ” ที่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเวอร์ชันล้ำกว่า ที่เพียงแค่เติมน้ำร้อนแล้วรอ 2-3 นาที เข้ามาในตลาด
ต่อจากนั้นตามมาด้วย “ไวไว” และ “มาม่า” ที่ตามมาเป็นแบรนด์อันดับ 4
ด้วยวิธีการกินสะดวกกว่าของแบรนด์ใหม่ทั้ง 3 จึงได้รับความนิยมมากกว่า สุดท้ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างซันวา ก็หายไปจากตลาดบ้านเรา
🍜[[ #มาม่า ]]
คุณเทียม โชควัฒนา แห่งสหพัฒนพิบูล เห็นโอกาสในธุรกิจนี้จึงได้ตัดสินใจร่วมทุนกับ บริษัทไต้หวันชื่อ เพรซิเดนท์ เอ็นเตอร์ไพรส์
แต่ผ่านไปได้ 1 ปี สหพัฒนพิบูลก็ขอซื้อหุ้นทั้งหมดกลับมา แล้วให้ คุณ พิพัฒ พะเนียงเวทย์ เพื่อนร่วมก่อตั้งธุรกิจของคุณเทียม เป็นผู้ดูแลภายใต้ชื่อบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด และตั้งชื่อแบรนด์ว่า มาม่า ที่มาจากคำว่า 'แม่' (Mama)
นอกจากง่ายต่อการจดจำแล้ว ยังให้เหตุผลว่า แม่เป็นคำแรกที่ทุกคนพูดได้ และแม่มักจะทำอาหารอร่อยถูกใจลูกๆ เสมอ
ช่วงที่มาม่าออกขายใหม่ๆ ยังไม่เป็นที่รู้จักหรือติดปากลูกค้ามากนัก ทำให้มาม่าก็งัดกลยุทธ์ต่างๆ ออกมาเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด
ภายใต้หลักการ อร่อย ปลอดภัย สะดวก เก็บได้นาน ประหยัด และมีการใช้กลยุทธ์ที่มาม่าเป็นผู้ริเริ่มอย่างการขายแบบชงชิม ตามสถานที่สาธารณะ เพื่อให้ลูกค้าได้ชิมก่อนตัดสินใจ
รวมถึงนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกมา มีการเน้นบรรจุภัณฑ์ให้เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้คนจดจำได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศมากกว่าคู่แข่ง เพื่อที่ทุกคนจะมีโอกาสได้ลิ้มลอง
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดในปี 2523 ที่มีการออก #มาม่ารสต้มยำกุ้ง มาสร้างกระแส รวมทั้งใช้การตลาดอย่างการแจกทองโดยการส่งซองชิงโชค สร้างเสียงตอบรับที่ดี จนก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่งผลให้ชื่อ ‘มาม่า’ กลายเป็น Generic Name ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ติดปากคนไทยจนถึงปัจจุบัน
📈 [[ #ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทย ]]
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ปี 2565 ประเทศไทยบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรวมปริมาณทั้งหมดเป็นอันดับ 9 ของโลก มูลค่ารวมกว่า 19,700 ล้านบาท หรือประมาณ 3,870 ล้านหน่วยบริโภค
ซึ่งหากคิดเป็นต่อคนจะอยู่ที่ราวๆ 54 หน่วยบริโภคต่อคนต่อปี ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองเวียดนาม (86 หน่วยบริโภคต่อคนต่อปี) และเกาหลีใต้ (76 หน่วยบริโภคต่อคนต่อปี)
และประเทศไทยส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2565 มากกว่า 88,500 ตัน มูลค่ารวม 9,300 ล้านบาทโดยมีตลาดหลักเป็นเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาและเมียนมา
📌 รายได้รวมของทุกผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (TFMFMF)
ปี 2563 รายได้ 23, 800 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,090 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 25,000 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,574 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 27,100 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,785 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 28,500 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,777 ล้านบาท
**ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ปัจจุบันยอดขายของไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ 70% มาจากตลาดในประเทศ อีก 30% มาจากตลาดต่างประเทศ
2
การที่จะผลักดันให้ยอดขายในประเทศสูงขึ้น จำเป็นต้องเน้นไปที่สินค้ากลุ่ม Premium และ High Value Product ที่เน้นนวัตกรรมมากขึ้น โดยสังเกตได้จากการเข้ามาของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากเกาหลี ที่ได้รับการตอบรับดีจากคนไทย
ส่วนยอดขายต่างประเทศนั้น ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ตั้งเป้าผลักดันจาก 30% ไปเป็น 50% ของรายได้รวม คิดเป็นยอดขาย 15,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 โดยมีเป้าหมายทั้งรายได้ทั้งในและนอกประเทศอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท
❤ [[ #ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ]]
จะเห็นได้ว่า ตลาดอาหารพร้อมทาน (Ready-to-eat) ของบ้านเรานั้นแข่งขันการอย่างสูง อีกทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอาหารก็พัฒนามากขึ้น ทำให้มีสินค้าออกมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากมาย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม มาม่าก็ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คนไทยมีติดบ้านไว้เสมอ นอกจากความสะดวก ประหยัดและหลากหลายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มาม่าไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั้นคือสโลแกนสั้นๆ ที่ทรงพลัง และติดหูคนไทยมาตลอด 50 ปี กับคำว่า “มาม่า... อร่อย”
เรียบเรียงโดย อติพงษ์ ศรนารา
อ้างอิง :
#ออมมันนี #บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป #สหพัฒนพิบูล #ราเมน #นวัตกรรม #การเงิน #อร่อย #ยำยำ #ไวไว
โฆษณา