[รีวิวอัลบั้ม] The Tortured Poets Department + The Anthology - Taylor Swift >>> ยังคงทรมาน
-ไม่มีใครปฏิเสธว่า Taylor Swift คือศิลปินป็อปเบอร์หนึ่งที่มีคาแรคเตอร์เป็นคนที่คลั่งรักหนักมาก เวลาเธอรักใครมาก เราก็จะได้ฟังเพลงรักเป็นอัลบั้ม เวลาที่เธอเลิกกับใคร เราก็จะได้ฟังเพลงอกหักเป็นอัลบั้มเช่นกัน เวลาแห่งความโชคดี(หรือโชคร้าย?) สำหรับแฟนเพลงก็บังเกิดขึ้นจนเป็น break up album จากแฟนเก่าแค่ไม่กี่คนอย่างที่เราได้ฟังในปีนี้
-ไดอารี่ประจำวันที่ผมพอซื้อได้บ้างก็มักจะอยู่ในช่วงครึ่งแรกเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่ The Tortured Poets Department จั่วไตเติ้ลรู้เป้าชัดไปเลยว่า ตัวละครหลักแฟนเก่าเธอคือใคร ไล่ตั้งแต่ชื่ออัลบั้มที่ล้อมาจากชื่อกรุ๊ปใน WhatsApp ของ Joe Alwyn กับเพื่อนของเขา ที่ใช้ชื่อว่า The Tortured Men Club แต่พอมาเป็นสาสน์ในไตเติ้ลแทร็คก็พุ่งเป้าไปที่ Matty Healy แห่ง The 1975 อย่างเฉพาะเจาะจง
-My Boy Only Breaks His Favorite Toys ก็เป็น anthem ที่เล่นพ้อยท์ได้ดีและตรงยุคในการเปรียบเปรยความรักความสัมพันธ์ในแง่วัตถุนิยมที่ไม่ได้เห็นค่าทางจิตใจอะไรมากมายนัก แค่ของสะสมที่เห่อมอยตอนแรกๆก็เท่านั้น Down Bad เหมือนแทร็คทดลองใส่อาร์แอนด์บี down tempo ที่ง่ายต่อการย่อยหน่อย พร้อมตกคนฟังสาย commercial pop ได้ทุกเมื่อ
-ยิ่งเป็นเพลง But Daddy I Love Him สวิฟตี้มีกรี๊ด เพราะนี่คือการกลับไปสู่คันทรี่ป็อปดั้งเดิมที่สุดแล้ว มีความสาวช่างฝัน จินตนาการคลั่งรักเกินเบอร์ แถมชื่อเพลงก็มาจากประโยคภาพจำจากการ์ตูน Little Mermaid ซึ่งเพลงนี้เองก็เปรียบเหมือน อีลูกช่างรั้นที่ยังจะดึงดันรักผู้ชายคนๆนี้ให้ได้ ซึ่งนั่นก็ตรงกับข่าวที่พ่อของเทย์เลอร์คัดค้านการคบกับ Matty Healy อีกด้วย
-So Long, London จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Joe Alwyn นี่เป็นภาคต่อ London Boy ที่มีจุดจบแบบใจสลายมากๆ จากความฟรุ้งฟริ้งสีชมพูเรนโบว์ กลายเป็นอารมณ์สีเทาแห่งความเหงาหงอยตรอมตรมใจ ภาคดนตรีมีเลเยอร์ซินธ์ป็อปบางๆที่ช่วยให้อารมณ์แห่งความ down มีมิติที่ไม่แบนราบจนจืดชืดเกินไป
-Guilty As Sin? มีกลิ่นความ soft rock นิดๆ แต่กลมกล่อมด้วยจังหวะจะโคนและ lyrics ที่ลงล็อค โดยเฉพาะท่อนฮุกช่วงท้ายที่ฮาร์โมนี่เสนาะหูยิ่งนัก มีการ reference ความเทสต์ดีของ Matty ที่ชอบวง The Blue Nile มากๆถึงขั้นส่งเพลงป้ายยาเธอเป็นตุเป็นตะ ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ Matty ก็เกิดขึ้นค่อนข้างเร็วหลังจากที่เพิ่งเลิกรากับ Joe Alwyn ได้ไม่นาน จึงเป็นที่มาแห่งความรู้สึกผิดบาปเช่นนี้
-ไม่ย้อนที่จะพูดถึงเพลงเปิดอัลบั้มอย่าง Fortnight ก็กะไรอยู่ เพราะนี่คือ the most anticipating track ที่ได้ร่วมงานกับ Post Malone เป็นครั้งแรกด้วย โดยก่อนหน้านั้นเทย์เลอร์ก็เรียกใช้บริการจาก Louis Bell โปรดิวซ์เซอร์คู่ใจของ Posty ในอัลบั้ม Lovers มาแล้ว ด้วยความที่ใช้โปรดิวซ์เซอร์เจ้าเดียวกัน บางเพลงใน Lovers ติดกลิ่นเพลงของ Post Malone ไม่มากก็น้อย แล้วในที่สุดพวกเขาก็วนเวียนมาเจอกัน ก็ต้องบอกว่า แอบผิดหวังนิดหน่อยครับ
-เมื่อเห็นเพลงที่มีฟีทเจอร์ในจักรวาลของเทย์เลอร์ อาจต้องเผื่อใจไว้หน่อยนะครับ ต้องสุ่มกาชาเอาว่า แขกรับเชิญคนไหนจะได้มี verse เต็มๆ ยังดีที่ Fortnight ไม่ทำให้ Posty อยู่ในสถานะพรายกระซิบแบบเดียวกับ Lana Del Rey ในเพลง Snow on The Beach แต่มาในรูปแบบ backup vocal แทน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมคิดเหมือนกันว่า การแปะชื่อ Post Malone เป็นฟีทเจอร์เป็นสิ่งที่ไม่สลักสำคัญมากนัก แน่นอนว่า Taylor เป็นเซนเตอร์ของท้องเรื่องอยู่แล้ว เพราะนี่คือเพลงที่เป็นเรื่องราวความรักส่วนตัวของเธอที่สามารถโซโล่เดี่ยวได้
-นั่นทำให้เกิดเพลงที่เปรียบเปรยหรือบ่นไปเรื่อยเกินความจำเป็นพอสมควร เฉกเช่น Flesh Out The Slammer ให้ตายเหอะ ป็อปสตาร์ที่ทำตัวเป็นสาวคุณหนูช่างฝันดันฝืนเปรียบเปรยอะไรที่โคตร street และค่อนข้าง cliché เอามากๆ ประมาณว่า “ชั้นติดคุก ชั้นโคตรคิดถึงเธอ พ้นโทษเมื่อไหร่ ชั้นจะโทรหาและวิ่งเข้าไปหาเธอทันที” ไม่ค่อยถูกโฉลกเท่าไหร่ I Can Fix Him (No Really I Can) นี่ก็เป็นแทร็คสั้นที่ไม่จำเป็นต้องพร่ำพรรณนาเช่นกัน เป็นอคลูสติคที่ผ่านแล้วผ่านเลยจริงๆ
-Who’s Afraid of Little Old Me? นี่คือตัวอย่างเพลงที่ไม่น่าซอยย่อยท่อน bridge ท่อน pre-hook ที่ดันย้วยเสียจนไอ้การตะเบ็งเสียงในท่อนฮุกนั้นแทบจะไร้ความหมาย ไม่ทรงพลัง ทั้งๆที่คอนเทนท์เกี่ยวกับการไม่ยอมอ่อนข้อต่อสื่อที่พยายามจะแขวน และเฝ้ามองความเจ็บปวดของเธอเพื่อเป็นคอนเทนท์ในการด้อยค่า
-loml (Love/Loss of My Life) มีความจงใจที่จะเชื่อมไปสู่ The Anthology อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็เป็นเพลงพักเบรคสไตล์อคลูสติคเปียโนที่เราต่างคุ้นเคยจากเธอคนนี้มานัดต่อนัด เหมือนเป็นสูตรไฟต์บังคับที่ต้องมีเพลงช้า loml ท่วงทำนองมาทรงเดียวกับ New Year’s Day, Sweet Nothing เพียงแต่รอบนี้มาในเวย์เศร้า อาลัยอาวรณ์ตามธีมอัลบั้มแห่งความใจสลาย
-I Can Do It With A Broken Heart เหมือนจะเปิดโหมด upbeat edm แต่ก็หลอกดาวในท่อนฮุกด้วย synth pop สุดประชดประชันเพื่อหยอกเย้ากับความเสแสร้งทำเป็นมีความสุข จัดปาร์ตี้สไตล์คนรวย และการออกทัวร์ที่แบกความใจสลายที่หนักอึ้ง แน่นอนว่าการทำเป็นมูฟออนได้แล้ว โคตรจะ miserable เลยฮะ The Smallest Man Who Ever Lived นี่คือเพลงที่ช่วยกอบกู้ครึ่งหลังในพาร์ท standard ได้อย่างเข้มข้นดิบดี นี่คือโมเมนต์แห่งความพิโรธที่ค่อยๆไต่ระดับความ dramatic เชือดเฉือนได้อย่างกัดไม่ปล่อยง่ายๆ
-พาร์ท The Anthology น่าจะเหมาะสำหรับสวิฟตี้ที่ชอบบรรยากาศแบบ 2 อัลบั้มนั้น ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันเป็นอัลบั้มพี่สาวน้องสาวที่มาแค่โมเมนต์เดียวก็เกินพอ เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่หนำใจกับการพรรณนาถึงแฟนเก่าของนางที่มาตั้งแต่แทร็คแรกอย่าง The Black Dog ซึ่งตอนแรกผมนึกว่าต้องมาเวย์ซึมเศร้าแน่ๆ เพราะหมาดำคือสัญลักษณ์ของซึมเศร้าใช่มั้ยล่ะ? ที่ไหนได้ยังนึกถึง Matty Healy กับผับในอังกฤษที่ชื่อเดียวกันกับเพลง นี่ยังไม่มูฟออนจากพาร์ท TTPD อีกรึเนี่ย? ซึ่งไม่ใช่แค่เพลงนี้เพลงเดียวด้วย ผมขอไม่สาธยายล่ะ
-เหมาะสำหรับคนที่คลั่งไคล้ในอัจฉริยภาพทางการเปรียบเปรยที่ยกบทกวีและวรรณกรรมอย่างฉ่ำๆไม่ว่าจะเป็น The Albatross ที่เธอเปรียบเปรยว่าตัวเองคือนกอัลบาทรอสที่เป็นลางร้ายให้กับผู้ชายทั้งหลายที่ดันได้ยินเรื่องราวของเธอมาเยอะแยะมากมาย
-มีแค่ไม่กี่เพลงเท่านั้นที่จึ้งใจผมจริงๆ ซึ่งก็อยู่ปลายม้วนเลยครับ อาทิเช่น Peter หากใครยังจำกันได้ เทย์เลอร์เคยหยอดถึงเทพนิยาย Peter Pan มาแล้วในเพลง cardigan ที่บอกว่า Peter losing Wendy ประโยคนี้แหละคือเศษขนมปังที่เทย์เลอร์เลือกหยิบมาขยายความต่อ ซึ่งเป็นไอเดียที่ดีเลยครับกับการเล่าเรื่องราวความรักที่เป็น coming of age ที่ทัศนคติและการเติบโตไม่เหมือนกัน
Top Tracks of TTPD : The Tortured Poets Department, My Boy Only Breaks His Favorite Toys, So Long, London, But Daddy I Love Him, Florida!!!, Guilty as Sin?, The Smallest Man Who Ever Lived, The Alchemy
Give 6.5/10
Top Tracks of The Anthology : Peter, The Bolter, Robin