Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
5 มิ.ย. 2024 เวลา 02:36 • กีฬา
ทำไมเรอัล มาดริดได้แชมป์ยุโรปแบบง่ายดาย และจะได้แชมป์ต่อไปอีกไม่หยุดด้วย
ทีมสุดท้ายที่เอาชนะเรอัล มาดริด ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คือลิเวอร์พูล ในปี 1981 ยุคของบ๊อบ เพสลีย์ ซึ่ง ณ เวลานั้นยังใช้ชื่อยูโรเปี้ยนคัพอยู่เลย
จากนั้นมา 43 ปี เข้าชิงมา 9 ครั้ง เรอัล มาดริดได้แชมป์ทุกครั้งแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เคยมีใครโค่นพวกเขาได้อีกเลย
1
ราชันแห่งยุโรป สุดยอดทีมในยูโรเปี้ยนคัพ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่โชคช่วย แต่มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เรอัล มาดริด ชนะในเกมสำคัญได้เสมอ มันเป็นคาแรคเตอร์ที่ปลูกฝังเข้าไปในจิตวิญญาณของสโมสร
1
ฟลอเรนติโน่ เปเรซ เคยบอกว่า การเจรจาซื้อนักเตะบิ๊กเนมมาสู่ทีม ไม่ใช่เรื่องที่ทำยากเลย แค่บอกว่า "ถ้าคุณอยากได้บัลลงดอร์ จงย้ายมาเรอัล มาดริด" แค่นั้นก็ดึงดูดให้ผู้เล่นอยากเปลี่ยนมาใส่เสื้อสีขาวแล้ว
1
สิ่งที่เปเรซพูดเป็นความจริง เพราะถ้าอยู่เรอัล มาดริด คุณจะได้ลุ้นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และมีโอกาสดีมาก ที่จะคว้าบัลลงดอร์ในแต่ละปี
เรอัล มาดริด เจอกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในรอบชิงชนะเลิศ ผมอยู่ในสนามด้วย และเห็นชัดเจนเลยว่า ดอร์ทมุนด์วางแผนมาได้ดีมากในครึ่งแรก พวกเขาใช้ความสามารถของปีกซ้าย คาริม อเดเยมี่ หาช่องทะลุทะลวง ส่วนเจดอน ซานโช่ ฝั่งขวาก็ใช้เทคนิคเลี้ยงกินตัว
1
ตอนที่ยังเรี่ยวแรงเหลือเยอะ ดอร์ทมุนด์เล่นได้ดี กดดันจนกองหลังของเรอัล มาดริด เล่นหลุดเล่นพลาดไปเหมือนกัน
แต่เพียงอย่างเดียวที่พวกเขาทำไม่ได้ คือประตู ดอร์ทมุนด์ไม่คมพอ อเดเยมี่หลุดเดี่ยว แต่แทนที่จะยิงสวนตัวนายทวารทันที กลับเลือกเลี้ยงหลบจนโดนกูร์ตัวส์ บีบมุม ไม่สามารถหาช่องยิงเน้นๆ ได้
นิคลาส ฟูลครูกก์ ได้โอกาสยิงแต่ไปชนเสา รวมถึงยูเลียน บรันด์ ก็ยิงออก คือดอร์ทมุนด์ได้ยิงเยอะ แต่จบไม่ลง คือเล่นกับทีมอย่างเรอัล มาดริด ถ้ามีโอกาสแล้วคุณทำไม่ได้ ก็เตรียมใจได้เลยว่าโดนแน่
เหมือนนัดชิงที่ปารีส ปี 2022 ลิเวอร์พูลบุกหนัก ได้โอกาสยิงเป็นสิบๆ หน มีชนเสาบ้าง โดนเซฟบ้าง แต่เจาะไม่ได้สักที เรอัล มาดริด ขอจังหวะเน้นๆ แค่ดอกเดียวเท่านั้นพอ ซึ่งเกมนั้นจบลงที่มาดริดชนะ 1-0
เกมนี้ก็ไม่ต่างกัน ดอร์ทมุนด์วางแท็กติกได้ดีแล้ว แต่เมื่อทำไม่ได้ ตัวเองจึงยิ่งกดดันเรื่อยๆ
2
เข้าสู่ครึ่งหลังที่เวมบลีย์ กองกลางของดอร์ทมุนด์ ดูรู้เลยว่าหมดแรง เกมของมาดริดยิ่งเล่นจึงยิ่งข่ม โทนี่ โครส, เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า และ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ครองเกมในแผงมิดฟิลด์ได้อย่างสมบูรณ์
1
ราฟาเอล เบนิเตซ บอกไว้ว่า ในวันที่เกมสูสี สิ่งที่จะเป็นจุดชี้ขาดคือเซ็ตพีซ เรอัล มาดริด นำ 1-0 จากจังหวะเตะมุม โทนี่ โครส คนที่วางบอลยาวได้แม่นที่สุดในโลก เปิดบอลมาที่เสาแรก ดอร์ทมุนด์พยายามประกบตัว แต่ไม่ได้ระวัง คนที่เตี้ยที่สุดในทีมเรอัล มาดริด นั่นคือ ดานี่ คาร์บาฆาล (173 ซม.) ที่กระโดดเทกตัวโหม่งเข้าประตูไปเลย
2
ผมเห็นก่อนหน้านี้ ตอนเตะมุมมาดริดพยายามเปิดบอลให้คนตัวใหญ่ แต่ดอร์ทมุนด์เคลียร์ทิ้งได้หมด แต่มาคราวนี้ เจอทริกใหม่ และเป็นช็อตที่คาดไม่ถึง คนตัวเตี้ยสุดในสนามทำประตูได้จากลูกโหม่ง เรอัล มาดริด นำ 1-0
พอสกอร์ขึ้นนำแบบนี้ ทุกอย่างก็ง่ายไปหมด ดอร์ทมุนด์ยิ่งเล่นยิ่งลนลาน นาทีที่ 83 เอียน มาตต์เซ่น แบ็กซ้ายของทีมจ่ายบอลพลาด โดนจู๊ด เบลลิงแฮมฉกบอลได้ ก่อนแทงต่อให้วินิซิอุส จูเนียร์ ยิงผ่านนายทวารเข้าไป
สกอร์ 2-0 เกมก็ปิดฉากอย่างเป็นทางการ คุณไม่มีทางคัมแบ็กมาได้อยู่แล้ว เรอัล มาดริดไม่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
ดอร์ทมุนด์พ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บใจ พวกเขามีโอกาสแท้ๆ แต่เก็บไม่ได้ ส่วนเรอัล มาดริดก็ใช้ความเก๋า เล่นไปตามจังหวะ และเข้าป้ายได้ตามคาด
นี่คือแชมป์สมัยที่ 15 ของทีมราชันชุดขาว นี่เป็นสถิติที่น่าเหลือเชื่อมาก คือถ้าถามว่าเยอะขนาดไหน
- ทีมจากอังกฤษทั้งหมด ได้แชมป์รวมกัน 15 ครั้ง
- ทีมจากอิตาลีทั้งหมด ได้แชมป์รวมกัน 12 ครั้ง
- ทีมจากเยอรมนีทั้งหมด ได้แชมป์รวมกัน 8 ครั้ง
สิ่งที่สโมสรอื่นกว่าจะทำได้สักครั้ง เป็นเรื่องแสนสาหัสมาก เวลาทีมไหนก็ตามได้แชมป์ยุโรปหนึ่งที กลายเป็นเรื่องเล่าขานไปอีกแสนนาน แต่เรอัล มาดริด ทำได้ซ้ำๆ จนทุกอย่างดูเหมือนง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติมาก
เรื่องที่พิเศษของเรอัล มาดริด ในถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกคือไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ยากแค่ไหน พวกเขาคัมแบ็กกลับมาได้เสมอ
หากใครจำฤดูกาล 2021-22 รอบรองชนะเลิศได้ แมนฯ ซิตี้ จะเข้ารอบอยู่แล้ว แต่มาโดนโรดริโก้ ยิงในนาที 90 กับ 90+1 ยื้อไปทดเวลา ก่อนจะเอาชนะได้ในนาที 95 จากคาริม เบนเซม่า
หรือในฤดูกาลนี้ รอบรองชนะเลิศ เจอบาเยิร์น มิวนิค ทีมจะตกรอบอยู่แล้ว แต่ได้ตัวสำรองโฆเซลู ยิงนาที 88 กับ 90+1 พลิกเข้ารอบชิงไปเฉยเลย
ยังไงเรอัล มาดริดก็ไม่ยอมตายเสียที เรื่องนี้คาร์โล อันเชล็อตติ เฮดโค้ชของทีมอธิบายว่า "มันยากที่จะอธิบายนะ ผมคิดว่ามันคือรากเหง้าของสโมสรที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน นักเตะทุกคนต้องรู้สึกว่าการเล่นให้เรอัล มาดริด มันเป็นเกียรติขนาดไหน และเราจะมายอมแพ้ง่ายๆ ตรงนี้ไม่ได้"
1
DNA ของเรอัล มาดริด คือ "สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" รุ่นพี่ในแต่ละเจเนเรชั่นสร้างความยิ่งใหญ่เอาไว้ รุ่นแล้วรุ่นเล่า ดังนั้นผู้เล่นแต่ละคน จะรู้โดยอัตโนมัติว่า จะทำให้สโมสรเสียชื่อไม่ได้เด็ดขาด จะมาล้มเหลวในเจเนเรชั่นของตัวเองไม่ได้ ทุกคนจึงตั้งใจเล่น และอยากจะคว้าแชมป์ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
ถ้าถามแบบรวบรัด ว่าทำไมเรอัล มาดริด ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลนี้ คำตอบ มี 3 ข้อ นั่นคือ คุณภาพของผู้เล่น, ความสามารถของโค้ช และ การวางแผนของผู้บริหาร
1
เรื่องคุณภาพของผู้เล่น เราเห็นได้ด้วยตาเปล่า ว่าเรอัล มาดริด ทรงพลังมาก นักเตะอย่างวินิซิอุส, เบลลิ่งแฮม, โครส, บัลเบร์เด้ และ กูร์ตัวส์ เล่นอยู่ในทีมเดียวกัน แต่ละคนคือเวิลด์คลาสทั้งหมด แม้แต่สำรองยังมีลูก้า โมดริช รอสแตนด์บายอยู่
เรื่องเฮดโค้ช อันเชล็อตติก็แข็งแกร่งมาก พลิกแพลงสถานการณ์ได้ดีเสมอ ที่สำคัญที่สุด เขานิ่งและเยือกเย็นมาก โดยอันเช่ เคยอธิบายว่ากว่าเขาจะมาเป็นแบบนี้ได้ก็ไม่ง่าย
อันเช่เล่าว่า "ผมเคยมีเรื่องจมดิ่งสุดๆ กับถ้วยยุโรป ผมไม่มีวันลืมความพ่ายแพ้ ในสมัยเป็นนักเตะ ตอนผมอยู่โรม่าแล้วแพ้ลิเวอร์พูล ในปี 1984 และผมก็ไม่มีวันลืม สมัยเป็นโค้ชที่คุมมิลาน แล้วแพ้ลิเวอร์พูลในปี 2005" ความหมายคือ เมื่อคุณเคยเจอจุดที่แย่สุดๆ มาแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้หมด
และเรื่องที่สาม คือการวางแผนของผู้บริหาร ที่ไม่ได้คิดแค่วันนี้ แต่วางแผนระยะยาวไว้หมดแล้ว
อันเชล็อตติ อธิบายว่า "วันที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ย้ายออกไปจากทีม เราเข้าสู่ช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลง แผนของเราคือไปซื้อนักเตะดาวรุ่งที่เก่งที่สุด เช่น วินิซิอุส, โรดรีโก้, บัลเบร์เด้, ชูอาเมนี่, คามาวิงก้า และปีนี้เราก็ซื้อเบลลิงแฮม เราเอานักเตะเหล่านี้ มาอยู่กับทีม มาเรียนรู้กับรุ่นพี่ที่มีฝีเท้าระดับโลก เช่นโมดริช หรือ โครส ให้เด็กๆ ได้เห็นและรู้ว่า คนที่ไปถึงจุดสูงสุด เขามีทัศนคติอย่างไร"
ตัวอย่างเช่น ตอนเรอัล มาดริดได้แชมป์เมื่อคืนนี้ที่เวมบลีย์ จู๊ด เบลลิงแฮม กำลังดีใจ แต่พอไปคุยกับรุ่นพี่คนอื่นๆ ในทีม เช่น ดานี่ คาร์บาฆาล หรือ ลูก้า โมดริช ที่ได้แชมป์ยุโรปมา 6 สมัย ทั้งสองคนบอกว่า ดีใจได้หนึ่งวัน แล้วพรุ่งนี้ก็กลับไปซ้อมต่อ เพื่อเป้าหมายคือแชมป์สมัยที่ 7 ทำให้เบลลิงแฮมเข้าใจว่า คนที่จะเป็นแชมเปี้ยนผู้ยิ่งใหญ่ได้ ต้องเดินหน้าลุยอยู่ตลอด และไม่พอใจแค่วันนี้เท่านั้น
1
แผนการเอาดาวรุ่งที่เก่งกาจ มาผสมกับรุ่นพี่ระดับท็อป ให้แลกเปลี่ยนแนวคิด ช่วยกันพัฒนาให้แต่ละคนเก่งขึ้น ทำให้เรอัล มาดริด ได้เคยดร็อปลงไปเลย โครงสร้างของทีมยังแข็งแกร่งอยู่เสมอ
แล้วพอดาวรุ่งที่ซื้อมาอายุมากขึ้น ก็ซื้อตัวใหม่เข้ามาอีก วนเป็นลูปอยู่แบบนั้น
ตัวอย่างเช่น "เอ็นดริค" อัจฉริยะแห่งสโมสรพัลไมรัส ที่เป็นดาวรุ่งที่เก่งที่สุดในโลกตอนนี้ เรอัล มาดริด จ่ายเงินล่วงหน้า ซื้อตัวตั้งแต่เขาอายุ 15 ปี ด้วยราคา 60 ล้านยูโร แล้วปล่อยให้พัลไมรัสยืมตัวไปก่อน แล้วพอเอ็นดริค อายุ 18 ปั๊บ เซ็นสัญญาอาชีพกับทีมยุโรปได้ตามกฎหมายของบราซิล ก็ดึงมาอยู่ที่สเปนทันที
เรอัล มาดริดได้เงินมา ก็เอาไปลงทุนซื้อดาวรุ่งที่เก่งที่สุดในตลาด วิธีการนี้ ทำให้พวกเขาสร้างทีมที่แข็งแกร่งได้ตลอดเวลา โดยไม่ยึดติดอยู่กับทีมชุดเดียว
ด้วยองค์ประกอบทุกอย่างรวมกัน ทำให้เรอัล มาดริด แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นผู้ชนะในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกซีซั่นนี้
3
สำหรับในซีซั่นหน้า เรอัล มาดริด กำลังจะได้ตัวคีลียัน เอ็มบับเป้ หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลก มาเสริมทัพอีกคน คือลำพังที่มีอยู่ตอนนี้ก็สุดยอดแล้ว ถ้าได้เอ็มบัปเป้มาอีกคน คำถามคือทีมอื่นจะเอาอะไรไปสู้
บัลเบร์เด้ 25 ปี, ชูอาเมนี่ 24 ปี, วินิซิอุส 23 ปี, โรดริโก้ 23 ปี, คามาวิงก้า 21 ปี, เบลลิงแฮม 20 ปี, อาร์ด้า กูแลร์ 19 ปี, เอ็นดริค 17 ปี และ เอ็มบัปเป้ถ้าได้ตัวมาจริงๆ ก็เพิ่ง 25 ปี
มันหมายความว่าอาณาจักรความยิ่งใหญ่ของราชันชุดขาว ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น และแชมป์ยุโรปสมัยที่ 15 รับรองได้เลยว่า "ยังไม่พอ"
16 บันทึก
43
2
11
16
43
2
11
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย