28 พ.ค. 2024 เวลา 09:28 • ปรัชญา
ถนนมังกร

กามราคะเป็นบาปมหันต์ที่ต้องฆ่าให้สิ้น?จริงหรือ? อริยบุคคลต้องไม่มีกามราคะ?ใช่หรือไม่???

พระพุทธองค์ได้ทำการจำแนกประเภทของกิเลสต่างๆ ออกเป็นสามประเภทหลัก ได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่ง ราคะจัดอยู่ในกิเลสประเภทของกามกิเลส ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของโลภเจตสิกอีกที(ความโลภ) ราคะอยู่ในกิเลสประเภทที่ให้ผลเบา แต่กำจัดได้ยากที่สุด ต้องใช้เวลาในการกำจัดยาวนานที่สุด
ราคะ หรือ กามราคะ เป็นคำเรียกในภาษาปาลีของ "ความรู้สึกต้องการได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือผู้ใดผู้หนึ่งมาเสพ ปรารถนาจะเสพซึ่งสัมผัสทางกายและอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความต้องการทางเพศ" แต่จริงๆแล้ว ราคะและกามราคะจะมีความหมายที่กินวงกว้างกว่านั้น
#ราคะ
ไม่ว่าจะเป็นการหลงใหลในความงดงามของใบหน้าและทรวดทรงอันสวยงาม ความชื่นชอบในความงาม ชื่นชอบความหรูหรา ชื่นชอบความเท่-โก้ อยากได้ผิวที่เนียนใส อยากได้ลูกสาวลูกชายที่หน้าตาน่ารัก อยากได้ผัว-เมียสวยหล่อและรวย อยากได้บ้านสวย รถหรู เครื่องประดับเลอค่า สิ่งของ ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือราคะทั้งสิ้น ความรู้สึกอยากได้ใคร่เสพสุขทั้งหมดนี้ที่เกิดในใจของเราจะเรียกกันว่า "ราคะจริต"
#กามราคะ
ราคะจะทำหน้าที่เป็นเครื่องปรุงกิเลส เหมือนพริกน้ำปลาที่เอาไว้ใส่ในอาหารตามสั่ง เช่น มีความโลภอยู่ก่อนแล้ว คือ ความอยากได้ใคร่ดี พอเอาราคะเข้าไปปรุงแต่งเติมรส ก็จะทำให้ความโลภหรือโล-ภะนั้นรสจัด เราจึงหาทางไปช่วงชิงของของคนอื่นมาเป็นของตนเพราะอยากได้มาเป็นเจ้าของเพื่อเสพ อาทิเช่น ไปเที่ยววังของกษัตริย์อาหรับแล้วเห็นเพชรสีสวย อยากได้มาครอง เลยว่าจ้างคนสนิทของกษัตริย์อาหรับให้ไปทุบตู้เพชรแล้วขโมยขึ้นเครื่องบินกลับประเทศมาด้วย ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความโลภที่ถูกราคะปรุงจนไม่เหลือความดีอีกต่อไป
#ตัณหา #ภวตัณหา #กาม #โลภ
ดังนั้น ถ้าเอาพลังงานราคะไปปรุงกับกิเลสตัวไหน กิเลสตัวนั้นก็จะแข็งแกร่งขึ้นและควบคุมเราให้กระทำในสิ่งชั่วร้ายต่างๆได้ทันที
กิเลสในตระกูลโล-ภะ จะมีตัวเดินเครื่อง หรือพวงมาลัย หรือพังงา ตามแต่จะนิยาม ซึ่งก็คือตัณหานั่นเอง ตัณหามีสองชนิดคือ ตัณหาแบบอยาก,ชอบ และตัณหาแบบไม่อยาก,ไม่ชอบ ซึ่งราคะจะถูกควบคุมด้วยตัณหาประเภทที่อยากและชอบ ตัณหาชนิดนี้มีชื่อเป็นภาษาปาลีว่า "ภวะตัณหา"
