Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
29 มิ.ย. 2024 เวลา 00:19 • กีฬา
คุยตัวต่อตัวกับ "เช็ค" สุภโชค สารชาติ นักเตะเบอร์หนึ่งของไทย ณ โมเมนต์นี้
เช็ค-สุภโชค สารชาติ คือนักเตะไทยที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในต่างประเทศ ณ เวลานี้
1
เขาเป็นผู้เล่นตัวหลักของคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ทีมในเจลีก และเป็นแกนหลักของทีมชาติไทยยุคมาซาทาดะ อิชิอิ ทุกคนทราบดีว่า นี่เป็นผู้เล่นที่มีฝีเท้ายอดเยี่ยม และมีแพสชั่นแรงกล้าอย่างมาก
ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีก่อน ผมเคยไปเจอสุภโชคที่ญี่ปุ่น โดยทางสยามสปอร์ตเชิญไปดูเกมเจลีก ระหว่างคอนซาโดเล่ ซัปโปโร กับ กัมบะ โอซาก้า ครั้งนั้น ผมมีโอกาสคุยกับเช็คประมาณ 5 นาที ซึ่งน้อยเกินไป อยากคุยให้มากกว่านี้ อยากถามให้ละเอียดกว่านี้ และโชคดีครับ ที่ผมมีโอกาสเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
สุภโชคได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากต้นสังกัด ให้กลับมาไทยชั่วคราว 10 วัน เพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง นั่นทำให้เขาพอมีสล็อตเวลาว่างอยู่บ้าง ผมจึงติดต่อไปขอคุยด้วยครับ
ขอบคุณเช็คมาก ที่มานั่งคุยกันนะครับ
เรานัดกันที่ร้าน Hops and Hope Bar ตรงข้ามยูเนียนมอลล์ พอเช็คทำกายภาพบำบัดเสร็จตามโปรแกรม เราก็มาเจอกันครับ โดยคุยกันทั้งหมด ประมาณ 50 นาที
สิ่งแรกที่ผมถามเขาก่อนเลย เป็นเรื่องที่อยากรู้มาก นั่นคือ ทำไมสุภโชค ไม่ใช้นามสกุล "เหมือนตา" แบบเดียวกับน้องชายศุภณัฏฐ์?
เช็คเล่าว่า "คุณพ่อที่ให้กำเนิดผม เสียชีวิตตอนผมอายุประมาณ 1 ขวบ นั่นคือเหตุผลที่ผมใช้นามสกุลของคุณแม่ นั่นคือสารชาติครับ"
คุณแม่ของเช็ค ชื่อธนวดี สารชาติ เธอมาพบรักใหม่ กับ สุรศักดิ์ เหมือนตา ทั้งคู่แต่งงานกัน และมีลูกอีกสองคน ชื่อแบงค์-ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และ ดอลลาร์-โชติกะ เหมือนตา
"ต้องขอบคุณ คุณพ่ออีกคน (สุรศักดิ์) ที่ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกแปลกแยกในบ้าน ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ใช่ลูกเขา แต่เขาทำให้ผมรู้สึกว่า เขาเป็นพ่อจริงๆ"
เช็ค กับ แบงค์-ดอลลาร์ ไม่ได้มีพ่อเดียวกัน แต่ทั้ง 3 คนโตมาด้วยกัน และสนิทสนมกันมากจริงๆ ตัวเช็คในฐานะพี่ใหญ่ ก็เป็นห่วงน้องทั้งสองคนเสมอ