เมื่อมีความอยากหรือความชอบ โดยสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตจะทำให้สัตว์โลกดำเนินไปตามเสียงเรียกของตัณหาอันเป็นผู้ผลิตกามราคะนั่นเอง ดังนั้น เมื่อราคะปรุงไปกับอนุสัยกิเลสของชนใด ชนนั้นก็จะดำเนินไปตามถนนราคะในแบบของตนเอง
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ราคะเป็นโล-ภะตระกูลหนึ่ง เรียกกันในภาษาธรรมว่าราคะโลภเจตสิก เป็นโลภเจตสิกที่จัดอยู่ในกลุ่มสีเทา ไม่ขาว ไม่ดำ ไม่บวก ไม่ลบ แต่จะเลวหรือดีก็ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานโดยเจ้าของจิตผู้เก็บงำราคะไว้ภายใน
ราคะจึงมีสถานภาพเป็นธัมมา หรือเป็นธรรมชาติระดับสูงละเอียดอีกชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับจักรวาลและพลังงานโลกธาตุสัมพัทธภาพอื่นๆ ดังนั้นถ้าถามว่ากามราคะหรือราคะเป็นบาปมหันต์จนต้องกำจัดทิ้งให้สิ้นเลยหรือไม่ จึงขอตอบตรงนี้เลยว่าไม่ใช่ ราคะไม่ได้เป็นบาปมหันต์จนต้องกำจัดทิ้งให้สิ้น แต่สามารถบริหารให้อยู่กับร่องกับรอย อยู่ในกรอบในเกณฑ์อันปรกติสุขแห่งโลกได้
และหากฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณ ผ่านกาลเวลาและความพร้อม ผ่านการสั่งสมสุตะและเจริญสติปัฏฐานต่างๆ ในท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่การกำจัดอาสวะแห่งกิเลสไปได้จนหมดสิ้นจริง
แต่ตราบใดที่เรายังไม่ใช่อนาคามีหรืออรหันต์ เราก็ยังไม่สามารถจะดับราคะหรือกามราคะลงได้ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามอยู่กับมัน แต่อยู่อย่างไรให้เป็นธรรมะ นั่นแหละคือกุญแจสำคัญในการสร้างภูมิธรรมของเราให้ไม่ไปสู่เบื้องสภาวะทุกขัง
ยกตัวอย่าง เราอยู่กับคนรักแต่จะข่มตัวเองให้ไม่มีราคะอย่างนี้ได้มั้ย เพื่อจะไม่ร่วมรักกับคนรัก ศีลจะได้บริสุทธิ์จัด ขอตอบว่า-ไม่ได้ เราอยู่ในมนุษยภูมิจะบอกว่าไม่มีราคะไม่ได้ แต่ราคะของเรา เราจะเอาไปปรุงกับอะไรก็เลือกเอา สมมติว่าเราเอาสัมมาไปให้ราคะปรุงรส ก็กลายเป็นรสราคะแบบสัมมา (แบบถูกต้อง) หมายถึงกามราคะที่เบียดเบียนอย่างพอควร แต่ถ้าเราเอามิจฉาไปปรุงด้วยราคะ คือ โลภมาก ตัวมิจฉาก็คือเบียดเบียนอย่างโลภมาก,ละโมบ ไม่รู้จักพอ เราก็จะไม่ได้เอาแค่คนรักของเรา แต่เที่ยวได้เสียกับเขาไปทั่ว ก็ตายสู่ทุคติ
กรรมที่เกิดจากราคะ คือ กรรมที่ได้เสวยผลวิบากกรรมเกี่ยวกับคู่ครอง แฟน สามี ภรรยา การนอกใจ ชู้ ค้าประเวณี ถูกขืนใจ ถูกกระทำวิปริตวิตถารหรือถูกทารุณกรรมทางเพศ เป็นต้น ซึ่งนำมาสู่ความทุกข์ทรมาน-ร้อนใจและกาย ครอบครัวมีปัญหา หนีสังคม หนีโลก สภาพจิตมีปัญหา ซึ่งผู้ที่ได้รับวิบากกรรมจากราคะนี้ เกิดจากอดีตเคยก่อวิบากกรรม ๓ ประเภทอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
๑. อดีตเคยถูกกระทำ ปัจจุบันจึงสำส่อน ได้เสียกับคนอื่น เป็นชู้กับคนอื่น มีน้อยมีหลวง เป็นต้น เพื่อแก้แค้นคืน นี่คือ ตัวพยาบาทแสดงออกทางราคะ
๒. อดีตเคยกระทำเขา ปัจจุบันเขาทำคืน ตนเองจึงต้องเสวยกรรมวิบาก ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ถูกทารุณกรรมทางเพศ หรืออาจถูกข่มขืน มีเรื่องทุกข์ร้อนใจเกี่ยวกับสามีคู่ครองอยู่เรื่อย
๓. กรรมปัจจุบัน คือ โดนยัดเยียด ยั่วยุ โดนกระตุ้น โดนบีบคั้น จำต้องรับพลังงานที่ไม่ดี-พลังลบ จึงก่อกรรมทางราคะ เช่น ต้องทำอาชีพขายตัว แอบค้ากาม ต้องเข้าไปในวงจรอุบาทว์ของอบายมุขและอโคจร (กรรมในข้อนี้ก็มีวิบากที่เคยทำมาอยู่ แต่เป็นเพียงเหตุปัจจัยร่วมเท่านั้น)
ตรงข้ามกับราคะคือ วิราคะ เป็นไวพจน์หนึ่งของคำว่านิพพาน ด้านตรงข้ามของนิพพานก็คือราคะ เรายังอยู่ในภพภูมินี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะละราคะได้ ขนาดก่อนเราจะเกิดมา พ่อกับแม่เราก็ต้องใช้ราคะเพื่อร่วมเพศและสร้างทายาทออกมา แต่คนชอบเอาไปรวมความไว้ว่าเราต้องละทิ้งราคะ ถ้าไม่ละทิ้งจะบาปจะชั่วจะเป็นคนเลว คนทั่วไปก็เลยสับสนว่าเป็นไปได้ยังไง ฉันทำไม่ได้หรอก นี่ฉันเป็นคนชั่วไปแล้ว โอ๊ย ฉันคงจะต้องตายไปตกนรก แบบนี้โลกนี้คงว้าวุ่นรุ่มร้อนทรวงใน ถ้ามีแต่ความสับสนแบบนี้ วัฏจักรกระแสโลกก็คงจะหยุดหมุนไปเลย
ตราบใดที่เรายังไม่เข้าสู่นิพพาน เราจึงจำต้องเบียดเบียนตลอด ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ หากเราไม่เบียดเบียน เราจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตั้งแต่เราเกิดมาเราก็ต้องเบียดเบียนส่ำสัตว์แล้ว ลองคิดตามบทความนี้ง่ายๆดูว่า ตั้งแต่ปฏิสนธิตัวเราอยู่ในท้องแม่ เรากินสารอาหารของแม่ เราไม่เบียดเบียนใช่ไหม? แม่มีสภาวะยากลำบากในการดำรงชีวิตเพราะต้องอุ้มท้องเรา มันคือการเบียดเบียนหรือไม่? แม่ต้องไปสรรหาเนื้อสัตว์มาให้เรากินมั้ย? แม่ต้องกินเนื้อสัตว์ลงไปถึงจะมาเปลี่ยนเป็นสารอาหารให้เรา แล้วนี่เป็นการเบียดเบียนมั้ย?
ตราบใดที่เรายังดำรงอยู่ และเรารู้อยู่แก่ใจเราว่ามีสัตว์ถูกฆ่ามาเป็นอาหารเพื่อเราอยู่ทุกวัน แถมเรายังยินดีที่จะไปซื้อเนื้อสัตว์นั้น เราจึงไม่อาจพูดได้เลยว่าเราไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น เพราะเราก็รู้อยู่ชัดเจนว่ามีโรงฆ่าสัตว์ และสัตว์ที่ตายก็เพื่อเราๆท่านๆทุกคน ให้ไปซื้อกันมาประกอบอาหารการกิน แค่นี้ก็เบียดเบียนด้วยโล-ภะแล้ว เพราะปรารถนาชีวิตสัตว์อื่นมาสนองความอร่อยของรสโผฏฐัพพะ(รสสัมผัสทางลิ้น)
โล-ภะจึงจัดแบ่งได้เป็นโลภะด้านมืด โล-ภะด้านเทา และโล-ภะด้านสว่าง โล-ภะด้านมืดก็ได้แก่ อาฆาต พยาบาท จองเวร อยากให้เขาวินาศสันตะโร อยากให้เขาถึงคราววิบัติฉิบหาย หรือ-อยากให้เขาตายโหงตายห่า ถือเป็นโล-ภะแห่งอกุศล เป็นตัวนำพาให้เราสามารถก่ออกุศลกรรมชนิดร้ายแรงได้ ส่วนโล-ภะด้านเทา อาทิเช่น กามราคะ รูปราคะ ตัณหาราคะ อรูปราคะ นันทิ ในพุทธศาสนาจะถือว่าเป็นโล-ภะหรือโลภเจตสิกตระกูลเดียวกัน คือเป็นโลภที่ให้ผลเบาแต่กำจัดทิ้งได้ยาก เช่น ความต้องการทางเพศ ความรักสนุก เจ้าสำอาง มีฤทธิ์ร้อนดั่งไฟบนผิวโลก
โล-ภะด้านสว่าง ได้แก่ ฉันทะ พากเพียร ปราโมทย์ ปรีดา อธิบายรวมๆก็คือความยินดีที่จะได้รับมาซึ่งสิ่งดีงาม เช่น ความอยากให้ลูกได้ดี อยากให้แม่หายป่วย อยากให้แมวและหมาที่เราเลี้ยงมีความสุข อยากไปช่วยเขาล้างป่าช้า อยากไปบริจาคทานที่มูลนิธิเด็กติดเชื้อเอชไอวี อยากไปปฏิบัติธรรม อยากไปตักบาตร อยากไปฟังธรรมเทศนา อยากบรรลุธรรม และแม้แต่อยากบรรลุพระสัมโพธิญาณเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า ก็ถือว่าเป็นโล-ภะด้านสว่าง หรือจะเรียกว่ากิเลสด้านสว่างก็ได้
ทุกฝ่ายที่เกิดมาในโลกธรรม(โลกธาตุ) หรือในภพภูมิต่างๆ กฎแห่งกรรม(กฎแห่งการสะท้อนเชิงบูรณาการ)เขาจะจัดสรรค์ให้ว่า มีวิบากอะไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น เช่น ไก่ตัวนี้ทำไมต้องเกิดมาเป็นไก่ เพราะไก่มีวิบาก แต่เราเอาโล-ภะไปใส่มั้ย สุดท้ายพอไก่ถูกโล-ภะของเราไปเกาะกุม เราก็เชื่อว่าเราต้องกินเนื้อไก่เพราะอร่อย เพราะมีประโยชน์ ต้องกินเนื้อหมูเพราะเนื้อเยอะ รสชาติดี ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่เกิดจากการปรุงแต่งของโล-ภะจากมวลมนุษย์นั่นเอง!
มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้จักเธออยากจะบรรลุธรรม เทียวเข้าเทียวออกสถานปฏิบัติภาวนาจนเพื่อนๆให้ฉายาว่านักธุรกิจสายธัมมะธัมโม กล่าวคือมีฉันทะที่ดี เธอเป็นถึงเจ้าของห้างขายเฟอร์นิเจอร์ ทีนี้พอมีคนมาซื้อโต๊ะ แต่ราคาติดไว้ 500 บาท ลูกค้าต่อ 400 บาท เธอบอกว่าอย่างนี้ไม่ได้มันขาดทุน แต่ที่จริงแล้ว ทุนแค่ 350 บาท แล้วจะขาดทุนตรงไหน นี่แหละ เธอไปโกหกเขาแล้ว เท่ากับทำบาป(อกุศล)ไปแล้วเรียบร้อย หลอกเขาเพราะมีราคะมากเกินไปไม่อยู่ในธรรม (ราคะคือความอยากได้เงินมากกว่าการกลัวบาปกรรมจากการโกหกนั่นเอง)
สังเกตได้ว่าผู้อยากบรรลุธรรมหลายคนในยุคนี้มักเป็นกันแบบนี้ แล้วจะเอาอะไรมาบรรลุธรรมได้ล่ะครับ อันที่จริงแล้วการมีฉันทะดีที่จะบรรลุธรรมนั้นไม่ผิดเลย แต่ภูมิเราอยู่ตรงไหน เราก็ต้องทำภูมิของเราให้สมดุลให้ได้ก่อน เจ้าของห้างเฟอร์นิเจอร์ไม่รู้ภูมิธรรมของตัวเองแล้วอยู่ดีดี จะสละละวางกิเลส-โล-ภะให้หมดสิ้น เพราะสุดท้ายก็โลภเหมือนเดิม คนบางคนตั้งตนเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ตื่นรู้ อ้างว่าใจเบิกบานแล้ว แต่สุดท้ายกลับเอาตรงนั้นมาหลอกล่อผู้คนที่อยากตื่นรู้โดยการเปิดคอร์สอบรมพัฒนาด้านจิตวิญญาณ ราคาหลักหลายพัน
ดังนั้น หากเราตั้งจิตที่จะบรรลุธรรมจริง เราจะมีอาการดังต่อไปนี้คือ ไม่อยากได้ใคร่ดี ไม่อยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นโดยไม่สุจริตซื่อตรง แต่สามารถมีกามราคะได้ หากกามราคะนั้นไม่เป็นไปโดยทำให้ผู้อื่นทุกข์ แม้แต่พระอริยบุคคลขั้นต่ำอย่างโสดาบันและสกิทาคามีก็ยังมีอารมณ์ทางเพศ แต่สังเกตง่ายๆว่าเขาจะไม่สำส่อน มีคู่นอนแบบรักเดียวใจเดียว หรือไม่ก็จะทำทุกวิถีทางให้การเสพกามของตัวเองไม่ผิดศีล แม้ว่าจะยังมีกามราคะ รูปราคะหรืออรูปราคะ และมีความเพลิดเพลินในราคะจริตอยู่ก็ตาม แต่เขาจะประคองให้ตัวเองไม่ชั่วร้ายเพราะกาม
เพราะราคะนั้นก็ยังมีประโยชน์ในการนำพาโลกไปในทางเจริญหูเจริญตาเจริญใจเจริญกาย เช่น บ้านเมืองที่สวยสดงดงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้คนที่ดูสะอาดสะอ้านผมเผ้าหน้าตาดีมีราศี ศิลปะต่างๆมากมายทั้งจิตรกรรม วาทะศิลป์ วรรณศิลป์ ศิลปะการแสดง การดนตรี สถาปัตยกรรม ฯลฯ ราคะหากถูกใช้อย่างเหมาะสมก็จะสร้างสมดุลให้โลกใบนี้ยังดูเจริญหูเจริญตาอยู่ แต่ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
เพราะการหลุดพ้นจากสังสารวัฏจะต้องตัดขาดกิเลสสังโยชน์ทั้งหมดให้สูญสิ้น ตราบใดที่ภูมิจิตภูมิธรรมเรายังไม่ถึง ก็อย่าเพิ่งตั้งปณิธานจนเกินกำลัง ให้หมั่นสั่งสมสุตะให้เพียงพอก่อน แล้วค่อยพิจารณาตนเองว่าธรรมชาติของจิตตัวเองเข้าถึงความพร้อมที่จะเจริญภาวนาแล้วหรือไม่ เพราะสภาวะดวงตาเห็นธรรมจะเกิดขึ้นทีละขั้น ทีละลำดับ จากการวิริยะอุตสาหะสั่งสมสุตะ(ที่ไม่ใช่แค่การท่องจำไปแบบทื่อๆ แต่ต้องเป็นการศึกษาให้ลึก-อ่าน-ฟัง-จับใจความ-คิดตาม-วิเคราะห์-พิจารณาให้ชัด-ก่อนทดลองปฏิบัติจริง)
เมื่อเจริญสติขึ้นมาได้แล้ว ภาวนามัยก็จะตามมาเป็นกำลังหนุนส่งให้ก้าวพ้นสภาวะธรรมแบบปุถุชนได้ง่ายยิ่งขึ้น และก้าวไปสู่สภาวะธรรมแบบอริยะชนได้ตามลำดับ สถานภาพดังกล่าวนั้นจะเกิดขึ้นเองโดยลำดับตามธรรมชาติ ไม่ใช่มาจากการคิดเองเออเอง สรุปเองหรือสั่งจิตเอา เพราะจิตนั้นมันสั่งไม่ได้ จิตมันจะไหลไปของมันเรื่อย การจะละวางในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้เราไปเอามันออก แต่มันหมายถึงการกระตุ้นจนเกิดปฏิกิริยาทางจิต เป็นสภาวะหนึ่งเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปแล้วไม่สามารถหดกลับได้ สภาวะธรรมนี้เป็นธรรมชาติ
คือ บทจะเป็นก็เป็นเอง ไม่สามารถสั่งให้เป็นได้ หรือยกเลิกมันได้ อันนี้เป็นธรรมชาติระดับสูงละเอียดที่พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้าของเราทรงค้นพบว่าสภาวะนี้สามารถเป็นไปได้กับมนุษย์ ซึ่งจะแตกต่างเป็นอย่างมากกับปรัชญาของศาสนาพุทธแบบมหายาน ที่เชื่อว่าพระโพธิสัตว์เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของมนุษย์โลก ได้รับพระบัญชาจากพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว แต่ยั้งไว้ก่อน ยังไม่ไปนิพพานเพื่อรอช่วยเหลือสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดให้หมดก่อน
และยังสามารถบรรลุธรรมในสภาวะกายละเอียดบนแดนทิพย์พุทธเกษตรของพระอามิตาภะพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าองค์อื่น แต่โดยรวมแล้ว กุศโลบายของมหายานหรือโพธิสัตตะยานก็เป็นไปเพื่อประโยชน์เดียวกันกับเถรวาทหรือสาวกยาน นั่นก็คือ มุ่งหมายให้ทุกผู้ทุกนามไปสู่สุคติ-โลกสวรรค์ และหลุดพ้นจากสังสารวัฏในท้ายสุดนั่นเอง
#พระพุทธศาสนา
สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชนนั้นการจะเห็นโทษของกามราคะได้-เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก หากไม่ใช่ด้วยปัญญาที่เห็นโทษของโล-ภะในชีวิตประจำวัน ก็ไม่สามารถจะไประงับ บังคับ ควบคุม ไม่ให้โล-ภะตระกูลราคะเกิดได้เลย ทุกคนมีจิตเห็น แล้ววันหนึ่งๆ ก็เห็นในสิ่งต่างๆ กันไม่เหมือนกัน บางคนเห็นสิ่งที่น่าใคร่ บางคนเห็นสิ่งที่ไม่น่าใคร่ ไม่มีใครบังคับไม่ให้เห็นได้ เพราะมีปัจจัยให้ต้องเห็นด้วยผลของกรรม
โสดาบันก็ยังมีกิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะ บางท่านเป็นโสดาบันไปแล้วแต่ไม่รู้ตัวก็มี แต่โสดาบันท่านจะไม่เดือดร้อนใจว่ายังมีตัวท่าน หรือเป็นตัวท่านที่แพ้-ชนะกิเลส แต่ปัญญาที่เกิดกับจิตของโสดาบันจะรับรองกิเลสตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ตัวท่านและไม่ใช่ของท่าน ที่ต้องเกิดเพราะยังมีอนุสัย (ปัจจัยด้านนิสัย) อยู่ ซึ่งจะต้องเป็นกิจของโลกุตตราปัญญาที่จะต้องดับจนเป็นสมุจเฉท (ความไร้สิ่งใด) ตามขั้นของโลกุตตระมรรคที่ได้บรรลุครับ
#นิพพาน #โสดาบัน #อริยบุคคล
เพราะฉะนั้น ขอให้ฟังธรรมและเจริญปัญญาต่อไปให้ค่อยๆ มั่นคงในธรรมะจนกระจ่างแจ้งแทงตลอดถึงธรรมชาติระดับสูงแท้ละเอียดต่อไปตราบเท่าเข้าสู่ถนนของโสดาบันผลครับ เพราะใครก็ตามที่ได้สถานภาพแห่งโสดาบันแล้ว ก็จะเวียนว่ายตายเกิดอีกเพียงไม่เกิน ๗ ชาติเท่านั้น และใน ๗ ชาตินั้น จะไม่เกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ในตระกูลสูงและมีศีลธรรมเป็นอันขาด ที่สำคัญ จะได้กลับมาเกิดอยู่ในบวรพุทธศาสนาในทุกชาติ และไม่ต้องไปเกิดในทุคติอีกเลย ต่อให้มีกรรม ก็จะได้มาชดใช้ในชาติที่เป็นมนุษย์เท่านั้น ไม่มีทางลงนรกหรืออบายภูมิอื่นแล้ว
แอดมินวิรุฬหก แห่งเฟซบุ๊คเพจ "ธรรมะแฟนตาซี"
โฆษณา