กับแบงค์ เช็คเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่า แบงค์โดนถล่มหนักมากในช่วงฟุตบอลโลกที่ผ่านมา ขณะที่กับดอลลาร์น้องคนเล็ก ที่อยู่กับอะคาเดมี่ของบุรีรัมย์ ก็จะเป็นความห่วงอีกแบบ
"ผมเป็นห่วงดอลลาร์นะครับ คือเราเข้าใจมุมของน้องเล็กนะ เห็นพี่สองคนติดทีมชาติแบบนี้ ได้ไปยุโรปบ้าง ได้ไปเจลีกบ้าง มันก็เป็นแรงกดดัน บีบคั้นให้เขาต้องทำแบบนั้นให้ได้ แต่ในโลกฟุตบอลมันก็ไม่ง่าย แล้วดอลลาร์เล่นกองหลัง ซึ่งเป็นศาสตร์ฟุตบอลที่ยากมากด้วย"
สุภโชค เกิดในครอบครัวของชาวนา ที่บ้านหัวเสือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ สุภโชคไม่เคยเข้าเรียน ในซอคเกอร์สคูล หรืออะคาเดมี่ที่ไหนเลย เขาไม่เคยรู้ศาสตร์ที่ถูกต้อง แต่กลับมีพรสวรรค์ในเชิงฟุตบอลตั้งแต่เด็ก
"ความโชคดีของผม คือคนในหมู่บ้านเป็นคนเตะบอล สนามบอลอยู่หน้าบ้านผมเลย เขาก็จะมีเตะบอลกินตังค์กันทุกสัปดาห์ แล้วพอผมสัก 9 ขวบ 10 ขวบ ผมก็ลงไปเล่นด้วยเลย อยู่ในทีมเดียวกับผู้ใหญ่ ดังนั้นเราเลยเรียนรู้สกิลการเอาตัวรอด และการต่อสู้กับคนตัวใหญ่กว่าเรา ตั้งแต่เด็กเลย"
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของสุภโชค เกิดขึ้นในปี 2011 ณ เวลานั้น บุรีรัมย์ พีอีเอ (ชื่อเดิมของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) เริ่มทำอะคาเดมี่อย่างจริงจัง และเปิดคัดตัวนักฟุตบอลรุ่น u-16 สุภโชคในวัย 13 ปี ติดสอยไปกับรุ่นพี่เพื่อคัดตัวด้วย แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า เขาได้รับเลือกเป็น 1 ใน 12 คน จากผู้สมัครมากกว่าหนึ่งพันคน
การได้มาอยู่อะคาเดมี่ของบุรีรัมย์ เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของสุภโชค เขาได้เรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลเป็นครั้งแรก ต้องวิ่งอย่างไร เคลื่อนที่แบบไหน
เมื่อก่อนเช็คเล่นกองหน้าตัวเป้า แต่พอมาอยู่บุรีรัมย์ก็ได้เรียนรู้ว่า ตำแหน่งที่เขาเล่นดีที่สุด คือปีกซ้าย ที่สามารถเลี้ยงตัดเข้าใน แล้วปั่นบอลด้วยเท้าขวาได้ ขณะที่ฝีเท้าในมิติต่างๆ ก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
1
สุภโชคได้ลงเล่นต่อเนื่อง และช่วยบุรีรัมย์ คว้าแชมป์มากมาย กลายเป็นนักเตะไทยที่อายุน้อยที่สุด ที่ทำแฮตทริกได้ใน T1 ด้วยวัย 18 ปี 9 เดือน กับอีก 17 วัน
สุภโชคยอมรับว่า การที่เขาเล่นฟุตบอลได้ดี ส่วนหนึ่งคือการซัพพอร์ทของบุรีรัมย์ด้วย โดยเฉพาะ เนวิน ชิดชอบ กับ กรุณา ชิดชอบ ที่ดูแลเขาเหมือนลูกชายแท้ๆ อีกคนหนึ่ง
ผมถามเช็คว่า ตอนอายุ 18-19 เป็นนักเตะดังแล้ว รวยแล้ว เอาเงินมาซื้อรถเบนซ์ รถบีเอ็มเลยไหม เขาตอบว่า "ที่บุรีรัมย์ อย่าว่าแต่รถหรูเลยครับ นักเตะเยาวชนจะมีรถสักคัน ยังยากเลย คือพ่อเน กับแม่ต่าย เขาสอนเราเรื่องการใช้เงินมาตลอด บอกว่า ถ้ามีเงินอย่าใช้หมดไปกับวัตถุนอกกาย แต่เอาไปเก็บออม หรือลงทุน เพื่ออนาคตระยะยาวดีกว่า"
ตลอดช่วงเวลาที่อยู่บุรีรัมย์ สุภโชค ถือเป็น "เด็กดี" ที่อยู่ในกรอบมาตลอด ตั้งใจเล่นฟุตบอลไป ไม่เคยสร้างดราม่าอะไรนอกสนาม อย่างไรก็ตาม มันเกิดความรู้สึกบางอย่าง ขึ้นมาในใจเขานั่นคือ "ความเบื่อ"
"ผมอยู่กับบุรีรัมย์ ก็มีความสุขนะครับ แต่ปัญหาคือผมคว้าแชมป์มาหมดแล้วทุกรายการ ไทยลีกได้มาแล้ว 4 สมัย ทริปเปิ้ลแชมป์ก็ทำได้แล้ว เราเลยไม่มีความท้าทายอะไรอีก ไม่ใช่บอกว่าตัวผมเก่งหรืออะไรนะครับ แต่ผมอยากไปพิสูจน์ตัวเองที่ต่างประเทศ อยากไปเจลีก อยากไปยุโรป อยากรู้ว่าตัวเองจะเก่งขึ้นกว่านี้ได้อีกไหม"
อย่างไรก็ตาม ความยากคือ บุรีรัมย์ไม่เคยปล่อยนักเตะไปเจลีกมาก่อน ดังนั้นสุภโชคก็เลยไม่หวัง ก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลกันไป สุดท้ายแล้วถ้าอยู่บุรีรัมย์ต่อก็ไม่เป็นไร
"พี่เชื่อไหมว่าผมไม่เคยคุยกับพ่อเนเลย ว่าอยากไปญี่ปุ่น แต่ผมว่าเขารู้ว่าผมคิดอะไร เขาอยู่กับผมมาตั้งแต่เด็ก แค่มองตาก็คงรู้แล้ว"
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นคือ สุภโชคไม่รู้ความเคลื่อนไหวอะไรเลย เกี่ยวกับการซื้อขาย คือเขาไม่มีเอเยนต์ส่วนตัวที่คอยสืบข่าวให้ ทุกอย่างฝากไว้ในมือเนวิน ชิดชอบ ว่าจะเลือกทางเดินให้เขาแบบไหน
ต้นเดือนพฤษภาคม 2022 อยู่ๆ เนวิน ชิดชอบ โทรเรียกสุภโชค บอกว่าก่อนถึงเวลาซ้อม ให้เข้ามาที่สโมสรก่อน มีเรื่องจะคุยด้วย "พอผมไปถึงสโมสร เจอพ่อเน อยู่กับคุณฮิโรคัตสึ มิคามิ ประธานสโมสรคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ทั้งคู่คุยกันเรื่องการย้ายตัวของผมอยู่ คือผมตกใจมาก ไม่รู้ว่าที่พ่อเนเรียกมาคือเรื่องนี้ ผมอายมาก เพราะตัวเองใส่รองเท้าแตะมาเลย ถ้ารู้ว่ามิคามิซังจะมา ผมจะได้แต่งตัวให้ดีกว่านั้น ให้เกียรติเขาหน่อย! (หัวเราะ)"
1
ในวันนั้น เนวินได้บอกสุภโชคว่า 'เดี๋ยวพ่อปล่อยมึงไปซัปโปโร 6 เดือนนะ' เป็นการคอนเฟิร์มว่าดีลจบแล้ว สโมสรยินดีมาก ที่จะให้สุภโชคไปหาความท้าทายที่ญี่ปุ่น
"ผมมารู้วันนั้นเลย ไม่ระแคะระคายมาก่อน มันเป็นสไตล์ของพ่อเนเขา คืออาจจะอยากเซอร์ไพรส์ผมด้วยครับ คือเอาเป็นว่า ผมมารู้เรื่องก่อนที่แฟนบอลจะรู้ แค่ไม่เกิน 1 วันครับ"
สุภโชคย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น ที่เมืองซัปโปโร เสียบต่อจากชนาธิป สรงกระสินธิ์ ที่เพิ่งย้ายออกไปคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ก่อนหน้านี้ราวๆ 6 เดือน
สุภโชคยอมรับว่า ได้รับความช่วยเหลือ และคำแนะนำจากชนาธิปไม่น้อย ในการปรับตัวกับฟุตบอลญี่ปุ่น และสำหรับเขาก็คิดว่า ในอนาคตถ้าหากมีโอกาสได้ช่วยรุ่นน้องนักเตะไทย ที่มาญี่ปุ่นบ้าง ก็คงจะดีเหมือนกัน
1
ผมถามเช็คว่า ความแตกต่างระหว่างฟุตบอลลีกญี่ปุ่น กับ ลีกไทย ต่างกันตรงไหน แบบที่รู้สึกได้
เช็คหยุดคิดแล้วตอบว่า "ผมคิดว่าเรื่องแท็กติก คือฟุตบอลญี่ปุ่นมันแท็กติกจ๋ามาก ต้องเข้าใจเกม ถ้าคนหนึ่งเพรส อีกคนหนึ่งต้องขยับแบบไหน เราต้องใช้เวลาเรียนรู้เหมือนกัน"
เรื่องผลงานกับสโมสร ถึงตรงนี้คงไม่มีอะไรกังขากันอีก สุภโชค กลายเป็นตัวหลักของคอนซาโดเล่ ซัปโปโร เอาเป็นว่า ถ้าไม่เจ็บ เขาก็ได้ลงแน่ๆ ในฤดูกาล 2023 ยิงทุกรายการรวมกัน 11 ประตู แถมแต่ละลูกสวยๆ ทั้งนั้น
ผมเปลี่ยนประเด็นมาที่เรื่องทีมชาติกันบ้าง คำถามแรกที่ผมยิงไปก่อน คือ "การตกรอบบอลโลก 2022 ที่ยูเออี กับ การตกรอบบอลโลก 2026 ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ราชมังฯ อันไหนเจ็บปวดกว่ากัน?"
สุภโชค ตอบว่า "ครั้งนี้สิครับพี่ มันเทียบกันไม่ได้เลย เพราะมันอีกแค่ลูกเดียวเอง ถ้ายิงได้เพิ่มอีกลูกเราก็ได้ไปต่อ ผมว่ามันเจ็บที่สุดแล้ว"
ก่อนที่จะเล่าเรื่องเกมนัดเจอสิงคโปร์ เช็คย้อนกลับไปเล่า ตั้งแต่ช่วงแรกที่มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ามาคุมทีม โดยยอมรับว่า ทีมมีการพัฒนาการแบบที่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจ
"ตั้งแต่เอเชียนคัพเป็นต้นมา ผมว่าเราพัฒนาขึ้นมากจากเกมแพ้จีนที่ราชมังฯ นะครับ คือเราเป็นระบบมากขึ้น ผมว่าส่วนหนึ่งคือโค้ชอิชิอิ ใช้แผน 4-2-3-1 และนักเตะที่เคยร่วมงานกับเขา รู้อยู่แล้วว่าต้องเล่นยังไง ทุกอย่างก็เลยไหลลื่นหมด"
"ผมเห็นทุกคน เข้าใจหน้าที่เป็นอย่างดี เวลามีคนหนึ่งเพรสซิ่ง อีกคนก็จะรู้ทันทีว่าควรไปช่วย ทำให้ตั้งแต่เอเชียนคัพ มาจนถึงเกมฟุตบอลโลก ทิศทางทุกอย่างมันดีหมด"
ใน 2 เกมสุดท้าย ที่ไทยเจอจีน ที่เสิ่นหยาง และเจอสิงคโปร์ ที่ราชมังฯ บรรยากาศในทีม พุ่งทะยานไปสู่จุดสูงสุด นักเตะมีสมาธิ มีความหวัง ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป้าหมายคือพาไทยผ่านเข้ารอบให้ได้
"ทุกคนในทีมรู้ครับพี่ ว่า 2 แมตช์นี้ มันสำคัญต่ออนาคตคุณขนาดไหน คือผลการแข่งมันมีผลต่อชีวิตคุณเลยนะ" ความหมายของเช็คคือ ถ้าไทยได้ไปต่อ บรรยากาศฟุตบอลในประเทศมันจะคึกคักหมด คนไทยจะมีความสุข รวมถึงนักเตะหลายๆ คนก็จะถูกจับตามองจากลีกต่างแดนด้วย ดังนั้นมันเป็นเกมที่มีราคาสูงมาก
อิชิอิเอง เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับบรรยากาศในแคมป์มากๆ ในช่วงเก็บตัวทีมชาติ อิชิอิ จะให้นักเตะแต่ละคน ผลัดกันพูด pep talk ปลุกใจทีม โดยสุภโชคมีโอกาสได้พูด 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ วันที่ไปถึงเสิ่นหยาง และ ครั้งที่สอง ก่อนเตะกับสิงคโปร์หนึ่งวัน
1
ผมถามเช็คว่า แล้วเมื่อได้โอกาสพูดให้ทั้งทีมฟัง เขาพูดว่าอะไร? เช็กตอบว่า "ก่อนเจอสิงคโปร์ ผมบอกว่า อยากให้ทุกคนคิดถึงอนาคตของตัวเอง เพราะเกมนี้มันสำคัญจริงๆ ผมไม่อยากแพ้ ผมอยากให้ทุกคนมีแพสชั่นในการอยากชนะมากๆ เพราะแพสชั่นมันสำคัญในเกมฟุตบอล ถ้าคุณลงสนามไปเล่น แบบไม่คิดอะไรเลย ไม่อยากชนะคู่แข่งมากพอ เราก็จะไปไม่ถึงเป้าหมาย"
1
นักเตะไทย มุ่งมั่นเต็มร้อย ตั้งแต่นัดแรกที่เจอจีน และไทยเล่นได้ดีกว่าในครึ่งแรก โดยนำอยู่ 1-0 แต่มาในครึ่งหลังมาโดนตีเสมอเป็น 1-1 เก็บได้แค่แต้มเดียว ทั้งๆ ที่มีโอกาสชนะแล้วแท้ๆ
"ผมเสียดายเกมกับจีน ถ้าเราชนะเกมนั้น ตอนนี้ก็เข้ารอบไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าจังหวะเสียประตูตีเสมอมันสุดวิสัยจริงๆ ตอนนั้นผมก็มองว่า ไม่เป็นไร เอาวะ เรามายิงสิงคโปร์ 3 ลูกแทนก็ได้"
ในการเจอสิงคโปร์ ไทยต้องลุ้นผลคู่เกาหลีใต้ ให้เอาชนะจีนให้ได้ด้วย แต่ทว่า มาซาทาดะ อิชิอิ มีนโยบายไม่บอกนักเตะ ว่าผลการแข่งขันเป็นอย่างไร เพื่อให้ทุกคนรวมสมาธิในนัดนี้เพียงอย่างเดียว
"ผมไม่รู้สกอร์เลยครับ จนแฟนบอลไทยเฮดังสนั่น ตอนเกาหลีใต้ยิงได้นั่นแหละ ถึงรู้ว่า เกาหลีขึ้นนำจีนแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้นะว่าสนามนั้น จบเท่าไหร่ เกาหลียิงเพิ่มได้อีกไหม จนแบงค์ยิงนำสิงคโปร์ 1-0 นั่นแหละ ผมมาได้ยินจากแฟนบอล และพี่ช่างภาพ ว่าคู่นั้นจบแล้ว เกาหลีชนะ 1-0 มันแปลว่า เราต้องเอาชนะสิงคโปร์ 3 ลูกถึงจะเข้ารอบ"
การที่ทีมชาติไทยต้องชนะสิงคโปร์ 3 ลูก เงื่อนไขนี้ กลายเป็นเรามากดดันตัวเอง จริงอยู่เราสร้างโอกาสได้เยอะ แต่เมื่อจบไม่ลงสักที ความเครียดยิ่งพอกพูนมากขึ้นทุกนาที
"พี่น่าจะเห็นผมเล่นในเกมนั้น ผมวิ่งด้วยพลังทั้งหมด วิ่งจนสุดชีวิตแล้ว จนตัวเองบาดเจ็บ คือผมอยากทำให้ทีมชนะให้ได้จริงๆ อยากยิงให้ได้เพิ่ม"
เล่นไปเล่นมา ไทยโดนตีเสมอ 1-1 จากอิกซาน ฟานดี้ แล้วสุภโชค ก็ได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง จนต้องเปลี่ยนตัวออก แต่ไทยก็โชว์ใจสู้ เมื่อยิงได้ 2 ลูกจาก ปรเมศย์ อาจวิไล และ เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 3-1 ขออีกแค่ลูกเดียวเท่านั้น เราจะผ่านเข้ารอบ
จนมาถึงจังหวะสุดท้ายของเกม เท่-เจริญศักดิ์ได้ยิงในเขตโทษ เขาพยายามยิงให้เข้ามุม แต่บอลหลุดกรอบไปแค่คืบเดียวเท่านั้น "ลูกที่เท่ยิงลูกนั้น ทุกคนที่อยู่ในเบนช์ มั่นใจว่ามันน่าจะเข้า แล้วพอมั่นไม่เข้า เข่ามันหมดแรง แต่เราไปโทษเท่ไม่ได้หรอกครับ เพราะเขายิงให้เรามาลูกหนึ่ง ผมว่าทุกอย่าง มันอาจเป็นเพราะโชคชะตา หรือเพราะความไม่นิ่งของเราเอง เกมนั้นเราเลยชนะ 3-1 ทั้งๆ ที่เราชนะ 5-1 ได้เลย"
บทสรุปของฟุตบอลโลก ทีมชาติไทยตกรอบ สุภโชคออกจากสนามเป็นคนแรก เพื่อไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล โดยกล้ามเนื้อของเขามีอาการฉีกระดับสอง แต่อาการบาดเจ็บนอกกาย ยังไม่เท่าความเจ็บปวดในใจ
"จบเกมกับสิงคโปร์ ผมกลั้นน้ำตาไม่ได้ ตั้งแต่เล่นฟุตบอลมา นี่คือโมเมนต์ที่เสียใจที่สุด ไม่เคยมีอะไรเจ็บปวดมากขนาดนี้ ในสนามผมร้องไห้ พอเข้าห้องแต่งตัวมาก็ร้องไห้ คืนนั้นขึ้นเครื่องบินกลับญี่ปุ่นก็ร้องไห้ ที่มันเศร้าเพราะฟุตบอลโลกคือความฝันของเรา และมันขาดแค่ประตูเดียวเท่านั้น ลูกเดียวจริงๆ"
"เชื่อไหมครับ ว่าจนถึงวันนี้ ผมยังไม่เคยย้อนกลับไปดูไฮไลท์ เกมเจอสิงคโปร์แม้แต่ครั้งเดียว มันทำใจไม่ได้ ไม่อยากเห็นภาพอะไรเลย จะได้ลืมเร็วๆ ก็ได้แต่หวังว่า ถ้าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มันคงจะเยียวยาใจเราได้มากขึ้นกว่านี้"
เมื่อความฝันบอลโลกจบลงแล้ว ตอนนี้สุภโชคก็จะกลับไปโฟกัสที่เจลีกก่อน รักษาฟอร์มให้สม่ำเสมอ ถ้าหายกลับมาก็จะมุ่งมั่นช่วยคอนซาโเล่ ให้รอดตกชั้นให้ได้
ในขณะที่กับทีมชาติ ก็จะทุ่มเทเต็มที่ เมกชัวร์ ว่าไทยจะผ่านเข้ารอบสุดท้ายของเอเชียนคัพ และจะได้อยู่ใน "โถ 2" ในการจับสลากแบ่งสายในบอลโลก 2030 แล้วเมื่อรอบคัดเลือกมาถึงอีกครั้ง ค่อยมาสู้กันใหม่ ตอนนี้ก็เลียแผลใจกันไปก่อน
ก่อนจะอำลากันไป ผมถามว่า นักเตะในดวงใจ คนที่เป็นไอดอล ของเขามีใครบ้าง สุภโชคตอบว่า เลือกคนเดียวไม่ได้ ก็เลยเลือกมา 5 คนครับ
สองคนแรก คือนักบอลต่างประเทศ เนย์มาร์ กับ เอแด็น อาซาร์ เป็นนักเตะที่สุภโชคชอบสไตล์การเล่น การเลี้ยง การยิงอย่างมีประสิทธิภาพ เขายังยกระดับตัวเองให้มีประสิทธิภาพได้แบบนั้น
ส่วนอีกสามคน คือนักเตะไทย ประกอบด้วย จักรพันธ์ แก้วพรหม, สุเชาว์ นุชนุ่ม และ ธีราทร บุญมาทัน
"พี่โน้ต-จักรพันธ์ เป็นคนที่มีความมืออาชีพมาก ผมเรียนรู้จากพี่เขาเลย การซ้อมหนัก การวางตัวที่ดี คือถ้าพี่โน้ตเกิดช้ากว่านี้สัก 5-10 ปี ผมว่าพี่เขาไปเล่นเจลีกได้สบาย"
"พี่กบ-สุเชาว์ ผมเรียนรู้เรื่องความใจสู้ครับ พี่กบคือยอดนักสู้ แกเป็นนักมวยเก่าอะเนอะ ในสนามก็สู้ขาดใจเหมือนสังเวียนมวย"
"ส่วนพี่อุ้ม-ธีราทร เป็นคนที่ผมเล่นร่วมกันบ่อยมาก เพราะเราอยู่ฝั่งซ้ายด้วยกัน พี่คิดดูนะ ว่าพี่อุ้มเขาเก่งขนาดไหน แล้วผมต้องยืนขนาบเขาอะ ดังนั้นเราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้มีมาตรฐานระดับเดียวกับพี่เขาครับ"
คำถามสุดท้าย ที่ผมมีให้สุภโชค คือ "โมเมนต์แย่ที่สุดและดีที่สุด ตั้งแต่เล่นฟุตบอลมาคืออะไร"
โมเมนต์แย่ที่สุดของสุภโชค คือนกหวีดจบเกมชนะสิงคโปร์ 3-1 ที่ราชมังฯ ซึ่งก็คงเหมือนกับแฟนบอลไทยอีกจำนวนมาก ส่วนโมเมนต์ดีที่สุด เขาหยุดคิดนานกว่า 20 วินาที แล้วตอบว่า
"โอ้โห ขอคิดก่อน เหตุการณ์ดีๆ ที่ผมไม่มีวันลืมหรอ? ติดทีมชาติครั้งแรกหรือเปล่า อืม มันก็ไม่ขนาดนั้นอะนะ หรือ เป็นเกมที่เรายิงอุซเบฯ ได้ในเอเชียนคัพ ก็ไม่ใช่อีก จริงอยู่ว่ามันควรจะเป็นโมเมนต์ที่ดี แต่นัดนั้นทีมไม่ชนะ หรือจะเป็นการเซ็นไปเจลีกวันแรก ก็ดีนะ แต่รู้สึกยังไม่ใช่ที่สุด"
"งั้นผมสรุปละกันว่า โมเมนต์ที่ดีที่สุดของผม น่าจะยังมาไม่ถึงครับ"
ก็จริงนะครับ เพราะปัจจุบัน สุภโชคเพิ่งอายุ 26 ปีเท่านั้นเอง เส้นทางฟุตบอลของเขายังมีอยู่ข้างหน้าอีกหลายปี ยังมีความสำเร็จอีกมากมายให้ได้ค้นหา และบางทีโมเมนต์ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา อาจจะเป็นฟุตบอลโลก 2030 รอบคัดเลือกก็ได้ครับ ใครจะไปรู้เนอะ
หลังจากคุยเสร็จ สุภโชคบอกว่า "ติดตามเพจอยู่นะครับพี่" ผมบอกว่า "ดีใจมากเลยที่ได้ยิน สัญญาจะเป็นกำลังใจให้เช็คตลอดไปนะ"
สิ่งที่ผมได้จากการคุยกัน ราวๆ 50 นาที คือสุภโชคมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก และมีพื้นฐานนิสัยน่ารักมากครับ ใครได้เจอ ได้คุยกับเขา ก็จะรู้สึกชื่นชมอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ผมมั่นใจลึกๆ ว่าเช็ค ยังไปได้ไกลกว่านี้อีก อยู่ญี่ปุ่นได้นานๆ อีกหลายปี คือถ้า Worst Case คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ตกชั้น ผมก็มั่นใจว่าเขาจะหาสโมสรระดับ J1 ลงเล่นต่อได้แบบสบายๆ
ส่วนกับทีมชาติไทย ไม่แปลกเลย ที่จะมีคนพูดถึงเขา กับตำแหน่งกัปตันทีมชาติคนต่อไป เพราะด้วยคุณวุฒิ และ วัยวุฒิ สุภโชคคนนี้ก็มีดีพอจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างแน่นอนครับผม
1 บันทึก
21
2
1
21
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย